#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๕
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ หรือที่เรียกกันอย่างเป็นทางการว่า วันอาสาฬหบูชา ทางวัดท่าขนุนของเรามีการทำบุญใส่บาตร ฟังพระธรรมเทศนา พระเจริญพระพุทธมนต์ ถวายภัตตาหารสังฆทาน ส่วนในช่วงบ่ายพระภิกษุวัดท่าขนุนลงพระอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์ หลังจากนั้นก็มีการอธิษฐานพรรษา ซึ่งหลายแห่งก็สงสัยว่า ทำไมวัดท่าขนุนถึงอธิษฐานพรรษาในวันอาสาฬหบูชา ?
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าในกฐินขันธกะได้กำหนดเอาไว้ว่า ภิกษุผู้ที่จะรับกฐินได้นั้น ต้องจำพรรษาครบถ้วนไตรมาส (๓ เดือน) ซึ่งถ้าหากเรานับวันเข้าพรรษาเป็นวันแรก แล้วท่านไปอธิษฐานพรรษาในช่วงเย็นของวันเข้าพรรษา ก็แปลว่าจะขาดไปหลายชั่วโมง..! ถึงแม้ว่าวัดท่าขนุนจะปวารณาพรรษาในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ก็ตาม แต่ก็ยังคงรักษาผ้าครองและรักษาการจำพรรษาไปจนกระทั่งถึงวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ หรือที่เรียกกันว่า วันตักบาตรเทโว เพื่อที่จะให้ครบถ้วน ๓ เดือนเต็มตามพระบรมพุทธานุญาต จะได้ไม่มีปัญหาในการรับกฐิน ตรงนี้ต้องบอกว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านมีความละเอียดในพระธรรมวินัยมาก เมื่อกำหนดเอาไว้ว่าจะต้องจำพรรษาครบถ้วนไตรมาส จึงจะมีสิทธิ์รับกฐินได้ คิดกันแบบบุคคลทั่ว ๆ ไป ก็คือ ถ้านับชั่วโมงแรกในวันเข้าพรรษา แล้วท่านไปอธิษฐานพรรษาในช่วงบ่ายของวันเข้าพรรษา ก็แปลว่าขาดไปหลายชั่วโมง ถ้าท่านทั้งหลายไปออกพรรษาในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ โดยไม่ได้รักษาการเข้าพรรษาต่อ ก็แปลว่าอาจจะขาดไปอีกหลายชั่วโมง..! ดังนั้น..เพื่อไม่ให้เกิดการลักลั่นในพระธรรมวินัย หรือไม่ให้เกิดข้อสงสัยในการประพฤติปฏิบัติ พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านถึงได้แนะนำว่า ให้พระภิกษุอธิษฐานพรรษาในวันอาสาฬหบูชา คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ แล้วรักษาการเข้าพรรษายาวไปจนถึงเช้าวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันตักบาตรเทโว จะได้หมดข้อสงสัยกันไปโดยปริยาย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราขาดความเคร่งครัด อาจจะทำให้เราไม่ใช่บุคคลที่สมควรแก่การรับกฐิน เมื่อรับกฐินไป นอกจากอานิสงส์ไม่ได้แก่ตนแล้วพวกเราที่ไม่ใช่บุคคลที่ควรแก่รับกฐิน ก็จะทำให้อานิสงส์ของเจ้าภาพกฐินลดน้อยถอยลงไปด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-07-2022 เมื่อ 01:41 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ในเรื่องของพระธรรมวินัยนั้น กระผม/อาตมภาพถือตามแบบอย่างของครูบาอาจารย์ ก็คือให้เข้มงวดไว้ก่อน เมื่อผ่อนลงมาก็จะพอดี แต่ถ้าท่านไปผ่อนตั้งแต่ต้น เมื่อถึงเวลาผ่อนลงไปอีก ก็จะกลายเป็นหย่อนยานและเสียหายในพระธรรมวินัยไปเลย ทำให้หลายวัดที่มีการประพฤติปฏิบัติซึ่งไม่ค่อยจะเข้มงวดนั้น บางทีก็เห็นการปฏิบัติผิดของตนกลายเป็นถูก แล้วกล่าวว่าที่วัดท่าขนุนอธิษฐานพรรษาในวันอาสาฬหบูชานั้น เป็นการกระทำที่ผิด ต้องไปอธิษฐานวันเข้าพรรษาจึงจะถูก เหล่านี้เป็นต้น
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เมื่อนาน ๆ ไป ก็จะมีการยึดถือตามครูบาอาจารย์ของตน แล้วกลายเป็นอาจาริยวาท ซึ่งทำให้เกิดนิกายต่าง ๆ ขึ้นมา ในการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๒ หลังจากพระพุทธปรินิพพานแล้ว ๑๐๐ ปี ตอนนั้นแตกออกไปถึง ๑๘ นิกายด้วยกัน ก็เพราะถือว่าการปฏิบัติของอาจารย์ของตนนั้นถูกต้อง ปัจจุบันในประเทศไทยของเรานั้น ก็มีแนวโน้มว่าการปฏิบัติของเรานั้นแยกออกเป็นหลายสายด้วยกัน ถ้ามีการกระทบกระทั่งกันเมื่อไร ก็จะกลายเป็นนิกายขึ้นมาทันที อย่างเช่นว่าเป็นสายของสันติอโศก เป็นสายของธรรมกาย เป็นสายของวัดป่าสายหลวงปู่มั่น เป็นสายของหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง แล้วก็ยังมีสายของวัดนาป่าพง มีสายของการปฏิบัติแบบนามรูป มีสายการปฏิบัติแบบเคลื่อนไหว เป็นต้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นความอ่อนไหวของพระพุทธศาสนาของเราเป็นอย่างมาก ก็คือแทนที่จะมีแค่ธรรมยุตและมหานิกาย สองนิกายเท่านั้น ปัจจุบันนี้เรามีทั้งธรรมยุติกนิกาย มีมหานิกาย มีจีนนิกาย มีอนัมนิกาย และหลายแห่งก็มีวัชรยานของทางด้านทิเบตแทรกเข้ามาด้วย ซึ่งตรงจุดนี้ในการยึดถือนั้นจะว่าไปแล้วก็ไม่ได้แตกต่างในเรื่องของข้อธรรมและแนวปฏิบัติสักเท่าไร แต่ส่วนที่ทำให้เกิดความอ่อนไหวก็เพราะว่า มาปะปนกันอยู่ในคณะสงฆ์ไทย แล้วทำให้เกิดการยึดมั่นถือมั่นขึ้นมาในบรรดาหมู่ศิษย์ทั้งหลาย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-07-2022 เมื่อ 01:43 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
ต้องบอกว่าสายการปฏิบัติธรรมต่าง ๆ นั้น บรรดาต้นสายไม่ได้ทะเลาะกันเลย ถ้าเราดูต้นสายของการปฏิบัติในสายพุทโธ จะกล่าวว่าเป็นหลวงปู่มั่น ทางด้านอีสานเป็นต้นสายก็ตาม หรือสายการปฏิบัติแบบสัมมาอะระหัง มีหลวงปู่สด วัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นต้นสาย การปฏิบัติแบบพองยุบมีหลวงปู่พม่า หรือ ดร.ภัททันตะ อาสภมหาเถระ ซึ่งตอนหลังไปจำพรรษาอยู่ทางวิเวกอาศรม จังหวัดชลบุรี เป็นต้นสายก็ตาม
กล่าวโดยคร่าว ๆ แล้ว บรรดาเจ้าอาวาสที่นับเป็นต้นสาย หรือหลวงปู่หลวงพ่อที่เป็นต้นสายนั้น ท่านไม่ได้มานั่งถกเถียงกันว่าของใครถูก ของใครผิด หากแต่ว่าบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายต่างหากที่เอากิเลสไปชนกัน แล้วก็แบ่งแยกว่านี่เป็นสายฉัน นั่นเป็นสายเธอ เมื่อแบกกิเลสไปชนกัน ถึงเวลาแล้วต่างคนต่างก็ถือทิฏฐิมานะ แบกตัวกูของกูไปอย่างเต็มที่ ต้องของอาจารย์กูเท่านั้นจึงจะถูก ก็จะไปงัดข้อกันจนทำให้เกิดการแตกแยกขึ้นมาในพระพุทธศาสนาของเราโดยใช่เหตุ หลังจากนั้นเมื่อแบกกิเลสกันมาก ๆ ก็จะมีแนวโน้มแตกออกเป็นหลายสายดังที่กระผม/อาตมภาพได้บอกกล่าวไปแล้วในเบื้องต้น อยากจะบอกว่าสิ่งที่ครูอาจารย์ต้นสายทั้งหลายประพฤติปฏิบัติมานั้น ล้วนแล้วแต่อยู่ใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสิ้น ผู้ใดที่ถนัดตรงจุดไหน ถนัดที่แบบไหน ก็ได้สั่งสอนลูกศิษย์ไปในแบบนั้น ลูกศิษย์ทั้งหลายถ้าหากว่าชอบใจในปฏิปทานั้นก็ยึดถือปฏิบัติตาม ๆ กันมา ทำให้เกิดเป็นสายโน้นสายนี้ เหมือนอย่างกับครูบาอาจารย์ที่เป็นอาจารย์ใหญ่ท่านหนึ่ง ได้สอนการทำอาหารออกไปเป็นเมนูถึง ๘๔,๐๐๐ อย่าง บรรดาลูกศิษย์เรียนรู้ไปแล้วมีความถนัด มีความชำนาญแบบไหน ก็ทำอาหารแบบนั้นออกมาจำหน่าย บรรดานักชิมทั้งหลายเมื่อชิมที่ร้านไหนแล้วเกิดติดใจ ก็บอกต่อ ๆ กันไป ท่านที่ชอบอาหารรสเดียวกันก็ไปกินที่ร้านนั้นมาก จนก่อให้เกิดชื่อเสียงของร้านนั้น ๆ ขึ้นมา แต่ว่าทั้งหลายทั้งปวงนั้น ล้วนแล้วแต่มาจากครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ที่สอนไปทั้งสิ้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-07-2022 เมื่อ 01:46 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
จะว่าไปแล้ว หลักธรรมในประเทศไทยไม่ได้มีสายโน้น ไม่ได้มีสายนี้ ทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นสายของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ที่แบ่งสายขึ้นมาได้นั้นก็เพราะว่า ความชำนาญของครูบาอาจารย์แต่ละท่านไม่เหมือนกัน แล้วนำไปสั่งสอนลูกศิษย์ของตนตามความถนัด
เปรียบเสมือนว่าการเดินทางไปสู่กรุงเทพฯ นั้น ถ้าหากว่าท่านมาทางภาคเหนือ ท่านก็ต้องเดินทางมาตามถนนพหลโยธิน ถ้าท่านมาทางภาคอีสาน ก็ต้องเดินทางมาตามถนนมิตรภาพ ถ้าหากว่าท่านเดินทางมาจากภาคตะวันออก ก็ต้องเดินทางมาตามถนนสุขุมวิท ถ้าท่านเดินทางมาจากทางภาคใต้ ก็ต้องเดินทางมาจากถนนเพชรเกษม นี่เป็นหลักใหญ่ ๆ ถึงสี่สายไปแล้ว แล้วยังมีถนนสายย่อย ไม่ว่าจะเป็นถนนสายเอเชียก็ดี จะเป็นมอเตอร์เวย์ก็ตาม หรือจะเป็นทางด่วนสายโน้นสายนี้ แต่ว่าทั้งหมดก็จะพามาถึงกรุงเทพฯ ได้ทั้งสิ้น แล้วจะไปบอกว่าการเดินทางสายโน้นผิด ต้องสายนี้เท่านั้น ท่านลองใช้ปัญญาตรองดูว่าถูกต้องแล้วหรือไม่ ? และในเมื่อถนนทุกสายล้วนมุ่งไปในกรุงเทพฯ หรือว่าการปฏิบัติธรรมทุกสายล้วนมุ่งไปสู่พระนิพพาน โดยไม่ได้ไกลไปจาก ศีล สมาธิ ปัญญา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนเอาไว้ แล้วกระจายออกไปเป็นมรรคมีองค์ ๘ กระจายออกไปเป็นหลักธรรมในพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก รวมแล้ว ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เมื่อกาย วาจา ใจ สะอาดถึงที่สุด ปล่อยวางการยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง ท่านก็สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน อันเป็นบรมธรรมในหลักธรรมของพระพุทธศาสนาได้ ดังนั้น...ตราบใดที่ท่านทั้งหลายยังยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นสายนั้น เป็นสายนี้ เป็นครูบาอาจารย์ท่านนั้นท่านนี้ถึงใช่ ครูบาอาจารย์ท่านอื่นไม่ใช่ ก็แปลว่าท่านยังแบกกิเลสเอาไว้เต็มตัว แล้วเมื่อไรท่านถึงจะมีโอกาสหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้ ? สำหรับวันอาสาฬหบูชานี้ ก็ขอฝากข้อคิดเอาไว้สำหรับพระภิกษุสามเณร ตลอดจนกระทั่งอุบาสกอุบาสิกา และญาติโยมทั้งหลายที่ฟังอยู่แต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เถรี)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-07-2022 เมื่อ 01:49 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|