กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 21-03-2015, 21:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,723 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๘

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตน ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ตามที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ สำหรับวันนี้สิ่งที่อยากจะบอกกับทุกท่าน ก็คือ เมื่อเราปฏิบัติภาวนาจนกระทั่งสมาธิเริ่มทรงตัวแล้ว ให้คลายความรู้สึกออกมา แล้วพิจารณาในวิปัสสนาญาณแทน ไม่อย่างนั้นแล้ว ความฟุ้งซ่านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จะเอากำลังจากการภาวนาของเราไปฟุ้งซ่าน และทำให้เราฟุ้งได้อย่างเป็นหลักเป็นฐานและดึงกลับได้ยาก เพราะเราไปช่วยกิเลสให้แข็งแรงเสียแล้ว

การพิจารณาในวิปัสสนาญาณนั้น โดยปกติทั่วไปก็มีอยู่หลายนัยด้วยกัน อย่างแรกก็คือพิจารณาตามอริยสัจทั้ง ๔ คือหาเหตุของทุกข์ให้พบ เมื่อพบแล้วเราไม่สร้างเหตุนั้น ทุกข์ก็ไม่เกิด ความดับทุกข์ก็จะปรากฏแก่เราเอง หรือพิจารณาตามแนวของไตรลักษณ์ในสามัญลักษณะ ๓ ประการ ก็คือ อนิจจัง..สรรพสิ่งทั้งหลายมีความไม่เที่ยงเป็นปกติ ทุกขัง..สรรพสิ่งทั้งหลายประกอบไปด้วยความทุกข์เป็นปกติ และอนัตตา...ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดทรงตัวอยู่ได้ ท้ายสุดก็เสื่อมสลายตายพังไปหมด ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเราเขาได้

หรือจะพิจารณาตามนัยของวิปัสสนาญาณ ๙ อย่าง มี อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ คำนึงถึงความเกิดและดับ ไปจนถึงสังขารุเปกขาญาณ ก็คือการปล่อยวางในสังขารทั้งปวง เมื่อจิตเว้นจากการปรุงแต่ง รัก โลภ โกรธ หลง เกิดไม่ได้ เราก็สามารถที่จะก้าวล่วงจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้เช่นกัน

บางท่านสงสัยว่าถ้าเราภาวนาอย่างเดียว สามารถที่จะบรรลุมรรคผลได้หรือไม่ ? ก็มีโอกาสเป็นไปได้..แต่ยากเหลือเกิน เพราะว่าต้องใช้กำลังสมาธิกดกิเลสให้นิ่งสนิทไปเลย แล้วกำหนดเป้าหมายสุดท้ายว่า “ถ้าเราตายแล้ว ขอไปพระนิพพานแห่งเดียว” การเกิดมามีร่างกายนี้ การเกิดมาในโลกนี้ เราไม่พึงปรารถนาอีกแล้ว ถ้าสามารถกดกิเลสได้ต่อเนื่องยาวนานเพียงพอ ก็สามารถบรรลุได้ในลักษณะของเจโตวิมุติ ก็คือใช้สมาธิกดกิเลสเอาไว้จนกิเลสเกิดไม่ได้ ก็สลายตัวไปเอง

บางท่านก็อาจจะสงสัยว่าถ้าเราพิจารณาอย่างเดียวโดยไม่ภาวนาเลย เราจะบรรลุมรรคผลได้หรือไม่ ? ก็มีโอกาสเช่นกัน..แต่ก็ยากอีก การที่เราจะพิจารณาโดยไม่ได้ภาวนาเลยกำลังของเราจะน้อย จะโดนกิเลส คือรัก โลภ โกรธ หลง กระหน่ำตีอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่ใช่บุคคลที่มีความอดทนอดกลั้นจริง ๆ ก็มักจะสู้กิเลสไม่ไหว แต่ถ้าพิจารณาไปเรื่อย ๆ สภาพจิตของเราก็จะดิ่งเป็นสมาธิเช่นกัน ถ้ากำลังเพียงพอก็สามารถตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน พ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้ เรียกว่าการบรรลุแบบปัญญาวิมุติ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-03-2015 เมื่อ 01:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 51 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 24-03-2015, 18:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,723 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเราเห็นว่าทั้งสองรูปแบบล้วนแต่มีจุดอ่อน คือในส่วนของเจโตวิมุตินั้น ถ้าเรากดกิเลสไม่อยู่ รัก โลภ โกรธ หลง ตีกลับ เราก็จะโดนกิเลสกระหน่ำตีชนิดไม่เป็นผู้ไม่เป็นคน โอกาสที่จะทรงความดีคืนมาก็ยาก เพราะกิเลสรู้ตัวเสียแล้ว ว่าเราตั้งใจที่จะกวาดล้างเข่นฆ่าไปจากใจ

ในส่วนของปัญญาวิมุตินั้น เนื่องจากว่าไม่มีกำลังของสมาธิคอยหนุนเสริม เราอาศัยความอดทนอดกลั้นต่อสู้ฟันฝ่าพิจารณาไปเรื่อย ๆ จนกว่ากำลังสมาธิจะทรงตัวถึงระดับที่พอตัดกิเลสได้ ก็เป็นเรื่องที่ยากเย็นเข็ญใจมาก ดังนั้น..จึงควรปฏิบัติทั้งสองอย่างร่วมกัน ก็คือภาวนาจนกำลังใจทรงตัว จิตมีพลังแล้ว เราก็หันมาพิจารณาวิปัสสนาญาณต่าง ๆ เมื่อพิจารณาวิปัสสนาญาณไปเรื่อย ๆ จนสภาพจิตทรงตัว ก็จะกลับไปภาวนาโดยอัตโนมัติอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อภาวนาจนถึงที่สุด สภาพจิตไม่สามารถดำเนินไปในสมาธิต่อไปได้ ก็จะถอยออกมา คลายออกมา เราก็เอากำลังนั้นรีบมาพิจารณาในวิปัสสนาญาณใหม่ ทำอย่างนี้สลับกันไปสลับกันมา ความก้าวหน้าในการปฏิบัติถึงจะมีขึ้นได้

แม้ว่าบุคคลที่บรรลุโดยวิปัสสนาล้วน ๆ เป็นปัญญาวิมุติ ที่เรียกว่าวิปัสสนายานิกมีอยู่ บุคคลที่บรรลุโดยเจโตวิมุติ ใช้กำลังสมาธิกดกิเลสเอาไว้ จนกิเลสบังเกิดขึ้นไม่ได้ แล้วตั้งเป้าว่าไม่ปรารถนาที่จะมาเกิดในร่างกายนี้ หรือว่าเกิดมาในโลกนี้ ปรารถนาอย่างเดียวก็คือพระนิพพาน เป็นการบรรลุแบบสมถยานิกก็มีอยู่ แต่เป็นไปได้ยากมาก เราจึงควรที่จะใช้วิธีที่สะดวกและง่าย ก็คือภาวนาและพิจารณาสลับกันไปดังนี้ ความก้าวหน้าในการปฏิบัติถึงจะมีขึ้นแก่พวกเราและสามารถเห็นผลได้ง่าย

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๘

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าอ่อน)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2015 เมื่อ 19:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:57



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว