กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

Notices

พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 28-07-2009, 13:04
โอรส's Avatar
โอรส โอรส is offline
นายทะเบียน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 897
ได้ให้อนุโมทนา: 37,411
ได้รับอนุโมทนา 206,502 ครั้ง ใน 3,180 โพสต์
โอรส is on a distinguished road
Default ปฏิบัติธรรมแล้วไม่ก้าวหน้า

ถาม : มีเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมแล้วเขามีความรู้สึกว่า การปฏิบัติธรรมของเขาไม่ก้าวหน้าไปไหนเลย พอปฏิบัติธรรมแล้วก็เหมือนกับอยู่กับที่ เขาได้พยายามทำสมาธิเองอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ก้าวหน้าขึ้น พอจะมีข้อแนะนำในการปฏิบัติธรรมให้เขามีความก้าวหน้าบ้างไหมคะ ?

ตอบ : ลักษณะการปฏิบัติแล้วไม่ก้าวหน้าประกอบด้วยสาเหตุอยู่ ๒ ลักษณะด้วยกัน อย่างแรก ทำเกิน อย่างที่สอง ทำขาด ถ้าทำพอดีก้าวหน้าทุกคน ทำเกินก็คือเคร่งเครียดจนเกินไป สภาพร่างกายไปไม่ไหว ทำขาดก็คือ ขี้เกียจจนเกินไป ก็เลยไม่ก้าวหน้าด้วย เพราะฉะนั้น...จำเป็นต้องทำให้พอดีถึงจะก้าวหน้า

ตัวพอดีพระพุทธเจ้าเรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา คราวนี้คำว่ามัชฌิมา พอดีตรงกลางนี่ไม่มีอัตราตายตัวว่า ๕๐ เปอร์เซ็นต์ จะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและจิตใจของเราที่ได้รับการฝึกมา ดังนั้นว่าของคนผู้หนึ่ง มัชฌิมาปฏิปทาของเขาอาจจะนั่งตลอด ๓ วัน ๓ คืนเลย แต่ว่าของเราเองแค่ ๓๐ นาทีก็แย่แล้ว

ดังนั้นในการปฏิบัติแรกเริ่ม ถ้าหากว่าเราภาวนาแล้วรู้สึกว่าไม่ไหวก็แล้วอย่าเพิ่งไปเชื่อ ให้ลองฝืนดูนิดหน่อย ถ้าฝืนแล้วไปต่อได้ก็โอเค นี่โกหกแน่เมื่อกี้นี้แสดงว่าเป็นตัวถีนมิทธนิวรณ์ มาหลอกให้เราขี้เกียจ ถ้าหากว่าฝืนแล้วไปต่อได้ก็ควรจะตั้งเวลาไว้สักครึ่งชั่วโมงหรือว่าไม่เกิน ๑ ชั่วโมงแล้วพัก ถ้ามากเกินไปกว่านั้นบางทีก็เป็นการทรมานตัวเองมากเกินไป ยกเว้นบางท่านที่ต้องการดูเวทนา ต้องการจะแยกจิตแยกกายดูว่าอาการของเวทนาเป็นอย่างไร อย่างนั้นเขานั่งกันข้ามวันข้ามคืนนั่งกันจนก้นแตกกันไปข้างหนึ่ง..!

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-12-2016 เมื่อ 03:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ โอรส ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 28-07-2009, 13:23
โอรส's Avatar
โอรส โอรส is offline
นายทะเบียน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 897
ได้ให้อนุโมทนา: 37,411
ได้รับอนุโมทนา 206,502 ครั้ง ใน 3,180 โพสต์
โอรส is on a distinguished road
Default

อีกอย่างหนึ่งที่ปฏิบัติไปแล้วไม่ก้าวหน้าก็คือ บางทีจะเน้นแต่สมาธิอย่างเดียว ตัวสมาธิกับตัวปัญญาเหมือนกับคนที่ผูกขา ๒ ข้างด้วยโซ่เส้นหนึ่ง ถ้าหากว่าสมาธิไปแล้วปัญญาไม่ตาม ก็เหมือนกับเดินไปสุดแล้วโซ่ก็กระตุกกลับ ดังนั้น...เมื่อภาวนาจนอารมณ์เต็มแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเต็มที่ ก็คือถึงจุดสูงสุดที่ไปต่อไม่ได้ แล้วอารมณ์จะคลายออกมา ตอนอารมณ์คลายออกมานี่สำคัญที่สุด ถ้าหากว่าเราไม่บังคับให้คิดในสิ่งที่ดี ๆ จิตก็จะคิดไปในทาง รัก โลภ โกรธ หลง พาเราฟุ้งซ่านไปเลย เพราะฉะนั้น...เมื่อจิตถอยออกมาก็ให้เราคิดในวิปัสสนาญาณ คือให้คิดพิจารณาให้เห็นในความเป็นจริง ว่าสภาพร่างกายก็ดี โลกเราก็ดี ประกอบไปด้วย ไตรลักษณ์ คือความเป็นจริง ๓ อย่างว่า ๑. ไม่เที่ยง ๒. เป็นทุกข์ ๓. ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนของเราได้

หรือไม่ก็พิจารณาตามแนวอริยสัจ อริยสัจนี่จับแค่ทุกข์กับเหตุของการเกิดทุกข์เท่านั้น ถ้าเรารู้ว่าทุกข์เกิดจากอะไรแล้วไม่สร้างเหตุนั้นทุกข์ก็ดับ ถ้าทุกข์ดับให้เรียกว่านิโรธ ระหว่างที่เราปฏิบัติเขาเรียกว่ามรรค คือหนทางเข้าถึงการดับทุกข์ เพราะฉะนั้น...เราจับแค่ทุกข์กับสมุทัย ๒ ตัวเท่านั้นก็พอ

หรือไม่ก็พิจารณาตามแบบของวิปัสสนาญาณ ๙ คือ พิจารณาให้เห็นอย่างเช่น อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นการเกิดแล้วดับ ภังคานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นว่าทุกอย่างดับหมด ภยตูปัฏฐานญาณ พิจารณาให้เห็นว่าร่างกายนี้เป็นโทษเป็นภัยเป็นของน่ากลัว จนกระทั่งไปถึงสังขารุเปกขาญาณ คือการปล่อยวางในสังขารทั้งปวง และสัจจานุโลมิกญาณ คือพิจารณาย้อนต้นทวนปลาย ทวนปลายย้อนต้นกลับไปกลับมาให้พิจารณาอยู่ในลักษณะนี้

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-12-2016 เมื่อ 03:02 เหตุผล: แก้ ด้วย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ โอรส ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 28-07-2009, 13:37
โอรส's Avatar
โอรส โอรส is offline
นายทะเบียน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 897
ได้ให้อนุโมทนา: 37,411
ได้รับอนุโมทนา 206,502 ครั้ง ใน 3,180 โพสต์
โอรส is on a distinguished road
Default

การพิจารณามีประโยชน์มากตรงที่ว่า เมื่อจิตมีงานทำไม่ฟุ้งซ่าน ปัญญาจับเฉพาะหน้า สติดำเนินตามไป จิตก็จะดิ่งกลับไปเป็นสมาธิอีกระดับหนึ่ง พอเป็นสมาธิถึงระดับนั้นปุ๊บ เราภาวนาต่อเลย อารมณ์ก็จะทรงตัว ก้าวล่วงลึกเข้าไปอีกระดับ แต่ว่าพอก้าวไปถึงจุดตันก็จะถอยมาอีกทีหนึ่ง เพราะว่าตอนนี้ปัญญาเดินหน้า พอเดินไปถึงจุดตันติดโซ่แล้วก็จะโดนกระตุกกลับ เราก็ก้าวไปต่ออีกด้วยการภาวนา คือ สมาธิ เมื่อภาวนาไปถึงเต็มที่คราวนี้จะกระตุกกลับอีกแล้ว เราก็พิจารณาต่อไป ถ้าทำดังนี้ได้จะก้าวหน้า

ถ้าหากว่าเว้นไปจากเรื่องทั้งหลายเหล่านี้แล้ว บางทีทำเท่าไรพอไปถึงทางตันก็โดนกระตุกกลับ ไปตันก็โดนกระตุกกลับ ก็เลยไม่ก้าวหน้า ให้เขาพิจารณาด้วยว่าตัวเองทำแล้วเหตุที่ไม่ก้าวหน้าเกิดจากเหตุอะไร แล้วแก้ไขเสีย


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๔

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-12-2016 เมื่อ 03:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 65 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ โอรส ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:30



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว