#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๕ เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ คือวันมาฆบูชา ตรงส่วนนี้ทางวัดท่าขนุนได้มีการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบุญการกุศลต่าง ๆ ตั้งแต่เช้าเป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญใส่บาตร แสดงพระธรรมเทศนา เจริญพระพุทธมนต์ รับถวายภัตตาหารสังฆทาน บวชพระ และที่เพิ่งจะผ่านไปสด ๆ ร้อน ๆ คือการตามประทีปถวายเป็นพุทธบูชา ซึ่งถ้าหากบอกว่าเป็นประทีป ๑๐,๐๐๐ ดวง ปัจจุบันนี้ก็เกือบจะ ๒๐,๐๐๐ ดวงเข้าไปแล้ว
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จะว่าไปแล้วก็เป็นการทำบุญ "แบบโลก ๆ" ก็คืออานิสงส์ผลบุญทั้งหมด ถ้าไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาต่อท้าย ก็จะไปได้แค่กามาวจรสวรรค์ หรือถ้าหากว่าทำจนชิน ก็ไปได้แค่พรหมโลก เป็นต้น ดังนั้น...ครูบาอาจารย์บางท่าน เมื่อมีลูกศิษย์ลูกหาไปกล่าวว่า "หลวงปู่สร้างพระพุทธรูป หลวงปู่สร้างโบสถ์ ได้อานิสงส์มากมายมหาศาล" หลวงปู่ท่านก็ตอบว่า "จะไปเอาอานิสงส์อะไรกันแค่นั้น" บางคนก็เข้าใจผิดไปเลยว่า หลวงปู่ท่านปฏิเสธในเรื่องของการสร้างบุญสร้างกุศล ความจริงแล้วท่านไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแต่ท่านพูดไม่หมด เพราะว่าในสิ่งที่สร้างเป็นบุญเป็นกุศลทั้งหลายเหล่านั้น เป็นแค่ส่วนเสริมให้การดำเนินชีวิตของพวกเรามีความสุข มีความสะดวกสบาย เกิดชาติใหม่ ถ้าให้ทานเอาไว้ก็จะเป็นผู้ที่มีฐานะร่ำรวย มากไปด้วยโภคสมบัติ ถ้ารักษาศีลเอาไว้ ก็เกิดมารูปร่างหน้าตาสวยงาม เป็นที่เจริญตาเจริญใจแก่บุคคลอื่น เป็นผู้มีโรคน้อย ถ้าเจริญภาวนาเอาไว้ เกิดชาติใหม่ก็จะเป็นผู้มีปัญญามาก โดยเฉพาะถ้าหากว่าเป็นการเจริญในวิปัสสนาญาณต่าง ๆ เอาไว้ ถ้าชาตินี้ไม่สามารถเข้าถึงมรรคผลได้ ชาติต่อไปจะเป็นผู้มีปัญญาญาณแก่กล้า สามารถตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ตามบุญตามบารมีที่เราได้สร้างมา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-02-2022 เมื่อ 03:42 |
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
บางส่วนที่กระผม/อาตมภาพทำอยู่ อย่างเช่นว่า สร้างพระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปนาก พระพุทธรูปเงิน มีบางท่านตำหนิว่าเป็นการทำให้ญาติโยมยึดติด ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็ขี้เกียจชี้แจง เนื่องเพราะว่าคนเรามีปัญญาเท่าไร ก็คิดแค่นั้น พูดแค่นั้น ทำแค่นั้น
แต่บุคคลที่มีปัญญามาก สามารถที่จะต่อยอดสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นให้เข้าสู่มรรคสู่ผลได้ หรือว่าอย่างเช่นการตามประทีป ๑๐,๐๐๐ ดวง ที่ทางวัดท่าขนุนจัดมา จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ทางด้านการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้จัดอยู่ในส่วนของ Unseen Thailand แม้ว่าในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ตั้งแต่ปี ๒๕๖๓ และ ๒๕๖๔ เราได้งดกิจกรรมทั้งหลายเหล่านี้ไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ เป็นวงใหญ่ อย่างที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Cluster แต่ว่าก็ยังเป็นภาพจำให้คนนึกถึงความสวยงามในยามที่เราร่วมกันจุดประทีปนับ ๑๐,๐๐๐ ดวง โดยมีการแปรภาพ แปรอักษร บางคนก็บอกว่านี่ก็เป็นสิ่งล่อใจให้คนเข้าวัดเช่นกัน กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า ถ้ายาขมคนไม่กิน เราต้องเคลือบยานั้นด้วยน้ำตาล คนถึงจะยอมกิน สำคัญตรงที่เราต้องแม่นยำต่อเป้าหมาย อย่าปล่อยให้โดนชักจูง จนกระทั่งหลงออกนอกลู่นอกทางไป เรื่องพวกนี้ พระภิกษุสามเณรของเราเสียหายมามากต่อมากแล้ว ตอนแรก ๆ บวชเข้ามา ก็ตั้งใจจะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตั้งใจที่จะเกื้อกูลพระพุทธศาสนา แต่พอเริ่มมีลาภยศสรรเสริญสุขเข้ามา เป้าหมายต่าง ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไป แทนที่จะกระทำเพื่อวัดวาอาราม แทนที่จะกระทำเพื่อพระพุทธศาสนา ก็กลายเป็นทำเพื่อบำรุงบำเรอความสุขของตัวเอง ต้องมีกุฏิดี ๆ ติดเครื่องปรับอากาศ ต้องมีรถยนต์ดี ๆ คันใหม่ ป้ายแดงอยู่ทุกปี ต้องใช้เครื่องมือสื่อสารรุ่นใหม่ล่าสุดเสมอ ต้องใช้สิ่งของแบรนด์เนม ราคาแพง ๆ เหล่านี้ เป็นต้น ส่วนญาติโยมทั้งหลาย เมื่อถึงเวลาปฏิบัติธรรมไป เริ่มมีบุคคลเห็นความดี เริ่มให้การยกย่อง มีชื่อเสียงปรากฏ เราก็จะหลงเตลิดออกนอกทางไปแบบไม่รู้ตัว ตัวกระผม/อาตมภาพเองเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-02-2022 เมื่อ 03:44 |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
เมื่อฝึกซ้อมมโนมยิทธิจนมีความคล่องตัว หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงบอกว่า "คล่องตัวขนาดนี้ไปเป็นครูสอนคนอื่นได้แล้ว" ปรากฎว่าพอถึงเวลาสอนธรรมะก็ดี หรือว่ามีบุคคลสอบถามปัญหาก็ตาม เมื่อพยากรณ์ไปตามกำลังใจที่ได้รับการฝึกฝนมา ได้รับคำชมเชยจากคนรอบด้านว่า "แม่นยำอะไรอย่างนี้" "ทำไมรู้เห็นได้ชัดเจนแบบนี้" "พูดเหมือนกับตาเห็นเลย" ก็เกิดความปีติยินดี หลงในคำสรรเสริญเยินยอเหล่านี้ กลายเป็นยอมตนให้คนอื่นใช้ ก็คือเขาให้ดูเรื่องโน้นก็ดูให้ เขาให้ทำเรื่องนี้ก็ทำให้
จนกระทั่งวันหนึ่ง พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ เทศน์ที่บ้านสายลมว่า "บุคคลที่ทรงวิชชา ๒ อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ยังอยู่ห่างจากขอบนรกแค่นิ้วเดียว" เป็นนิ้วมือของเรานี่แหละ แล้วก็เป็นนิ้วมือด้านขวางด้วย ไม่ใช่ด้านตรง กระผม/อาตมภาพได้ยินแล้วเหงื่อแตกพลั่ก..! พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านกล่าวต่อไปว่า "บุคคลที่จะพ้นนรกได้อย่างแท้จริง ต้องปฏิบัติให้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน ถ้าเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันเมื่อไร อบายภูมิทั้ง ๔ ได้แก่ สัตว์นรก เปรต อสุรกายและสัตว์เดรัจฉาน จะโดนอำนาจของความเป็นพระอริยเจ้าปิดไป ไม่มีสิทธิ์ที่จะลงอบายภูมิ" เมื่อได้สติ กระผม/อาตมภาพก็เลิกเป็นขี้ข้าชาวบ้าน ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบันของตน เพราะว่าทันทีที่รู้ตัว ก็เหมือนกับบุคคลที่ติดคุก จะโดนผู้คุมลากไปตีไปฆ่าเสียเมื่อไรก็ไม่รู้ เมื่อเห็นช่องทางที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเปิดให้จึงหนีสุดชีวิต ซึ่งตรงจุดนี้อยากให้ญาติโยมทั้งหลายที่เป็นนักปฏิบัติธรรมส่วนหนึ่ง ระมัดระวังเอาไว้ว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ ส่วนเหตุการณ์อีกแบบหนึ่งก็คือ การสงเคราะห์กันในระหว่างเพศตรงข้าม ถ้าเราเป็นชายก็คือเพศหญิง ถ้าเราเป็นหญิงก็คือเพศชาย หรือในปัจจุบันนี้ยังมีพวกที่ข้ามเพศอีก ในระยะแรกที่กำลังใจของเรายังมั่นคงอยู่กับการปฏิบัติธรรมก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเผลอคิดเข้าข้างตัวเองเมื่อไรก็เตรียมพังได้ เพราะว่าคนเรานั้นมักจะมีปกติเข้าข้างตนเอง เห็นเขามาอยู่ใกล้ชิด ก็เหมาว่าเขาต้องรักต้องชอบเราแน่ จากที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นก็โดนกิเลสชักจูง ตัวคนเดียวก็หนีไม่รอดอยู่แล้ว ยังอุตส่าห์มีคู่เพิ่มเข้ามาอีก บางคนก็ปลอบใจตัวเองว่าต่างคนต่างเป็นนักปฏิบัติธรรม จะได้ช่วยเหลือกันเกื้อกูลกันให้เข้าถึงธรรมได้เร็วยิ่งขึ้น กระผม/อาตมภาพยืนยันเหมือนกันว่า ถ้าหากว่าไปถูกทางนี่ เข้าถึงธรรมได้เร็วยิ่งขึ้น อย่างเช่นว่า ทะเลาะกันบ้านแตกสาแหรกขาดแล้วเห็นทุกข์ เป็นต้น แต่ถ้าไปผิดทาง มีแต่จะพาเราให้ออกทะเล หาฝั่งไม่เจอ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-02-2022 เมื่อ 03:47 |
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
เรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่าตบมือข้างเดียวจะไม่ดัง แต่ว่าแรงกรรมที่ได้กระทำร่วมกันมาในอดีต มักจะบันดาลให้เราเผลอไปตบมือด้วย หรือไม่ก็ยื่นหน้าไปให้เขาตบ ก็ดังจนได้ ตรงส่วนนี้ถ้าหากว่านักปฏิบัติไม่รู้จักระมัดระวัง ท้ายสุดก็จะโดนกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ดึงจ่อมจมอยู่กับวัฏสงสาร ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นไปไหนได้ จึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังตัวเองเป็นอย่างสูง
อย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเตือนเอาไว้ว่า อยู่คนเดียวเปลี่ยวกาย แสนสบาย แต่ไม่สนุก อยู่สองครองทุกข์ ถึงสนุก แต่ไม่สบาย หรือว่าท่านใดศึกษามาตามสายวิสุทธิมรรค ต้องนึกถึงพุทธพจน์ที่ปรากฏเป็นพระบาลีว่า เอกายโน อะยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หนทางแห่งตัวคนเดียวเป็นทางที่นำสัตว์ทั้งหลายเข้าสู่ความบริสุทธิ์สิ้นเชิง พระองค์ท่านไม่ได้บอกว่าเป็นทางของ ๒ คน ๓ คน หรือว่าทั้งครอบครัว เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า สิ่งต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่ร้อยรัดให้เราติดอยู่ในวัฏสงสาร โอกาสที่จะหลุดพ้นนั้นเป็นไปยากอย่างยิ่ง พูดง่าย ๆ ว่าลำพังเพียงขันธ์ ๕ คือร่างกายของเรานี้ก็ละไม่ได้ ตัดไม่ขาดอยู่แล้ว เรายังไปหอบเอาขันธ์ ๑๐ ขันธ์ ๑๕ ขันธ์ ๒๐ ก็คือการมีภรรยา มีสามี มีลูก มีหลานเพิ่มเติมเข้ามา แล้วเท่านั้นยังไม่พอ เทคโนโลยีสมัยปัจจุบัน ก็ทำให้เรามีขันธ์เทียม ก็คือสิ่งที่สมมติว่าเป็นตัวตนของเราเพิ่มเติมเข้ามาอีก สมัยก่อนก็เบาหน่อยมีแค่อีเมล์ สมัยนี้มีเฟซบุ๊ก มีสไกป์ มีอินสตาแกรม มีไลน์ หนึ่งยูสเซอร์คือหนึ่งตัวตน กลายเป็นเพิ่มขันธ์เข้ามาโดยไม่รู้ตัว ถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? ก็ลองดูว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งสมมติแทนตัวเราแท้ ๆ แต่ถ้าหากว่าคนเข้ามากด like เราก็ปลื้มอกปลื้มใจ หรือถ้าเขา unlike มา เราก็โกรธ เหมือนกับตัวตนของเราชัด ๆ กลายเป็นเพิ่มกิเลสให้ตัวเองมากขึ้น ๆ บางคนก็มีอย่างละสองยูสเซอร์ สามยูสเซอร์ ไม่มีอะไรทำก็นั่งคุยกับตัวเอง ก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก..! เรื่องที่เราควรที่จะระมัดระวังเพื่อที่จะ สลัด ตัด ละ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้มีน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ พอมีโอกาสก็จะได้แหกคุก คือวัฏสงสารนี้ไปให้พ้น แต่เรากลับไปหอบหิ้ว แบกหามสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จนมากขึ้น ๆ ทุกวัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-02-2022 เมื่อ 03:50 |
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
![]()
เทคโนโลยีหรือความเจริญเป็นสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ เพราะว่าปกติของโลกเป็นเช่นนั้น แต่ต้องให้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นสนับสนุนการปฏิบัติธรรมของเรา ช่วยให้การปฏิบัติธรรมของเราเจริญก้าวหน้าขึ้น ไม่ใช่ให้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา
วัน ๆ ก็อยู่กับสังคมก้มหน้า นั่งเขี่ยจอไปเรื่อย กระผม/อาตมภาพไปนึกถึงว่า ถ้าหากว่าเป็นอยู่ในสภาพนี้ไปนาน ๆ ต่อไปมนุษย์เราก็คงจะต้องมีแต่หัวโต ๆ งอก่องอขิง แล้วก็มีมือที่มีนิ้วยาว ๆ นิ้วเดียวเอาไว้เขี่ยจอ ก็คงวิปริตผิดประหลาด คล้าย ๆ กับบรรดาท่านที่อยู่ในอบายภูมิเช่นกัน วันนี้เป็นวันมาฆบูชา เป็นวันพระใหญ่ เดี๋ยวอีกสักครู่พวกเราทำวัตรสวดมนต์กัน แล้วก็จะได้ไปเวียนเทียนถวายเป็นพุทธบูชา แล้วหลังจากนั้นใครจะไปชมผางประทีป มีเรี่ยวมีแรงก็เดินขึ้นยอดเขา ซึ่งจะเห็นได้ชัดที่สุด ญาติโยมจะเห็นว่าระยะนี้ฝนฟ้าตกเป็นปกติ แต่เวลาวัดท่าขนุนจัดงาน ฝนฟ้าจะเว้นช่วงให้ เพราะว่าเทวดาทั้งหลายก็อยากได้บุญเช่นกัน เพียงแต่ว่าสิ่งที่ท่านทั้งหลายทำนั้นต้องเป็นบุญที่บริสุทธิ์ ไม่เกี่ยวข้องกับการละเมิดศีลละเมิดธรรม ถ้าเป็นอย่างนั้น เทวดาก็นิยม นางฟ้า พรหมก็สรรเสริญ ยินดีที่จะช่วยเหลือเราให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จึงขอโอกาสในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนานี้ อำนวยอวยพรให้แก่ญาติโยมทั้งหลาย ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะอยู่ในประเทศ หรือว่าอยู่ต่างประเทศก็ตาม ขอให้อยู่รอดปลอดภัยในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ ประสงค์สิ่งหนึ่งประการใดที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมวินัย ขอให้ความประสงค์ของท่านทั้งหลายเหล่านั้น จงสำเร็จสัมฤทธิ์ผลสมดังความปรารถนาจงทุกประการการเทอญ ขอเจริญพร พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๕ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 05-05-2022 เมื่อ 11:59 |
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|