#1
|
||||
|
||||
เทศน์ช่วงทำกรรมฐานเช้า วันอังคารที่ ๒๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
เทศน์ช่วงทำกรรมฐานเช้า วันอังคารที่ ๒๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ เชิญรับฟังได้ที่ https://youtu.be/kZWj0Ny6x6I อยู่กับลมหายใจเข้าออกนะจ๊ะ กำหนดลมหายใจพร้อมกับคำภาวนาที่เราถนัด ที่เราชำนาญ เมื่อลมหายใจพร้อมกับคำภาวนาทรงตัวมั่นคงแล้ว ก็กำหนดภาพพระของเราไปด้วย หายใจเข้า..ภาพพระไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ภาพพระไหลตามลมหายใจออกมา เผลอคิดเรื่องอื่นเมื่อไร ให้กลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกทันที |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
เมื่อภาพพระและลมหายใจมั่นคงแล้ว ก็กำหนดภาพให้นิ่งอยู่บนศีรษะของเรา
หายใจเข้า..ให้ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก..ให้ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น กำหนดให้ความสว่างจากภาพพระครอบคลุมตัวเราลงมา หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น อย่าใช้สายตาเพ่งภาพพระ อย่าเอารายละเอียดของภาพพระ อย่าเอาความสว่างมากน้อยเป็นประมาณ แค่รู้สึกว่ามีพระพุทธรูปสว่าง ๆ อยู่บนศีรษะของเรา ครอบคลุมตัวเราลงมา จนตัวเรากับพระสว่างกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น การปฏิบัติธรรมต้องรู้จักวางอุเบกขา ได้แค่ไหน พอใจแค่นั้น แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 07-07-2022 เมื่อ 04:17 |
#3
|
||||
|
||||
เมื่อตัวเราและองค์พระสว่างไสวกลมกลืนกันดีแล้ว..
ให้กำหนดใจว่า ความสว่างนั้นคือ พระเมตตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่แผ่ปกไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกภพ ทุกภูมิ ทุกหมู่ ทุกเหล่า กำหนดความรู้สึกให้รัศมีสีขาวสว่างไสวแผ่กว้างออกไป กว้างออกไป.. กว้างออกไปทั้งวัด ทั้งหมู่บ้าน ทั้งตำบล ทั้งอำเภอ ทั้งจังหวัด ทั้งภาค ทั้งประเทศ ทั้งโลก ตัวเราใหญ่โตเต็มแผ่นดินแผ่นฟ้า โลกธาตุต่าง ๆ เหมือนกับกรวดเม็ดทราย ที่เราสามารถกำหนดใจครอบคลุมได้ทั่วถึงโดยง่าย ให้ตั้งใจว่า..มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น ได้ตกล่วงไปแล้วในวันหนึ่งคืนหนึ่ง ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น จงไปเสวยสุขในสุคติภพโดยถ้วนหน้ากันเถิด แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 07-07-2022 เมื่อ 04:19 |
#4
|
||||
|
||||
มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น ตกอยู่ในความทุกข์ยากเศร้าหมอง เดือดร้อนลำเค็ญ ทุกข์กายทุกข์ใจ เจ็บไข้ได้ป่วย พิกลพิการใด ๆ ก็ดี ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น จงล่วงพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายนั้นเถิด
มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น มีความสุขความเจริญดีอยู่แล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น จงมีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยเถิด มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น พึงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่กันและกัน เสียสละให้ปัน ช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากยิ่งกว่าตนให้พ้นทุกข์ เพื่อยังโลกทั้งหลายไปสู่สันติสุขอันสมบูรณ์ด้วยเถิด |
#5
|
||||
|
||||
หายใจเข้า..พระรัศมีสีขาวสว่างไสวแผ่กว้างออกไป.. กว้างออกไป..
เบื้องบนถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ เบื้องล่างจรดอเวจีมหานรก เบื้องขวางรอบข้าง คือ โลกธาตุที่ประมาณไม่ได้ หายใจเข้า..ความสว่างแผ่กว้างออกไป.. กว้างออกไป.. หายใจออก..ให้กลับมาสว่างไสวบนศีรษะของเราตามเดิม หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น ให้ความสว่างนั้นครอบคลุมไปทั่วทั้งอนันตจักรวาล แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 07-07-2022 เมื่อ 04:27 |
#6
|
||||
|
||||
เมื่อกำลังใจของเราสงบนิ่งราบเรียบดีแล้ว ก็กำหนดภาพพระที่สว่างไสวบนศีรษะของเรา เลื่อนลงมาในกะโหลกศีรษะ ให้รู้สึกว่ากะโหลกศีรษะของเราว่างเปล่า มีแต่องค์พระใส ๆ สว่าง ๆ อยู่ในนั้น
น้อมจิตน้อมใจกราบลงที่องค์พระตรงนั้น ลูกจะยกเอาพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาพินิจพิจารณา ขอให้ลูกเห็นได้โดยชัดเจน และมีจิตที่ยอมรับความเป็นจริงทุกประการนั้นด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า แล้วกำหนดความรู้สึกของเราย้อนกลับไป.. ย้อนกลับไป.. ระหว่างที่เดินมาศาลาหลังนี้ ระหว่างที่แต่งตัวอยู่ในที่พัก ระหว่างที่นอนอยู่ ระหว่างที่ทำวัตรเย็นเมื่อวานนี้ ระหว่างที่ปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ระหว่างที่กินอาหารกลางวัน ระหว่างที่ปฏิบัติธรรมช่วงเช้า ระหว่างที่ใส่บาตร ระหว่างที่ทำวัตรตอนเช้ามืด.. ย้อนกลับไป ๒ วัน ๓ วัน ๔ วัน ๕ วัน ๑๐ วัน ๒๐ วัน ๓๐ วัน.. ๒ เดือน ๓ เดือน ๖ เดือน.. ๑ ปี ๒ ปี ๓ ปี ๕ ปี ๑๐ ปี.. ย้อนไป..จนถึงวันที่เป็นจุดปฏิสนธิ์เล็ก ๆ ในท้องแม่ |
#7
|
||||
|
||||
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "สัพเพ สังขารา อนิจจา" สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
เราจะเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า จากจุดปฏิสนธิ์เล็ก ๆ เมื่อโดนไฟธาตุของแม่เคี่ยวเข้า เผาเข้า ก็ค่อย ๆ แตกตัวใหญ่ขึ้น ๆ จาก ๒ เป็น ๔ จาก ๔ เป็น ๘ จาก ๘ เป็น ๑๖ ค่อย ๆ ปรากฏปัญจสาขา ๑ ศีรษะ ๒ แขน ๒ ขา อวัยวะภายในภายนอกค่อย ๆ สมบูรณ์ขึ้นมา จนกระทั่งกลายเป็นรูปทารก มีอาการ ๓๒ สมบูรณ์บริบูรณ์ ลอยอยู่ในท้องแม่ มีสายสะดือเชื่อมต่อกับท้องแม่เพื่อรับอาหาร ถ้าทุกอย่างมีความเที่ยง มีความมั่นคง ก็ต้องไม่เปลี่ยนแปลง แต่นี่เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วความเปลี่ยนแปลงใหญ่ก็ปรากฏขึ้น เมื่อคลอด..เมื่อเคลื่อนออกจากร่างกายของแม่มา เป็นเด็กเล็กนอนหงายตะกายอากาศ หัดพลิก หัดคว่ำ หัดคืบ หัดคลาน หัดยืน หัดเดิน หัดวิ่ง ไม่มีฟันก็มีฟัน แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 07-07-2022 เมื่อ 04:35 |
#8
|
||||
|
||||
จากทารก..ก็เป็นเด็กเล็ก จากพูดไม่ได้..ก็พูดได้ จากเด็กเล็ก..เป็นเด็กโต เป็นเด็กหนุ่มเป็นเด็กสาว เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นหนุ่มใหญ่สาวใหญ่ เป็นวัยกลางคน เป็นคนแก่.. ท้ายสุดก็ตาย
เราเห็นอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้นั้น เป็นความจริงแท้ ขอน้อมยอมรับนับถือความจริงอันประเสริฐ ที่พระองค์ท่านนำมาบอกกล่าวแก่เราทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่หาความเที่ยงไม่ได้เช่นนี้ เราจะไม่ต้องการอีกแล้ว เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน เมื่อใช้กำลังในการพิจารณาไปมาก ๆ สมาธิก็จะเคลื่อนจะคลาย หมดกำลังลง ความชัดเจนจะมีน้อยลงไปเรื่อย ๆ เราก็กลับมาอยู่กับภาพพระบนศีรษะของเราใหม่ หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 07-07-2022 เมื่อ 04:40 |
#9
|
||||
|
||||
เลื่อนเอาภาพพระมาอยู่ในศีรษะของเรา
หายใจเข้า..ภาพพระสว่างไสวไปทั่วอนันตจักรวาล หายใจออก..ภาพพระสว่างไสวไปทั่วอนันตจักรวาล เมื่อภาพพระสว่างไสวชัดเจนแล้ว ก็ยกข้อธรรมคำสอนของสมเด็จพระประทีปแก้วขึ้นมาพิจารณาต่อ.. พระองค์ท่านตรัสว่า "สัพเพ สังขารา ทุกขา" สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นตัวเรา ตัวเขา คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของใด ๆ ก็ตาม มีแต่ความทุกข์ คือ ต้องทนทั้งสิ้น เราก็มองย้อนหลังกลับไปอีก.. กลับไปเมื่อวาน.. กลับไป ๒ วัน ๓ วัน ๕ วัน ๑๐ วัน.. ครึ่งเดือน ๑ เดือน ๒ เดือน ๓ เดือน ๕ เดือน ๑๐ เดือน.. ไล่ย้อนไปจนถึงตอนที่อยู่ในท้องแม่ |
#10
|
||||
|
||||
เมื่อเชื้อของพ่อผสมกับไข่ของแม่ เกิดเป็นจุดปฏิสนธิ์อยู่ในท้อง
วิญญาณ คือ ความรู้สึก..หนาวร้อน หิวกระหาย เจ็บไข้ได้ป่วยต่าง ๆ เริ่มปรากฏขึ้น ไฟธาตุของแม่ก็เผาก็รนอยู่ตลอดเวลา ร้อนเหมือนกับอยู่ในหม้อนึ่ง ทุกข์ยากลำบาก แต่ยังไม่ทันจะเป็นตัวเป็นตน เมื่อร่างกายค่อยเจริญครบถ้วน สถานที่กว้าง ๆ ในท้องแม่ก็กลายเป็นคับแคบ ต้องนอนคดคู้ งอก่องอขิง เจ็บป่วย เมื่อยไปหมด พยายามดิ้นรนให้หายปวดหายเมื่อย ก็กลายเป็นเตะเป็นถีบท้องแม่อยู่ เรานั่งธรรมดาแค่ไม่กี่นาทีก็เมื่อยแล้ว นั่นต้องนอนขดอยู่ทีหนึ่ง ๙ เดือน ๑๐ เดือน มีความทุกข์ขนาดไหน.. จนในที่สุดได้คลอดได้เคลื่อนจากท้องแม่ออกมา กระทบกับความหนักของอากาศ แสบร้อนไปทั้งกาย ร้องไห้จ้า นั่นคือความทุกข์ ที่ต้องเผชิญกับโลกในครั้งแรก ร่างกายสกปรกโสโครก ต้องอาศัยผู้อื่นชำระล้างให้ หิวต้องกิน กระหายต้องดื่ม ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ต้องถ่ายหนักถ่ายเบา เจ็บไข้ได้ป่วยต้องรักษาพยาบาล.. มีแต่ความทุกข์..ตั้งแต่ดวงจิตปฏิสนธิ์มา แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 07-07-2022 เมื่อ 04:48 |
#11
|
||||
|
||||
จากเด็กนอนหงายอยู่ ทนไม่ไหวก็พยายามพลิกคว่ำ กว่าจะคว่ำลงได้ก็เหนื่อยแทบตาย อยากจะไปไหนก็ใช้วิธีคืบเอา จะไปได้สักคืบสักศอกก็เหนื่อยยากเหลือแสน อยากจะไปได้ไกลกว่านั้น ก็ต้องหัดคลาน หัดยืน หัดเดิน ล้วนแล้วแต่เหนื่อยยาก
ระหว่างนั้นก็ยังหิวต้องกิน กระหายต้องดื่ม ปวดอุจจาระปวดปัสสาวะ ต้องอึต้องฉี่ เจ็บไข้ได้ป่วยต้องรักษาพยาบาล สกปรกโสโครกต้องชำระร่างกายอยู่เสมอ ความทุกข์ท่วมทับเราตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิ์ แต่ว่ามาชัดเจนตอนที่เราเริ่มโตขึ้น กำหนดความรู้สึกได้ชัดว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์ เมื่อถึงเวลาพอรู้ความ ก็ต้องศึกษาเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่พ่อแม่บอกกล่าว ห้ามทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ มีแต่สิ่งที่บีบบังคับจิตใจของเราให้กลัดกลุ้ม ให้ทุกข์ยาก ผิดพลาดขึ้นมาก็โดนลงโทษ โดนตี แล้วยังต้องไปเรียนหนังสืออีก ถึงเวลาก็ต้องเบียดเสียดเยียดยัดไปบนรถ ต้องตื่นแต่เช้าทั้งที่ยังไม่ทันจะหายง่วง ไปเรียนหนังสือ กลัวเรียนไม่ทัน กลัวสอบไม่ได้ จิตใจกลัดกลุ้มกังวล ระหว่างนั้นก็หิวต้องกิน กระหายต้องดื่ม ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ต้องถ่ายหนักถ่ายเบา เจ็บไข้ได้ป่วยต้องรักษา สกปรกโสโครกต้องทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลา ตีเสียว่าเราเป็นเด็กอัจฉริยะ สอบเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น แต่กระนั้นก็ต้องค่อย ๆ เลื่อนผ่านทีละชั้น ๆ แต่ละชั้นก็ล้วนแล้วแต่เจอสิ่งที่น่ากลัดกลุ้ม น่ากังวลทั้งนั้น แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 07-07-2022 เมื่อ 06:37 |
#12
|
||||
|
||||
พอเริ่มเป็นวัยรุ่นขึ้นมา ก็หาเรื่องใส่ตัวหนักขึ้นไปอีก ไปชอบเพศตรงข้ามกับเรา
ทันทีที่รักที่ชอบก็กลุ้มก็ทุกข์ กลัวเขาจะไม่รักไม่ชอบเรา กลัวคนอื่นจะมาแย่งไป หนังสือก็ต้องเรียน แฟนก็ต้องหาต้องดูแล สมมติอีกครั้งหนึ่งว่าเราทำบุญไว้ดี เรียนจบมาด้วยคะแนนค่อนข้างดี หางานทำได้ ได้แต่งงานแต่งการกับคนที่รักที่ชอบ มีครอบครัวสมดังความปรารถนา แต่กลายเป็นว่าหาทุกข์ใส่ตัวหนักยิ่งขึ้น ตอนอยู่คนเดียวจะกินเมื่อไรก็ได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว ถึงเราไม่หิว คนอื่นหิว ก็เหมือนกับตัวเราหิว ถึงเราไม่ป่วย คนข้างตัวป่วย ก็เหมือนกับเราป่วย ต้องคอยดูแล ต้องรักษาพยาบาล แล้วร่างกายทั้งเราของเขาก็หิวต้องกิน กระหายต้องดื่ม ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ต้องถ่ายหนักถ่ายเบา เจ็บไข้ได้ป่วย ต้องดูแลต้องรักษา คนข้างตัวป่วยก็ยิ่งกว่าเราป่วยอีก สกปรกโสโครกต้องอาบน้ำชำระร่างกาย อย่างน้อยวันหนึ่งก็ ๒ รอบ |
#13
|
||||
|
||||
หน้าที่การงานบีบรัดเข้ามา แต่ความทุกข์ที่ติดกายมาก็ไม่ได้น้อยลงไปเลย
ถึงเวลาทำงาน ข้างล่างก็กระแทกขึ้นมา เจ้านายก็อัดลงไป เราอยู่ตรงกลางก็แบนพอดี แล้วไหนจะต้องมีครอบครัว เหนื่อยยากมาทั้งวันแล้ว กลับบ้านยังมีเจ้านายรออยู่ ถ้าหากว่ามีเทวดาจ้อย นางฟ้าจิ๋วอยู่ในบ้าน ก็ต้องรีบบริการให้ได้อย่างใจพ่อเจ้าประคุณ แม่เจ้าประคุณก่อน เหนื่อยจนอยากจะลงไปคลานกับพื้น ก็ต้องดูแลครอบครัว ถึงเวลาลูกยิ่งโตขึ้น ความต้องการยิ่งมากขึ้น คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ยิ่งทุกข์มากขึ้น กลัวจะเลี้ยงลูกไม่ได้ดี กลัวจะส่งลูกเรียนไม่ไหว กลัวลูกจะติดยาเสพติด กลัวจะกลายเป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว กลัวจะท้องก่อนแต่ง ร่างกายตนเองก็ก้าวไปหาความเสื่อมความชราอยู่ทุกวัน สิ่งที่เคยทำได้คล่องก็เริ่มเสื่อมทราม ทำไม่ได้ดั่งใจ ความหิว ความกระหาย ความร้อน ความหนาว ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความสกปรกโสโครกมีอยู่เหมือนเดิม แต่ในเมื่อทำอะไรได้ยากขึ้น บริหารร่างกายได้ยากขึ้น ก็เหมือนกับมีมากขึ้น ผมก็ขาว ฟันก็หลุด ตาก็ฟาง หูก็ตึง ร่างกายคดค้อม ทั้งปวดทั้งเมื่อยขับไปทั้งตัว |
#14
|
||||
|
||||
ความทุกข์เหล่านี้ถมทับเราอยู่ทุกวัน โดยเฉพาะความหิว ต้องหาให้กิน ความกระหายต้องหาให้ดื่ม เจ็บไข้ได้ป่วยต้องรักษาพยาบาล สกปรกโสโครกต้องดูแลชำระร่างกาย เมียก็สร้างปัญหา ผัวก็สร้างปัญหา ลูกก็สร้างปัญหา หลานก็สร้างปัญหา เครียดจนความดันรับประทาน มะเร็งกินไปเลยก็มี
ความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้บีบคั้นเราอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนหลับตาลงไป ไม่มีระยะเวลาไหนที่ปราศจากความทุกข์ ยิ่งอายุมาก ยิ่งทุกข์มาก แม้แต่หายใจก็เหนื่อยแล้ว ความทุกข์ทั้งหลายนี้กัดกินเราอยู่ตลอดเวลา เท่ากับว่าเรายืน เดิน นั่ง นอน อยู่ในกองทุกข์ โดนไฟแห่งความทุกข์แผดเผาให้เร่าร้อนอยู่ตลอด บัดนี้เราเห็นชัดเจนแล้วว่า ความทุกข์ทั้งหลายนี้เป็นของที่คู่กับร่างกาย เป็นของที่คู่กับโลก ตัวเราก็ทุกข์ คนอื่นก็ทุกข์ สัตว์อื่นก็ทุกข์ วัตถุธาตุสิ่งของก็ทุกข์ สิ่งไม่มีชีวิตที่ทุกข์เพราะว่าเสื่อมสลายไปอยู่ตลอดเวลา |
#15
|
||||
|
||||
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้จริงแท้ว่า..
"สัพเพ สังขารา อนิจจา" สรรพสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง "สัพเพ สังขารา ทุกขา" สังขารทั้งหลายล้วนแต่ประกอบไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก บัดนี้เราเห็นชัดเจนแล้วว่า ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายคนอื่นก็ดี ร่างกายสัตว์อื่นก็ดี วัตถุธาตุทั้งหลายก็ดี มีแต่ความไม่เที่ยง มีแต่ความทุกข์เป็นปกติ ลูกขอนอบน้อมยอมรับในหลักธรรม ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ เมื่อพิจารณาไปมาก ๆ กำลังสมาธิก็เคลื่อนก็คลายตัวลง ความชัดเจนมีน้อยลง เราก็กลับมาหาลมหายใจเข้าออก และภาพพระของเราตามเดิม หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 07-07-2022 เมื่อ 06:48 |
#16
|
||||
|
||||
จนกระทั่งภาพพระสว่างไสวชัดเจนอยู่ในห้วงนึกของเรา ก็น้อมจิตน้อมใจกราบลงไปตรงนั้น
นั่นคือ..องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เสด็จมาโปรดเรา เราต้องมีคุณสมบัติเพียงพอ พระองค์ท่านถึงได้ให้การอนุเคราะห์สงเคราะห์ พระองค์ท่านไม่อยู่ที่ใดเลย นอกจากอยู่บนพระนิพพาน เราเห็นพระองค์ท่าน คือ อยู่ใกล้กับพระองค์ท่าน เราอยู่ใกล้กับพระองค์ท่าน คือ เราอยู่บนพระนิพพาน ให้ตั้งใจว่า..ถ้าวันนี้หมดอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือเกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ถึงแก่ชีวิตก็ตาม เราขอมาอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานนี้แห่งเดียวเท่านั้น แล้วกำหนดดูว่ายังมีลมหายใจและคำภาวนาอยู่หรือไม่ ถ้ายังมีลมหายใจ กำหนดลมหายใจไปด้วย ถ้ายังมีคำภาวนา กำหนดคำภาวนาไปด้วย ถ้าลมหายใจเบาลง กำหนดรู้ว่าลมหายใจเบาลง ถ้าลมหายใจหายไป คำภาวนาหายไป ให้กำหนดรู้ว่าลมหายใจหายไป คำภาวนาหายไป ไม่ต้องไปดิ้นรนภาวนาใหม่ ไม่ต้องไปดิ้นรนหายใจใหม่ กำหนดใจเกาะอยู่ที่ภาพพระให้มั่นคง ชัดเจน แจ่มใส อยู่ในห้วงนึกของเรา พยายามรักษาอารมณ์นี้เอาไว้ จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 07-07-2022 เมื่อ 06:52 |
#17
|
||||
|
||||
(สัญญาณบอกว่าหมดเวลา)
พุทโธ พุทโธ พุทโธ.. ได้ยินหนอ ได้ยินหนอ ได้ยินหนอ.. กำหนดสติกลับมา.. ตั้งสติให้มั่นคงก่อน แล้วค่อยขยับเขยื้อนเคลื่อนกายของเรา ไม่เช่นนั้นแล้วสมาธิจะหลุดหายหมด จะกราบพระ จะสวดมนต์ จะเคลื่อนไหวอย่างไร กำหนดใจให้นิ่งอยู่ในจุดใดจุดหนึ่งของร่างกายเสียก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วสมาธิก็จะหลุดหายไปในเวลาอันรวดเร็ว แล้วจะได้ทำวัตรเช้ากันต่อไป พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เทศน์ช่วงทำกรรมฐานเช้า วันอังคารที่ ๒๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย) |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|