กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนธันวาคม ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 06-12-2023, 19:57
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 500
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 24,998 ครั้ง ใน 988 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๖


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 07-12-2023, 00:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,723 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ตอนเช้าพวกเราได้บวชให้ท่านโอ (พระเจตน์สฤษฎิ์ โชติธมฺโม) ไปแล้ว แต่คราวนี้มีส่วนหนึ่งที่อยากทุกคนร่วมกันจดจำ เผื่อเอาไว้ดำเนินการตอนที่ตนเองมีภาระหน้าที่ มาถึงระดับที่จะต้องให้การบรรพชาอุปสมบท

ก็คือในเรื่องของการบวชนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุญาตให้ว่า ถ้าเป็นปัจจันตประเทศ ก็คือไม่ใช่ภาคกลางของอินเดียช่วงนั้น ซึ่งหาพระได้ยาก ประชุมสงฆ์ ๕ รูปก็บวชพระได้แล้ว เรียกว่า ปัญจวรรค แต่ถ้าหากว่าเป็นมัชฌิมประเทศ หรือว่าในส่วนกลาง อย่างน้อยต้องประชุมสงฆ์ ๑๐ รูปในการบวชพระ เรียกว่า ทสวรรค ส่วนที่จะมีมากกว่านั้น ไม่เป็นไร

การประชุมสงฆ์ที่ใช้มากที่สุดก็คือ การสวดอัพภานคืนความเป็นพระให้แก่ผู้ที่ออกจากปริวาส เนื่องเพราะว่าโดนอาบัติสังฆาทิเสส ขาดจากการเป็นพระชั่วคราว เมื่อได้รับการลงโทษครบถ้วนตามกำหนดแล้ว ก็มารับการสวดคืนความเป็นสงฆ์ให้ ต้องใช้พระสงฆ์อย่างน้อย ๒๐ รูป รวมทั้งตัวผู้เข้าทำพิธีอีก ๑ เป็น ๒๑ รูป พระสงฆ์ ๒๐ รูปเรียกว่า วีสติวรรค ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า อุโบสถวัดท่าขนุนที่หลวงปู่สายสร้างมานั้น สำหรับรองรับพระสงฆ์แค่วีสติวรรค ก็คือ ๒๐ รูป บวก ๑ เท่านั้น

คราวนี้มีญาติโยมบางคนก็ถือตามพุทธบัญญัติ สมมติว่ามาวัดเรา ก็ขอนิมนต์พระ ๑๐ รูปเข้าทำการบรรพชาอุปสมบท ซึ่งครั้งนั้น กระผม/อาตมภาพก็ได้ทักท้วงไปแล้วว่า การบวชนั้นต้องให้พระสงฆ์ส่วนใหญ่ เห็นพ้องกันว่าให้ยกเราขึ้นเป็นสงฆ์ได้

อย่างวัดท่าขนุนของเรา ปัจจุบันในวันนี้ มีพระอยู่ ๕๙ รูป ถ้าหากว่าคุณนิมนต์พระเข้าทำการอุปสมบทแค่ ๑๐ รูป แล้วเกิดอีก ๔๙ รูปบอกว่า "ผมไม่เห็นด้วย..!" ก็บรรลัยเท่านั้น ดังนั้น..ในเรื่องของพระบรมพุทธานุญาตบางอย่าง ก็ต้องดูด้วยว่าสถานที่นั้นเป็นอย่างไร สมัยก่อนหาพระยาก กว่าที่จะหาได้ครบอาจจะต้องรอนาน เหมือนอย่างกับท่านปุณณมันตานีบุตร กว่าจะหาพระพอครบบวชได้ ก็ต้องรอไปถึง ๓ ปีเต็ม..!

คราวนี้ในปัจจุบัน บางสำนักมีพระเป็นจำนวนมาก ถ้าหากว่าลงโบสถ์อุปสมบท อย่างน้อยก็ต้องไปเกินครึ่งไว้ ๑ รูป ถือว่าเป็นเสียงข้างมากที่เห็นด้วย อย่างของเราในปัจจุบันนี้ อย่างน้อยก็ต้องลงโบสถ์ ๓๐ รูป ดังนั้น..บางอย่างถ้าหากว่าเราทำผิดทำพลาดไป การอุปสมบทนั้นอาจจะมีปัญหาทีหลัง จึงเป็นเรื่องที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพินิจพิจารณาให้ดี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-12-2023 เมื่อ 02:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 07-12-2023, 00:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,723 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โดยเฉพาะพระอุปัชฌาย์ ตามรากศัพท์ แปลว่า ผู้เพ่งดู อยู่แล้ว ก็คือดูพิธีการให้จบลงโดยสมบูรณ์ ไม่มีอะไรบกพร่อง ไม่อย่างนั้นอุปสมบทไปแล้ว ลูกหลานของเขาไม่เป็นพระก็ยุ่งกันใหญ่..! ไปร่วมฉันกับพระ ไปร่วมนอนกับพระ กลายเป็นอนุปสัมบัน ก็คือผู้ที่มีศีลน้อยกว่าอยู่ในท่ามกลางอุปสัมบัน ตัวเองก็มีโทษ พระท่านก็ต้องอาบัติอีกด้วย..!

เรื่องพวกนี้ในบางสถานที่อาจจะมี อย่างเช่นว่าสำนักเรียนที่มีพระเป็นร้อย ๆ รูป บางทีท่านอาจจะไม่ได้นึกถึงตรงจุดนี้ แล้วเจ้าภาพก็เกรงว่า ถ้าพระมามากขนาดนั้น จะไม่มีปัจจัยไทยธรรมเพียงพอที่จะถวาย ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็ได้บอกกับเจ้าภาพท่านนั้นไปแล้วว่า จะนิมนต์ ๑๐ รูป ก็เอาไทยธรรมมาเท่านั้นแหละ ส่วนที่เหลือกระผม/อาตมภาพจะถวายพระท่านเอง..!

พวกเราในเมื่อเป็นพระเป็นเณร สิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องเอาพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ ในเมื่อเราเอาพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ สิ่งไหนที่ผิดพลาด ต้องกล้าทักท้วง กล้าพูด ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าสังฆกรรมเสีย ก็เท่ากับทำไปแล้วเหนื่อยเปล่า เพียงแต่ว่าการพูด การทักท้วงนั้น ต้องดูตัวเองด้วยว่าเราอยู่ในระดับไหน ?

กระผม/อาตมภาพ สมัยยังบวชอยู่ที่วัดท่าซุงอยู่ อาศัยที่ว่าศึกษาตำรามามาก พอเห็นอะไรดูท่าว่าจะไม่เข้าท่า ก็ทักท้วง แต่ก็ไม่ค่อยมีใครฟัง ไปเที่ยวไล่ถามคนอื่นจนรอบประเทศไทยแล้ว ผลก็ออกมาอย่างที่กระผม/อาตมภาพบอกไป ก็เลยกลายเป็นว่า บางท่านก็ไม่ชอบขี้หน้า เพราะว่าไปทักเขา ทำให้เขาขายหน้า เนื่องจากว่าทำในสิ่งที่มีสิทธิ์ที่จะไม่ถูกต้องได้..!

แต่ว่าถ้าหากว่าท่านรักตัวเอง ไม่กล้าทักท้วง กลัวโดนลงโทษ กลัวเขาไม่ชอบขี้หน้า ถ้าลักษณะอย่างนั้น เราก็ต้องปล่อยให้พระธรรมวินัยเสื่อมทรามลงไปทุกวัน ซึ่งการที่เราบรรพชาอุปสมบทมา ส่วนสำคัญอย่างหนึ่งก็คือเพื่อสืบทอดอายุพระศาสนา ถ้าเราไม่กล้าพูด ไม่กล้าทักท้วง ก็กลายเป็นว่า เรามองพระพุทธศาสนาค่อย ๆ พังลงไป โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-12-2023 เมื่อ 02:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 07-12-2023, 00:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,723 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แม้แต่วันนี้ในกลุ่มไลน์เจ้าคณะอำเภอของจังหวัดกาญจนบุรี ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรี ลงภาพการเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อเป็นศิริมงคลในการเปิดงานสะพานข้ามแม่น้ำแคว ปรากฏว่าในรูปเป็นโหล มีแต่ภาพเจ้าใหญ่นายโตในจังหวัดทั้งนั้น มีภาพเดียวที่ติดพระสงฆ์กำลังเจริญพระพุทธมนต์ ซึ่งก็โดนโต๊ะหมู่บูชาบังเสียหมด ได้เห็นหน้าของรูปสุดท้ายแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น..!

กระผม/อาตมภาพจึงได้ท้วงไปในกลุ่มไลน์ว่า "โปรดให้เกียรติพระด้วย นิมนต์ไปเสียเยอะแยะแต่ไม่ได้เห็นหน้าเลย แล้วนิมนต์ไปทำอะไร ?" แต่ว่าทางสำนักพุทธฯ ของเรารู้ตัวเร็วดีมาก จัดการเปลี่ยนแปลงกระดานข่าวทันทีทันใด แล้วยกภาพพระทั้ง ๙ รูปขึ้นไว้บนสุดด้วย แสดงว่ารู้ตัวว่าทำในสิ่งที่ไม่สมควร แล้วรีบแก้ไขทันที

แต่อย่าลืมว่านั่นคือกลุ่มไลน์เจ้าคณะอำเภอในจังหวัดกาญจนบุรี แล้วยังต้องให้กระผม/อาตมภาพไปท้วงก่อน ถึงจะมีการแก้ไข บุคคลที่เหลือคิดไม่ถึง หรือว่าไม่เห็น หรือไม่กล้าทักท้วงก็ไม่ทราบ แต่ถ้าปล่อยไปนาน ๆ ในลักษณะอย่างนั้น สำนักงานพระพุทธศาสนาก็จะไม่เป็นสำนักงานพระพุทธศาสนา

เพราะว่าการตั้งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติขึ้นมา แล้วก็มีลูกก็คือสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ก็เพื่อช่วยสนองงานคณะสงฆ์ให้เกิดความคล่องตัวให้มากที่สุด แต่ว่ามาถึงปัจจุบัน บางทีก็มีการเข้าใจผิด หรือหลงประเด็นกันไปบ้าง

อย่างเช่นว่าออกหนังสือคำสั่งให้พระทำอย่างโน้น ให้พระทำแบบนี้ คือถ้าต้องการให้พระทำแบบไหน เพื่อให้พระพุทธศาสนาของเราเจริญขึ้น ให้ทำในลักษณะถวายการแนะนำ ในฐานะโยมซึ่งคอยอุปถัมภ์อุปัฏฐาก คอยเป็นพี่เลี้ยง ไม่ใช่ออกเป็นคำสั่ง แล้วเรื่องพวกนี้ก็เชื่อเถอะ ไม่มีใครทักท้วงหรอก อย่างดีก็มาบ่นกันลับหลัง ซึ่งไอ้การบ่นลับหลัง บ่นไปทำไม ? คนฟังก็รำคาญอีกด้วย..!

ดังนั้น..การที่พวกเราบวชเข้ามา จึงเป็นภาระเป็นหน้าที่เลยว่า พวกเราจะต้องช่วยกันค้ำจุนพระพุทธศาสนาของเรา ให้อยู่ได้ครบ ๕,๐๐๐ ปี สิ่งหนึ่งประการใดที่ไม่ดีไม่งาม ถ้าพบถ้าเห็น ต้องกล้าทักท้วง สิ่งใดที่ดีกว่าต้องกล้าบอก กล้าชี้แจง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านที่ดีขึ้น ไม่เช่นนั้นแล้วคำว่า "ธรรมเสนา" คือ "ทหารในกองทัพธรรมของพระพุทธเจ้า" ก็ไร้ความหมาย เพราะว่าไม่กล้ารบ ไม่กล้าสู้ แล้วพระพุทธศาสนาจะตั้งอยู่ได้อย่างไร ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-12-2023 เมื่อ 02:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 07-12-2023, 00:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,723 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยบอกกล่าวพวกท่านทั้งหลายไปแล้วว่า การไปเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยสงฆ์นั้น กระผม/อาตมภาพไม่ได้เห็นประโยชน์ในด้านถ่ายทอดความรู้ เพราะว่าความรู้นั้น ครูบาอาจารย์ท่านไหนก็สอนได้ แล้วถ้าหากว่าเป็นกระผม/อาตมภาพเองก็ไม่ต้องสอน อ่านตำราเองก็รู้เรื่อง

แต่ว่าในส่วนของจริยะ ก็คือแบบอย่างความประพฤติเป็นสิ่งที่จำเป็น อันดับแรกเลย ครูบาอาจารย์ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูกศิษย์ได้ ในสมัยที่เป็นนิสิตศึกษาอยู่ กระผม/อาตมภาพก็เป็นตัวอย่างให้กับเพื่อนฝูงด้วย จากที่ไม่เอาศีลไม่เอาธรรมเลย หลายต่อหลายท่านก็กลับมา ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตนเป็นพระภิกษุที่ดีในพระพุทธศาสนา บางท่านก็ปรารภว่า "ผมเปลี่ยนแปลงได้เพราะดูพี่เล็กเป็นตัวอย่าง"

การไปสอนหนังสือของกระผม/อาตมภาพนั้น หวังแค่ตอนปิดคอร์ส คือจบเทอมเท่านั้น ก็คือชั่วโมงสุดท้าย ก่อนที่จะส่งท้ายก็จะบอกกล่าวแก่พระภิกษุสามเณรที่เข้าเรียนทุกท่านว่า "การเรียนของเรานั้นเป็นการเพิ่มพูนความรู้ ถ้าเราเอาไปใช้ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ ก็จะเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่ถ้าเราเอาความรู้นั้นไปพลิกแพลง เพื่อที่จะหาประโยชน์บ้าง เพื่อที่จะทำความชั่วไม่ให้คนอื่นเขารู้บ้าง ถ้าลักษณะแบบนั้น ก็กลายเป็น "เหี้ยติดปีก..!" ก็คือทำความชั่วได้เนียนขึ้น ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไม่สามารถที่จะทำให้พระพุทธศาสนาเจริญขึ้นมาได้ กระผม/อาตมภาพขอแค่ว่า อย่าทำให้พุทธศาสนานี้พังลงไปด้วยมือของพวกคุณเลย..!

ดังนั้น..สิ่งทั้งหลายที่ได้พูดไปก็คือว่า ในเรื่องของการเรียนการสอน สอนตามตำรา สอนตามหลักวิชาการ ไม่ว่าท่านจะเก่งขนาดไหนก็ตาม ส่วนที่ควรจะสอนอย่างที่สุด คือทำอย่างไรให้พระภิกษุสามเณรของเรามีจิตสำนึกในการรักพระพุทธศาสนา มีจิตสำนึกในการที่จะช่วยเหลือ ป้องกัน ค้ำจุน พระพุทธศาสนาของเราให้อยู่ยั้งยืนยง ไม่ทำให้พังลงไปด้วยตัวของเราเอง

เหตุการณ์ในวันนี้ บางทีบางท่านก็ได้รับการบอกเล่าไปแล้ว บางท่านก็ยังไม่ได้ฟัง ก็ขอให้รู้ไว้ว่า พระเณรของเราต้องเอาพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ ไม่ใช่เอาใจชาวบ้าน หรือเอาตามกฎหมายทางโลก

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-12-2023 เมื่อ 02:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:26



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว