กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 20-02-2012, 20:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,723 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕

ให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตัวเอง ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่เฉพาะหน้า หายใจเข้าให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออกให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ตามอัธยาศัยที่เราชอบใจ

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๕ เป็นการเจริญกรรมฐานวันสุดท้ายของต้นเดือนนี้ วันนี้มีญาติโยมท่านหนึ่งที่มาเล่าให้ฟังว่า เวลาที่ผ่านมาเป็นปีที่ไม่ได้มาทำบุญ เพราะว่ากำลังมีความสุขอยู่ แล้วก็สรุปว่าเวลาคนเรามีความสุขไม่ค่อยจะคิดถึงพระถึงเจ้า แต่เวลาทุกข์..บางทีนั่งร้องไห้ไปสวดมนต์ไปก็ยังดี พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าสุขแล้วลืมพระ ถ้าทุกข์เมื่อไรถึงจะนึกขึ้นมาได้ว่ามีพระเป็นที่พึ่ง

จึงได้ตักเตือนไปว่า ในเมื่อเรารู้ตัวแล้ว ก็ให้รีบเร่งการปฏิบัติใน ศีล สมาธิ และปัญญา เข้าไว้ เผื่อว่าถึงเวลาถ้าความสุขนั้นหมดไป กำลังใจของเราที่มั่นคงขึ้น จะได้มีหลักยึด แล้วก็ไม่ไปเสียใจอยู่กับโลกธรรมนั้น ๆ

ซึ่งการเกิดมาของคนเราทุกคนนั้น จะต้องพบกับโลกธรรมทั้ง ๘ อย่างเป็นปกติอยู่แล้ว ก็คือ ได้ลาภ ได้ยศ ได้รับการสรรเสริญ ได้รับความสุข และ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา ได้รับความทุกข์ เรื่องของโลกธรรมถ้าแปลตามศัพท์ตรง ๆ ก็คือธรรมะประจำโลก ไม่มีใครที่จะหลีกหนีได้พ้น

แต่ถ้าหากว่ากำลังใจของเราทรงตัวมั่นคง ก็จะไม่มีความหวั่นไหว ยิ่งถ้าหากว่ามีปัญญาเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของอิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่น่าใคร่ น่าพอใจ ได้แก่ การได้ลาภ ได้ยศ ได้รับการสรรเสริญ ได้รับความสุข หรือว่าในส่วนของอนิฏฐารมณ์ คืออารมณ์ที่ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ ได้แก่ การเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา ได้รับความทุกข์ ทั้งสองส่วนนี้ล้วนแล้วแต่นำความทุกข์มาให้เราทั้งสิ้น

เพราะว่าในส่วนที่น่ายินดีก็จัดอยู่ในส่วนของราคะ ในส่วนที่ไม่น่ายินดีก็จัดอยู่ในส่วนของโทสะ ดังนั้น...ไม่ว่าเราจะยินดีหรือยินร้ายก็ตาม แปลว่าเราถูกกิเลสครอบงำทั้งคู่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 21-02-2012 เมื่อ 08:36
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 21-02-2012, 15:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,723 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บุคคลที่เป็นนักปฏิบัติธรรมอย่างพวกเรา เมื่อกระทบกับโลกธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล้ว จำเป็นที่จะต้องอาศัยกำลังของสมาธิภาวนาเข้ามาต่อสู้ มาหยุดยั้งสภาพจิตของตนเอง ไม่ให้ยินดียินร้ายไปกับเหตุการณ์เหล่านั้น และท้ายสุด..หากว่ามีปัญญาเพียงพอ ก็จะสามารถเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นธรรมดาของโลก เมื่อเห็นว่าเป็นธรรมดาของโลกก็จะค่อย ๆ ปล่อยวาง ไม่ไปยินดียินร้ายกับสิ่งเหล่านี้อีก โลกธรรมทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะครอบงำเราได้

ความน่ากลัวของโลกธรรมนั้นก็คือ ทั้ง ๒ ส่วนล้วนแต่เป็นรากเหง้าของกิเลสใหญ่ ก็คือเป็นส่วนของราคะ หมายรวมเอาโลภะไปด้วย และส่วนของโทสะ ทั้ง ๒ ส่วนนี้ ไม่ว่าจะเป็นราคะหรือโทสะก็ตาม แปลว่าต้องมีโมหะอยู่ด้วย เพราะถ้าไม่มีโมหะคือความหลงผิด เราก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ไปยินดียินร้ายในอารมณ์ทั้ง ๒ ฝ่ายนั้น

เมื่อเราเห็นดังนี้แล้ว ก็ต้องพยายามปลีกตัวออกมา โดยการสร้างเกราะป้องกันตนเอง ด้วยกำลังของศีล ของสมาธิ ของปัญญานั่นเอง ถ้าหากว่าศีลของเราทรงตัว สมาธิก็ตั้งมั่นได้ง่าย เมื่อศีลทรงตัวและสมาธิตั้งมั่นแล้ว ย่อมมีปัญญาเห็นทุกข์เห็นโทษจากรากเหง้าใหญ่ของกิเลส ก็จะพยายามถอดถอน ปลด วาง ออกจากใจของเรา ถ้าหากว่าใครปลดได้ วางได้มากเท่าไร ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มากเท่าไร ความสุขที่แท้จริงก็จะเกิดขึ้นกับเรามากเท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2012 เมื่อ 15:40
สมาชิก 59 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 22-02-2012, 18:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,723 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเราได้ชื่อว่าเป็นพระโยคาวจร คือเป็นผู้ที่ปฏิบัติความดีเพื่อความหลุดพ้น เพื่อพระนิพพานของเรา ขึ้นชื่อว่าโลกธรรมแล้ว ต้องมีสติรู้ระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ได้มาก็ไม่ยินดี เสื่อมไปก็ไม่เสียใจ ถ้าหากว่าเป็นดังนี้ ท่านทั้งหลายก็สามารถรักษาความผ่องใสของจิตใจเอาไว้ได้ ก็แปลว่าเราได้ปฏิบัติตามโอวาท ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า “สจิตฺตปริโยทปนํ” คือการชำระจิตของตนให้ผ่องใสจากกิเลสทั้งปวงนั่นเอง

ดังนั้น..เมื่อเห็นญาติโยมที่กล่าวว่า เมื่อตนเองมีความสุขมากก็ลืมที่จะเข้าวัดเข้าวา ก็ขอให้เรายึดถือท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นตัวอย่าง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพบเราเห็นในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะด้านดีหรือด้านไม่ดีก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นครูสอนอย่างดียิ่งสำหรับเราทั้งหลาย ด้านที่ดีเกิดขึ้นกับใคร ก็ให้รู้ว่าเขาเหล่านั้นได้สร้างความดีด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจมาก่อน ขณะนี้ผลดีได้เกิดขึ้นกับเขาแล้ว

ถ้าเราสร้างความดีด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจอย่างเขาบ้าง ผลดีเหล่านี้ก็จะเกิดกับเราเช่นกัน ขณะเดียวกัน..ถ้าหากว่าผลร้ายเกิดกับใคร ก็ให้รู้ว่านั่นเขาเคยสร้างความชั่วทางกาย ทางวาจา ทางใจมาก่อน ปัจจุบันนี้กรรมชั่วนั้นกำลังส่งผลแก่เขาทั้งหลายเหล่านั้น ถ้าเราเองไม่หวั่นเกรง กระทำกรรมชั่วเหล่านั้นบ้าง ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจแบบนั้น ผลชั่วทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ช้าก็เร็วก็จะเกิดขึ้นแก่เราเช่นนั้น

เมื่อพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว เราก็จะรู้จักละชั่ว ทำดี ในเมื่อเราละความชั่วไปเรื่อย สร้างความดีให้เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดกำลังความดีมีมากกว่า เราก็จะยืนหยัดได้อย่างมั่นคง มีคติคือที่ไปในเบื้องหน้าที่แน่นอน เมื่อสามารถทำอย่างนั้นได้ ท้ายสุดเราไม่ยึดมั่นทั้งความดีและความชั่ว สามารถที่จะปล่อยวางลงได้ทั้ง ๒ ส่วน เข้าถึงอารมณ์ความเป็นกลางอย่างแท้จริง เราก็จะมีพระนิพพานเป็นที่ไป

สำหรับตอนนี้ก็ให้ท่านทั้งหลายกำหนดการภาวนาและพิจารณากันตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนาธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-02-2012 เมื่อ 21:18
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 18-03-2012, 18:37
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 261
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 51,028 ครั้ง ใน 1,309 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2555-02-05

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:46



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว