กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 02-05-2023, 17:51
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 358
ได้ให้อนุโมทนา: 3,307
ได้รับอนุโมทนา 19,394 ครั้ง ใน 837 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๖


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 02-05-2023, 23:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,777
ได้ให้อนุโมทนา: 152,254
ได้รับอนุโมทนา 4,421,553 ครั้ง ใน 34,367 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนนี้ ที่โรงแรม Pangong Sarai แคว้นลาดัก ประเทศอินเดีย ซึ่งเขาให้พวกเราพักในกระโจมแบบมองโกล ที่เรียกว่า "เกอร์" อากาศตอนนี้ลบ ๒ องศาเซลเซียส แต่ว่าเจ้าแม่นภิสราเทวีและบรรดาเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย ต่างก็รับปากไว้แล้วว่าจะหอบความชื้นมาให้มาก ๆ อากาศจะได้ไม่หนาวอย่างที่พยากรณ์เอาไว้

สำหรับวันนี้ กระผม/อาตมภาพตื่นขึ้นมาที่โรงแรม Trikaya Hotel ตั้งแต่เช้ามืดเช่นเดิม รู้สึกอุ่นสบายมาก แม้แต่ผ้าห่มหรือว่าเตียงของทางโรงแรมก็แทบจะไม่ได้ใช้ อาศัยผ้าห่มต่างหากที่เขาให้มา ๑ ผืน กับฮีตเตอร์เครื่องหนึ่งที่เปิดเอาไว้ ก็นอนหลับสบาย ไร้กังวล

เมื่อได้เวลาก็จัดการล้างหน้า แต่งตัว แล้วลงไปช่วยกันนั่งกดดันที่ห้องอาหารของโรงแรม เพราะว่าโดยปกติแล้ว ทางด้านโรงแรม Trikaya Hotel แห่งนี้ เขาจะเปิดให้รับประทานอาหารเช้าตอน ๘ โมง เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าช่วงเช้าอากาศหนาวจัดมาก ทำให้ต้องรอจนกระทั่งมีแสงแดดขึ้นก่อน คนที่นี่ถึงจะได้ขยับขยาย ทำมาหากินกันตามปกติ

แต่เนื่องจากว่าพวกเราต้องเดินทางไกลถึง ๒๒๕ กิโลเมตร เพื่อไปยังทะเลสาบพันกอง ซึ่ง ๒๒๕ กิโลเมตรนี้ ถ้าหากว่าเป็นถนนบ้านเราก็วิ่งถึงภายใน ๒ ชั่วโมงเท่านั้น แต่ว่าที่นี่เขาจำกัดความเร็วอยู่ที่ ๔๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วด้วยความที่ถนนไม่ดี หลายต่อหลายตอนก็เป็นถนนลูกรัง กระโดกกระเดก เขย่าจนกระดูกกระเดี้ยวมีกี่ชิ้นแทบจะหลุดออกมาหมด ทำให้เป็นการจำกัดความเร็วไปโดยอัตโนมัติ ถึงได้ต้องใช้เวลาประมาณ ๖ ชั่วโมง

พวกเราวิ่งกลับมาในตัวเมืองลาดัก แวะร้านขายยาเพื่อหาซื้อออกซิเจนกระป๋องสำหรับผู้ที่แพ้ที่สูง แต่กระผม/อาตมภาพบอกว่าให้ซื้อทุกคน เขามีอยู่ ๒ ขนาด คือขนาดที่กดได้ ๑๕๐ ครั้ง ราคาประมาณ ๕๕๐ รูปี แบบที่กดได้ ๒๕๐ ครั้ง ราคาประมาณ ๗๐๐ รูปี ซึ่งลูกปุ๊ก (นางสาวสุมาลี ตีรเลิศพานิช) นั้น ค่อนข้างจะประมาท บอกว่า "เอาขวดเล็กก็พอ" แถมยังไปต่อราคาเขาอีก

กระผม/อาตมภาพบอกว่า "อย่าได้ประมาท ถ้าหากว่าอยู่ในสถานที่จำเป็นแล้ว ออกซิเจนทุกช็อตที่เราพ่นใส่ตนเองนั้น สามารถพาให้เรารอดชีวิตไปได้ เรื่องแบบนี้อย่าได้เอาชีวิตตัวเองไปต่อรองกับเงินแค่ไม่กี่สตางค์..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2023 เมื่อ 21:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 02-05-2023, 23:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,777
ได้ให้อนุโมทนา: 152,254
ได้รับอนุโมทนา 4,421,553 ครั้ง ใน 34,367 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อได้ออกซิเจนมาจนครบถ้วนกันทุกคนแล้ว พวกเราก็เดินทางเพื่อที่จะตรงไปทางด้านทะเลสาบพันกอง แต่ว่าถนนสายนี้สามารถวิ่งทะลุไปถึงเมืองมนาลีและเมืองธรรมศาลาในรัฐหิมาจัลประเทศ ที่องค์ดาไลลามะองค์ที่ ๑๔ ได้ไปเช่าจากประเทศอินเดีย สร้างเป็นชุมชนชาวทิเบตเอาไว้

พวกเราจะเจอด่านตรวจเป็นระยะ ๆ ไป เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าแถวนี้เป็นพื้นที่อ่อนไหว เนื่องจากว่าเป็นพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างประเทศจีนและอินเดีย ซึ่งต่างก็เป็นประเทศมหาอำนาจ ไม่มีใครยอมใคร ทำให้ต้องตรวจตรากันเข้มงวดมาก

แต่ว่าพวกเราไปยังไม่ทันจะเท่าไร พี่มุกดา (นางสาวมุกดา เพชรชื่นสกุล) ก็น็อกเป็นคนแรก ทั้ง ๆ ที่พื้นที่แถวนี้เพิ่งจะ ๓,๗๐๐ เมตรเศษเท่านั้น ทำให้ต้องกอดถังออกซิเจนใหญ่ซึ่งทางรถมีติดไว้ทุกคัน หายใจจนกว่าอาการจะดีขึ้นจึงได้เดินทางต่อไป ทำให้กระผม/อาตมภาพดุทุกคนว่า "การที่เราเจ็บไข้ได้ป่วยไม่ใช่เรื่องของการเสียหน้า ไม่ใช่เรื่องของการต้องรักษาภาพพจน์ ให้รีบบอกโดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้ช่วยกันแก้ไข ไม่เช่นนั้นแล้วเรานั่นแหละ..ที่จะเป็นตัวถ่วงทีมของเราไม่ให้ไปถึงไหน"

ระหว่างทางนั้น เราก็ผ่านสถานที่สำคัญ คือพระราชวัง Shey ซึ่งเป็นพระราชวังของมหาราชาที่ปกครองทางด้านลาดักแห่งนี้ ก่อนที่จะย้ายไปยังเมืองลาดักอย่างถาวร เรามีโปรแกรมจะแวะเที่ยวสถานที่นี้ในขากลับ แล้วต่อไปก็เป็นวัด Chemray Gompa ซึ่งดูจากสายตาเป็นที่วัดใหญ่โตมโหฬาร ประมาณหมู่บ้านใหญ่ ๆ เลย สถานที่เหล่านี้นั้นน่าสนใจมาก แต่ว่าเราไม่มีโอกาสได้แวะ เพราะว่าเราต้องรีบเดินทางไปให้เร็วที่สุด เนื่องจากไม่สามารถที่จะทราบได้ว่า อนาคตนั้นจะเป็นเช่นไร

รถยนต์ของเราค่อย ๆ วิ่งสูงขึ้นไปตามลำดับ สถานที่ซึ่งสูงที่สุดในวันนี้ ความสูงอยู่ที่ ๕,๒๗๕ เมตร ซึ่งรถของเราสองคันก็ผลัดกันนำผลัดกันตาม เนื่องเพราะว่าถนนเป็นลูกรัง ใครอยู่ข้างหลังก็ได้กินฝุ่นกันอิ่มหน่อย..! เห็นบรรดาเจ้าหน้าที่นั้นก็มาจัดการย้ายหินถล่มออกไปบ้าง ทำการซ่อมแซมเส้นทางอยู่บ้าง

แต่ว่าเมื่อมองไปแล้วก็ใจหาย เพราะว่าจุดสูงสุดของถนนที่สายตามองเห็นนั้น เกือบจะสูงเท่ายอดเขาหิมะอยู่แล้ว พวกเราจึงต้องสลับกันวัดออกซิเจนในเลือดว่ามีมากน้อยเท่าไร แต่ที่น่าตกใจก็คือบางคนเหลือแค่ ๔๐ กว่าเท่านั้น จึงต้องผลัดกันดมออกซิเจนถังใหญ่ จนกว่าออกซิเจนในเลือดจะมากกว่า ๘๐ เปอร์เซ็นต์จึงจะปล่อยให้ผ่านไปได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2023 เมื่อ 22:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 03-05-2023, 00:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,777
ได้ให้อนุโมทนา: 152,254
ได้รับอนุโมทนา 4,421,553 ครั้ง ใน 34,367 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จนกระทั่งเวลาประมาณ ๑๑ โมงของทางประเทศอินเดีย พวกเราก็มาถึงจุดสูงสุดซึ่งเป็นจุดที่มีทั้งร้านกาแฟ และมีสถูปสร้างไว้เป็นเครื่องหมาย พวกเราตรงไปเข้าห้องน้ำของทางร้านกาแฟเสียก่อน เพราะว่าอั้นกันมานานมาก เนื่องจากว่าอากาศถึงขนาดลบ ๒ ลบ ๓ องศาเซลเซียส แต่เนื่องจากพวกเราอยู่ภายในรถจึงไม่ค่อยรู้สึกอะไร แต่ว่าร่างกายของเรายังคงทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ เพียงแต่ว่าเมื่อลงไปแล้วก็ต้องค่อย ๆ ย่องไปต่อคิว เดินเร็วไม่ได้ เนื่องจากว่าถ้าเดินเร็วเมื่อไร เราเองก็อาจจะถึงกับล้มทั้งยืน เพราะว่าขาดออกซิเจนก็เป็นได้..!

พวกเราแม้ว่ามือไม้หนาวไปหมด แทบจะหายใจไม่ไหว แต่ก็ยังอุตส่าห์ไปจับกลุ่มถ่ายรูปหมู่กันบริเวณหน้าสถูป แล้วทิดเฟิร์ส (นายบัณฑิต เอี่ยมตระกูล) กับทิดดอย (นายภาณุพงศ์ วังประภา) ก็ตาไว เห็นพระอาทิตย์ทรงกลด ทั้ง ๆ ที่ ฟ้าใสแจ๋วอยู่ข้างบน

เมื่อสอบถามเจ้าแม่นภิสราเทวีแล้ว ท่านบอกว่า "ข้างบนช่วยกันแสดงออกเพื่อต้อนรับท่านลามะล็อบซัง ดอร์เจ ดรุกยุน กยัตโซ" อาตมภาพก็ได้แต่โมทนา นึกคาราวะองค์ลามะท่าน ตลอดจนกระทั่งเทิดคุณของพระรัตนตรัยไว้เหนือเศียรเหนือเกล้า แล้วพวกเราก็ขึ้นรถผลัดกันดมออกซิเจนไป ต้องช่วยกันดูแลเป็นระยะ ๆ

จนกระทั่งเวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงคณะของเราจึงได้หยุดลง เพื่อที่จะรับประทานอาหารที่โรงแรม โดยเข้ารับประทานอาหารเพลกันที่ โรงแรม Pangong Residency ซึ่งอยู่ที่เมืองกัสเซ่ เมื่อพวกเราเข้าไป ปรากฏว่าเขายังเตรียมอาหารไม่พร้อม เมื่อพร้อมกระผม/อาตมภาพก็ตักเอาอาหารไปนั่งฉัน กำลังจะอิ่มอยู่แล้ว มีโยมเดินมาบอกว่า อาหารนี้เป็นของนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ไม่ใช่ของเรา แต่ว่าบอกช้าจนเกินไป เพราะว่ากระผม/อาตมภาพกวาดลงท้องเรียบวุธไปแล้ว..!

เมื่อรอจนกระทั่งอาหารของเรามาถึง กระผม/อาตมภาพจึงไปตักน้ำข้าวต้มมา ๒ ถ้วย เพื่อที่จะซดเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย แล้วก็เป็นปกติของทางเอ็น ซี ทัวร์ ที่เตรียมอาหารไทยมาด้วย มีทั้งกุนเชียง มีทั้งหมูรวนเค็ม เพื่อที่จะให้กินกับข้าวต้ม แต่เนื่องจากว่าอากาศเย็นจัดมาก จึงกลายเป็น "หมูหิน" ไปหมด หลังจากที่อิ่มเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เข้าคิวกันเข้าห้องน้ำของทางโรงแรม Pangong Residency เพราะว่าหน้าตาดูดีกว่าส้วมหลุมของร้านกาแฟ Changla Cafeteria เป็นอย่างยิ่งทีเดียว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2023 เมื่อ 22:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 03-05-2023, 00:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,777
ได้ให้อนุโมทนา: 152,254
ได้รับอนุโมทนา 4,421,553 ครั้ง ใน 34,367 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พวกเราวิ่งไปทางถนนสายลาดัก-พันกอง ซึ่งเป็นทางลูกรังสูง ๆ ต่ำ ๆ เขย่าจนกระทั่งกระดูกทุกชิ้นอยู่ที่ไหนก็รู้หมด ผ่านไปประมาณ ๔๕ นาที ปรากฏว่านาย Tsering Joldan ซึ่งเป็นพลขับนั้นได้จอดแล้วถอยหลังไปค่อนข้างจะไกล กระผม/อาตมภาพไม่อยากลงจากรถ แต่ว่าคุณลุงกระตือรือร้น ช่วยกวักมือเรียกจึงลงไป ปรากฏว่าเจอไอ้อ้วน (Himalayan Marmot) ซึ่งเป็นกระรอกดินชนิดหนึ่ง ออกมาโบกมือขออาหารอยู่ข้างทาง กระผม/อาตมภาพจึงนำเอาช็อกโกแลตและกล้วยตากแบ่งปันให้เจ้าอ้วนกิน ขณะที่ทุกคนรุมถ่ายทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว

เมื่อนักท่องเที่ยวอื่น ๆ เห็น ต่างกันต่างก็หยุดรถลงมาออกันเต็มถนนไปหมด ดูกระผม/อาตมภาพเลี้ยงจนเจ้าอ้วน0นอิ่ม เมื่ออิ่มแล้ว ขออุ้มก็เล่นตัว วิ่งไปหาคนอื่นว่ายังมีอาหารอะไรให้อีกหรือไม่ กระผม/อาตมภาพจึงได้บ๊ายบาย ได้แต่อวยพรให้หากินได้อิ่มปากอิ่มท้อง แต่ว่านี่พ้นช่วงฤดูหนาวแล้ว ก็ไม่น่าจะยากลำบากนัก แล้วพวกเราก็ขึ้นรถมาสูดออกซิเจนจนกระทั่งในสายเลือดมีเกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ จึงพร้อมเดินทางเขย่ากันต่อไป

ถนนสายที่พวกเราวิ่งไปนั้นเป็นถนนสายยุทธศาสตร์สำคัญ รัฐบาลอินเดียจึงส่งคนมาเร่งสร้าง แต่ว่าน่าสงสารที่ท่านทั้งหลายเหล่านี้ต้องมากางเต็นท์สู้ลมหนาว แต่ละคนทั้ง ๆ ที่ทำงานอยู่กลางแดดเปรี้ยง ๆ ก็ใส่ทั้งเสื้อกันหนาว เสื้อกันลม กางเกงหนาเตอะกันทุกคน แต่ว่าพวกเราก็ได้แต่อนุโมทนากับเขาทั้งหลาย แล้วก็วิ่งกันต่อไป

บางช่วงนั้นแม่น้ำทั้งสายกลายเป็นน้ำแข็ง ทำให้นักท่องเที่ยวคณะอื่นพากันลงไปเดินเล่นและถ่ายรูปเอาไว้ แต่กระผม/อาตมภาพนั้นไม่ได้ใส่ใจ เพราะว่าเร่งจะไปให้ถึงทะเลสาบพันกองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จนกระทั่งเวลาประมาณบ่าย ๓ โมงครึ่ง พวกเราก็มาวิ่งอยู่บนทะเลสาบขนาดใหญ่ แต่ว่าแห้งจนเหลือเพียงพื้นทรายเท่านั้น และทางรัฐบาลอินเดียยังเอาไว้เป็นที่ปักเสา เดินสายไฟฟ้าให้แก่บ้านเมืองต่าง ๆ ทางปลายทางอีกด้วย

เมื่อวิ่งไปจนกระทั่งเวลาประมาณบ่าย ๓ โมงครึ่ง ทะเลสาบสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ก็ปรากฏแก่สายตา พวกเราวิ่งเลียบทะเลสาบไปไกลมาก เพราะว่าทะเลสาบพันกองนั้นมีความยาวนับร้อยกิโลเมตร สามารถแบ่งออกเป็นทะเลสาบ ๕ แห่งด้วยกัน แต่ว่าเมื่อถึงหน้าน้ำ ทุกแห่งก็จะเชื่อมเข้าหากัน และเรียกว่าทะเลสาบพันกองเหมือนกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2023 เมื่อ 22:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 03-05-2023, 00:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,777
ได้ให้อนุโมทนา: 152,254
ได้รับอนุโมทนา 4,421,553 ครั้ง ใน 34,367 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ไปจนกระทั่งถึงจุดชมวิวตอนเวลาประมาณ ๑๕.๔๕ น. ลุง Tsering Joldan ขออภัย..นามสกุลอาจจะอ่านผิด ก็จอดให้พวกเราถ่ายรูปในมุมที่สวยที่สุด ซึ่งเมื่อพวกเราแบ่งไปเป็นตากล้องก็ทำให้ขาดคนในคณะ หรือว่าในรูปหมู่ไป กระผม/อาตมภาพตะโกนบอกไกด์ท้องถิ่น คือนายเท็นซิน โซนัม บอกว่าให้ปีนหลังคารถตู้ ซึ่งมีบันไดอยู่ขึ้นไป เพื่อที่จะถ่ายรูปหมู่โดยที่ไม่บังทะเลสาบทางด้านหลัง แต่นายเท็นซินทำเป็นหูทวนลม..!

กระผม/อาตมภาพจึงให้น้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ซึ่งทุกครั้งที่ลงจากรถ คนอื่นขึ้นรถไปแล้ว วัดออกซิเจนในเลือดก็จะอยู่ที่ ๔๐ กว่าบ้าง ๕๐ กว่าบ้าง แต่ของน้องเล็กอยู่ที่ ๙๐ กว่าเสมอ จนถูกแซวว่าน่าจะเป็นมนุษย์คนละสายพันธุ์กัน ครั้งนี้จึงให้น้องเล็กปีนหลังคาขึ้นไปถ่ายรูปหมู่ให้กับพวกเรา

เมื่อถ่ายรูปหมู่เสร็จสรรพเรียบร้อย พวกเราก็ขึ้นรถ วิ่งต่อไป เป็นการเลียบทะเลสาบระยะยาว โดยที่ผลัดกันดมออกซิเจนไปเพื่อความไม่ประมาท แม้แต่กระผม/อาตมภาพเองก็ทำเช่นนั้น เพราะว่าถ้าหากสมองบวมขึ้นมา ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ทันที..!

จนกระทั่งเวลา ๔ โมงเย็นของประเทศอินเดีย คุณลุง Tsering Joldan ซึ่งตอนนี้มั่นใจแล้วว่าอ่านชื่อถูกแน่นอน ก็ได้เลี้ยวรถเข้าไปบริเวณที่ถ่ายภาพได้สวยที่สุด ปรากฏว่ามีรถอยู่หลายสิบคัน มีบ้านพักลักษณะโรงแรมและเกสต์เฮ้าส์อยู่เป็นร้อย เพื่อให้พวกเราลงไปถ่ายรูปกัน ก็เป็นเรื่องแปลกที่ว่า จากที่จอดรถเดินไปจนกระทั่งถึงชายฝั่งทะเลสาบพันกองนั้น น่าจะอยู่ที่ประมาณครึ่งค่อนกิโลเมตร แต่กระผม/อาตมภาพไม่รู้สึกเหนื่อยเลย แต่เมื่อกลับมาถึงรถยนต์เป็นคนแรก ก็จัดการดมออกซิเจนเสียก่อน

เมื่อคนอื่นตามขึ้นมา โดยเฉพาะคุณยายภัทริณ จันทรนิภาพงศ์ ซึ่งอายุ ๘๒ ปี และคุณนวลจันทร์ เพียรธรรม เจ้าของผู้ก่อตั้งเอ็น ซี ทัวร์ อายุ ๘๑ ปี เดินตามขึ้นมาแบบที่ภาษาวัยรุ่นว่า "ชิลด์มาก" จึงได้ถามว่าอายุเท่าไรแล้วจ๊ะ ? คุณนวลจันทร์บอกว่า "๑๘ เจ้าค่ะ" ส่วนคุณยายภัทริณบอกว่า "๒๘ ค่ะ" เป็นการอ่านอายุกลับหลังกันทั้งหมด แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-05-2023 เมื่อ 19:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 03-05-2023, 00:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,777
ได้ให้อนุโมทนา: 152,254
ได้รับอนุโมทนา 4,421,553 ครั้ง ใน 34,367 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จนกระทั่งคุณเอ (นายฉัตตริน เพียรธรรม) กรรมการผู้จัดการบริษัทเอ็นซีทัวร์ ในปัจจุบันนี้ปรารภว่า "คุณแม่ก็น่าจะเป็นมนุษย์อีกสายพันธุ์หนึ่งเหมือนกับคุณน้องเล็กเช่นกัน แต่ผมไม่ได้ดีเอ็นเอของแม่มาเลย ไปที่ไหนก็ลำบาก" แต่ว่าครั้งนี้สามารถทำลายสถิติของตนเอง ที่ว่าเกิน ๒,๗๐๐ เมตร ขึ้นมาจนถึง ๕,๕๐๐ กว่าเมตร แล้วตอนนี้อยู่ที่ ๔,๐๐๐ เมตร เพราะว่าได้ทำตามคำของท่านอาจารย์บ๊ะ (พระอาจารย์ศิริชัย ชยธมฺโม) ที่ให้เคี้ยวใบฝรั่งเพื่อเพิ่มออกซิเจนในเลือด ทำให้พวกเราทุกคนไม่ได้อยู่ในอาการที่ลำบากมากนัก

เมื่อขึ้นรถมาแล้ว พวกเราก็วิ่งต่อไปจากสถานที่นั้น ตรงไปยัง"หมู่บ้าน Maan (มาอาน)" ซึ่งกระผมเรียกให้จำขึ้นใจง่าย ๆ ว่า"หมู่บ้านหมาหลังอาน" ซึ่งอยู่ห่างออกไป ๘ กิโลเมตร เมื่อเลี้ยวเข้าไปในโรงแรมหรือรีสอร์ต ชื่อ Pangong Sarai ที่กระผม/อาตมภาพเรียกเป็นภาษาไทยว่า "โรงแรมพันกองสาหร่าย" สถานที่นี้จัดห้องพักให้เป็นเกอร์ ก็คือลักษณะกระโจมของชาวมองโกล

เมื่อพวกเราเข้าไป ทางโรงแรมก็ต้อนรับด้วยชานมใส่มัสซาล่า ปรากฏว่าท่านผู้ที่กินไม่เป็นสละสิทธิ์ส่งมาให้ กระผม/อาตมภาพฟาดเข้าไปคนเดียว ๓ ถ้วย แล้วก็รับกุญแจจากคุณนวลจันทร์ ตรงไปยังกระโจมหมายเลข ๑๙ เมื่อเปิดประตูกระโจมออกมาก็ตกใจ เพราะว่ามีเตียงคู่หลังใหญ่ยังไม่พอ ยังมีเตียงเสริมหลังเล็กอีกด้วย ทางเจ้าหน้าที่โรงแรมบอกว่าน้ำร้อนจะมาตั้งแต่ ๖ โมงเย็น ถึง ๒ ทุ่ม ไฟฟ้าก็มาตอนนั้นเช่นกัน เพียงแต่ว่าไม่มีสัญญาณ WIFI จึงทำให้พวกเราไม่สามารถที่จะกระทำอะไรได้เลย นอกจากเข้าสู่ที่พักแต่โดยดี

เมื่อตากลมหนาวมา ทำให้กระผม/อาตมภาพเริ่มมีขี้มูกไหลย้อย จึงได้ฉัน "ยาญี่ปุ่น" เข้าไป ป้องกันไม่ให้ตัวเองไข้จับ จัดการใส่ทั้งหมวกไหมพรม เสื้อกันลม ถุงเท้า แล้วก็มาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน แต่เป็นที่น่าเสียใจว่าไม่สามารถส่งให้ท่านทั้งหลายฟังได้ในวันนี้ อย่างไรเสียถ้าพรุ่งนี้อยู่ในสถานที่พักซึ่งมีสัญญาณ WIFI แล้ว ก็จะส่งให้ท่านทั้งหลายได้ฟังกันต่อไป

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-05-2023 เมื่อ 19:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:25



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว