กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 17-03-2014, 19:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,777
ได้ให้อนุโมทนา: 152,254
ได้รับอนุโมทนา 4,421,478 ครั้ง ใน 34,367 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๗

ให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตัวเอง ตั้งกายให้ตรง เพื่อที่ลมหายใจเข้าออกของเราจะได้เดินสะดวก กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจของเรา หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา ถ้าเผลอสติไปคิดถึงเรื่องอื่นเมื่อไร เมื่อรู้ตัวก็ให้ดึงความรู้สึกของเรากลับมาที่ลมหายใจเข้าออกเสียใหม่

คำภาวนานั้นเราจะใช้แบบใดก็ได้ที่ถนัดมาแต่ดั้งเดิม จะเป็นพุทโธ สัมมาอะระหัง นะมะพะธะ พองหนอยุบหนอ หรือว่าตัวบทพระคาถาใด ๆ ที่เราชอบใจ ก็ให้ใช้อย่างนั้น อย่าเปลี่ยน..เพราะว่าการเปลี่ยนคำภาวนา ทำให้สภาพจิตต้องมาทำความคุ้นชินเสียใหม่ บางทีใจก็จะไม่ค่อยยอมสงบเหมือนการใช้คำภาวนาอย่างเดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งเมื่อครู่นี้ได้กล่าวถึงการปฏิบัติธรรมของบุคคลที่เป็นพระอรหันต์แล้ว คือพระอนุรุทธเถระ ว่าท่านถือเนสัชชิก ก็คือนั่งโดยไม่นอนเลยตลอดระยะเวลา ๕๕ ปี นอกจากเป็นความไม่ประมาท พิจารณาธรรมเพื่อความอยู่สุขเฉพาะของตนแล้ว ยังแสดงออกซึ่งฉันทะอย่างแรงกล้า

เครื่องมือที่จะช่วยให้เกิดความสำเร็จในการปฏิบัติธรรมหรือว่าในการทำสิ่งอื่น ๆ ทุกประการก็ตาม คืออิทธิบาท ๔ ซึ่งประกอบไปด้วย ฉันทะ ยินดีและพอใจที่จะทำอย่างนั้น

ในปัจจุบันนี้ญาติโยมหลายต่อหลายท่าน มีฉันทะเกินพอ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเอาไปใช้ผิด อย่างเช่น นั่งเล่นไลน์กันทีเป็นวัน ๆ หรือไม่ก็ดูหนังสนุก ๆ ได้เป็นวัน ๆ อ่านหนังสือที่ตนชอบใจได้เป็นวัน ๆ บางทีสว่างไม่รู้ตัวก็มี เมื่อเป็นเช่นนั้นแสดงว่าตัวฉันทะ คือความพอใจที่จะกระทำของเรานั้นความจริงเพียงพออย่างเหลือเฟือแล้ว เพียงแต่ว่าต้องเราน้อมนำเอาฉันทะนี้มาใช้ในการปฏิบัติธรรมเท่านั้น

คราวนี้..การที่เราจะเปลี่ยนความยินดี ความพอใจจากสิ่งที่ให้ความบันเทิงแก่ตนเองในด้านอื่น ๆ มาเป็นการปฏิบัติธรรมด้วยความมุ่งมั่นในระดับเดียวกันนั้น เราต้องเห็นประโยชน์เสียก่อน

เราจะเห็นได้ว่าหลักธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ป้องกันเราไม่ให้ตกลงสู่อบายภูมิ คือถ้าเราเป็นผู้มีทาน มีศีล มีภาวนาทรงตัว เราสามารถที่จะปิดอบายภูมิได้ชั่วคราว แต่ถ้าการภาวนาของเราเข้าสู่ระดับปัญญา รู้แจ้งในเบื้องต้น ตั้งแต่ทรงความเป็นพระโสดาบันขึ้นไป เราก็จะปิดอบายภูมิได้อย่างถาวร ก็แปลว่าการเกิดในนรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน จะไม่มีสำหรับเรา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-03-2014 เมื่อ 00:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 19-03-2014, 18:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,777
ได้ให้อนุโมทนา: 152,254
ได้รับอนุโมทนา 4,421,478 ครั้ง ใน 34,367 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้นประกอบไปด้วยความทุกข์ ก็คือหากินไม่ได้ดั่งใจ ต้องอด ๆ อยาก ๆ อิ่มบ้างอดบ้างเป็นปกติ ปรารถนาอะไรก็ไม่สามารถที่จะบอกผู้อื่นได้ มีความทุกข์ทั้งทางกายและทางใจเป็นปกติ ในเขตการความเป็นเปรตนั้น ส่วนใหญ่ต้องอดอยากหิวโหยอยู่ตลอดเวลา มีเสียงเรียกให้ไปกินข้าวกินน้ำ เดินตามอยู่เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี เดินจนหมดเรี่ยวหมดแรง หาแหล่งที่มาไม่ได้ ต้องทนทุกข์ทรมานหิวโหยอยู่ตลอดเวลา

เกิดเป็นอสุรกายก็ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่กล้าเผชิญหน้ากับใคร จะออกหาอาหารแต่ละทีก็ต้องระมัดระวังตัวสุดชีวิต ก็แปลว่ากินก็ไม่ได้ดั่งใจ มีแต่ความกลัวอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นสัตว์นรกก็ต้องโดนทุกข์ทรมาน ไหม้อยู่ในขุมนรก มีอาวุธสับฟันแทงอยู่ตลอดเวลา ของเราแค่โดนไฟจี้นิดเดียวก็รู้สึกว่าร้อน มีความปวดแสบเป็นปกติ แต่สัตว์นรกมีไฟเผาอยู่ตลอด ไม่เว้นว่างแม้แต่นิดเดียว

ถ้าเราต้องตกลงสู่อบายภูมิไม่ว่าระดับใดระดับหนึ่ง แปลว่ามีความทุกข์มากกว่าตอนเป็นมนุษย์มาก ดังนั้น..ถ้าเราเอาฉันทะคือความยินดีและพอใจในด้านอื่น ๆ มาใช้ในการปฏิบัติธรรม ทุ่มเทให้กับการปฏิบัติธรรม คือต้องประกอบไปด้วยความเพียรไม่ย่อท้อ และมีกำลังใจที่แน่วแน่มั่นคงต่อเป้าหมาย ตลอดจนกระทั่งใช้ปัญญาทบทวนอยู่เสมอว่าเราทำอะไร เพื่ออะไร เป้าหมายอยู่ที่ไหน ปัจจุบันเราทำไปได้เท่าไร ยังเหลืออีกมากน้อยเท่าไรที่ต้องเร่งขวนขวายให้มากขึ้น ถ้าเราประกอบไปด้วยอิทธิบาทเช่นนี้ การปฏิบัติธรรมของเราจะมีแต่ความก้าวหน้า ถึงไม่สามารถปิดอบายภูมิได้อย่างถาวร ก็จะปิดอบายภูมิได้ชั่วคราว

เมื่อท่านทั้งหลายมาปฏิบัติธรรมด้วยหวังความหลุดพ้น ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สูงส่งและไกลเหลือเกิน แล้วเราปราศจากความพากเพียร ความแน่วแน่มั่นคงต่อจุดหมายปลายทาง เราจะไปถึงได้อย่างไร ? จึงขอฝากทุกคนเอาไว้ว่า ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น เมื่อยินดีและพอใจแล้ว ก็ต้องพากเพียรให้เต็มกำลังของเรา ไม่ต้องกลัวเหนื่อยยาก ไม่ต้องกลัวว่าทำมากเกินไปแล้วจะตาย ทุ่มเทลงไปทั้งชีวิต ต้องเอาชีวิตเข้าแลกจึงประสบความสำเร็จได้ แล้วขณะเดียวกัน ก็ต้องมีการพิจารณาไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ เพื่อที่จะได้ไม่ผิดไปจากเป้าหมายที่เราวางเอาไว้ ถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้ เราถึงจะมีโอกาสหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานตามที่ต้องการ

ลำดับต่อไป ขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๗

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าอ่อน)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-03-2014 เมื่อ 19:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:40



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว