กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 15-09-2011, 01:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,723 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๔

ให้ทุกคนขยับตัวนั่งในท่าที่สบายของเราจ้ะ นั่งตัวตรงแต่ไม่ใช่เกร็งตัว หลับตาลงเบา ๆ ปิดปากสนิทแต่ไม่ใช่ขบฟัน กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้า..ลมหายใจออก

หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไปพร้อมกับคำภาวนาที่เราถนัด หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมาพร้อมกับคำภาวนาที่เราถนัด ใครมีความคล่องตัวชำนิชำนาญมาก จะกำหนดภาพพระไปพร้อมกันก็ได้ หรือยกจิตขึ้นพระนิพพานไปกราบพระเลยก็ได้

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๔ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันที่สองของต้นเดือนนี้ พวกเราทั้งหลายถือว่าเป็นบุคคลที่มีโชคอย่างยิ่งที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรมแล้วน้อมนำมาปฏิบัติ เพื่อความสุขของตนเองทั้งในปัจจุบัน ในอนาคต และประโยชน์สุขสูงสุด คือหลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน

ในเมื่อพวกเราทั้งหลายเกิดมาพร้อมกับความโชคดีเห็นปานนี้แล้ว เราก็ต้องรักษาความโชคดีของเราเอาไว้ การที่เราจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นต้องถือว่าเรามีต้นทุนมาเพียงพอ ถ้าต้นทุนไม่พอ เราก็ไม่มีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ต้นทุนของการเกิดเป็นมนุษย์คือศีล ๕ ศีล ๕ นั้นบางทีก็เรียกว่ามนุสสธรรม คือธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์ ถ้าศีล ๕ บกพร่อง โอกาสที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ก็ไม่มี

นอกจากนี้พวกเราทั้งหลายก็ยังโชคดีที่เกิดมาทันศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีโอกาสได้ฟังธรรมแล้วก็นำมาปฏิบัติให้เกิดผล ในส่วนของการปฏิบัตินั้นก็คือการปฏิบัติในศีล ในสมาธิ ในปัญญา ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสอนเอาไว้

ศีล สมาธิ ปัญญานั้น ถ้าหากว่าเรามาทบทวนกันเบื้องต้น ก็ต้องดูที่ศีลก่อน ว่าในขณะนี้เราทั้งหลายนั้นมีศีลทั้ง ๕ สิกขาบทหรือ ๘ สิกขาบทสมบูรณ์บริบูรณ์หรือไม่ ? เราเป็นผู้ล่วงศีลด้วยตนเองบ้างหรือไม่ ? ถ้าเราไม่ล่วงศีลด้วยตนเองแล้ว เรายุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นล่วงศีลบ้างหรือไม่ ? เมื่อเราไม่ล่วงศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นล่วงศีลแล้ว เราเห็นผู้อื่นล่วงศีลเรายินดีบ้างหรือไม่ ? นี่เป็นสิ่งที่เราต้องทบทวนกันอยู่ทุกวัน

ถ้าศีลของเรามีข้อใดที่บกพร่อง ให้ตั้งใจว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะรักษาศีลทุกสิกขาบทให้สมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่ให้บกพร่องอีก ทันทีที่เราตั้งใจว่าเราจะรักษาศีลให้สมบูรณ์บริบูรณ์ ก็แปลว่า เรามีศีลทุกสิกขาบทสมบูรณ์บริสุทธิ์บริบูรณ์ตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นไป สิ่งที่เคยล่วงมาแล้วเราไม่ไปคำนึงถึง เราจะระมัดระวังเฉพาะในปัจจุบันด้วยการรักษาศีลให้ดี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-09-2011 เมื่อ 03:20
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 15-09-2011, 22:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,723 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนของสมาธินั้น อยากจะบอกว่าพวกเราให้เวลากับสมาธิน้อยเกินไป ทั้ง ๆ ที่ถือว่าเป็นส่วนที่เกือบจะสำคัญที่สุด ปัญหาในการปฏิบัติเกือบทั้งหมดทั้งสิ้นของเรานั้น คำตอบอยู่ที่สมาธิแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ ยกเว้นการใช้ปัญญาตัดกิเลสในช่วงสุดท้ายเท่านั้น เมื่อเป็นดังนั้น อยากจะให้ทุกท่านให้ความสำคัญและให้เวลากับสมาธิมากกว่าที่เป็นอยู่

ถ้าหากว่าเราภาวนาในช่วงเช้าครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง ต่อให้กำลังใจทรงตัวขนาดไหนก็ตาม กำลังก็ไม่พอที่จะรักษาใจของเราให้ทรงตัวอยู่ได้ครบทั้งวันอย่างแน่นอน เพราะว่าเราไปทำการทำงานก็ต้องกระทบกระทั่งกับบุคคลและอารมณ์ต่าง ๆ กำลังสมาธิก็จะคลอนจะแคลนไปเรื่อย ไม่ทันจะครบวันก็พังแล้ว

ถ้าหากว่าเราทำตอนเช้าชั่วโมงหนึ่ง ตอนเย็นชั่วโมงหนึ่ง ก็ถือว่าทำมากอย่างยิ่งในความรู้สึกของเรา แต่ว่าก็ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากว่าถ้าหากว่าไม่ใช่ผู้ที่คล่องตัวสามารถทรงฌานได้ทุกเวลาที่ต้องการจริง ๆ เมื่อถึงเวลาเผลอ สติสมาธิก็จะคลายตัวจนหมด

เพราะฉะนั้น..ตอนเช้าที่เราปฏิบัติแล้วกระทบอารมณ์ต่าง ๆ ก็ไปไม่ถึงเย็น ถ้าตอนเย็นเราปฏิบัติแล้วหลับ สติเผลอสมาธิก็คลายตัวหมด เมื่อเป็นดังนั้นโอกาสที่เราจะรักษากำลังใจของเราให้ผ่องใสตลอดเวลาก็เป็นไปไม่ได้ ความก้าวหน้าในการปฏิบัติก็จะไม่มี

ดังนั้น..เราจึงจำเป็นที่จะต้องเพิ่มเวลาในการปฏิบัติของเรา อย่างเช่นว่าภาวนาตอนช่วงเช้าจนอารมณ์ใจทรงตัวแล้ว ก็ให้พยายามประคับประคองกำลังใจให้อยู่กับเราให้นานที่สุด ถ้ามีเวลาช่วงพักกลางวัน แอบไปภาวนาสัก ๕ นาที ๑๐ นาที ๒๐ นาที เพื่อรักษากำลังใจของเราให้ต่อเนื่องไว้ แล้วตอนเย็นเราก็มาทำต่อ

ถึงแม้ว่าไม่คล่องตัวถึงขนาดว่าจะรักษาเอาไว้ได้ตลอดเวลา แต่ตื่นเช้าขึ้นมาให้รีบทำให้ต่อเนื่องเข้าไว้ ก็ยังได้ชื่อว่ากำลังใจของเราเกาะอยู่ในด้านดี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-09-2011 เมื่อ 02:32
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 20-09-2011, 08:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,723 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าสามารถที่จะเพิ่มระยะเวลาในการปฏิบัติให้มากขึ้น กำลังใจที่จะทรงตัวผ่องใสก็มีมากขึ้น ทำให้ท่านทั้งหลายมีความสุขในปัจจุบันมากขึ้น เพราะว่าจิตสงบจากรัก โลภ โกรธ หลง และขณะเดียวกัน ถ้ากำลังใจทรงตัวตั้งมั่นจริง ๆ ความสุขในอนาคตคือ หวังสุคติเป็นที่ไปได้อย่างแน่นอน

แล้วเราก็นำเอากำลังสมาธินี้มาใช้ในการพิจารณาตัดกิเลส โดยมองให้เห็นชัดว่าสภาพร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสรรพสิ่งทั้งหลายก็ดี มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนให้ยึดมั่นถือมั่นได้เลย

สภาพร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็ประกอบไปด้วยความทุกข์เป็นปกติ ทุกข์ของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ การปรารถนาไม่สมหวัง การกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ หรือความทุกข์ของการหิว การกระหาย การร้อน การหนาว การเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นต้น มีอยู่กับเราตลอดเวลา ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาเพื่อมีความทุกข์เช่นนี้เราไม่พึงปรารถนามันอีก เราต้องการอย่างเดียวคือหลุดพ้นจากความทุกข์ไปสู่พระนิพพาน

ท้ายสุดก็ต้องพิจารณาให้เห็นจริงให้ได้ว่า อัตภาพร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา มันประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ คือดิน น้ำ ไฟ ลม รวมกันเป็นเครื่องให้เราอาศัยอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เมื่อถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังไปตามสภาพ ไม่อาจยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเราเขาได้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาในร่างกายที่ไม่มีส่วนใดเป็นเราเป็นของเราเลยอย่างแท้จริงเช่นนี้ จะไม่มีสำหรับเราอีก เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน

แล้วให้เอาใจสุดท้ายของเราเกาะพระนิพพานหรือเกาะภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ให้มั่น ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ให้กำหนดรู้ในลมหายใจเข้าออก ถ้ามีคำภาวนาอยู่ให้กำหนดรู้ในคำภาวนา

ถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออกไม่มีคำภาวนา ให้กำหนดจิตนิ่งรู้อยู่เฉย ๆ อย่างนั้น อย่าอยากให้เป็น อย่าอยากให้หาย อย่าอยากให้ก้าวหน้า และอย่ารำคาญที่สภาพจิตไม่เคลื่อนคล้อยไปที่ไหน ถ้าหากสามารถวางกำลังอย่างนั้นได้ สมาธิจะทรงตัวตั้งมั่นยิ่งขึ้นจนถึงที่สุดของรูปฌานคือ ฌาน ๔ ขอให้ทุกคนรักษากำลังใจเอาไว้อย่างนี้ จนกว่าจะได้ยินเสียงสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๔
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-09-2011 เมื่อ 11:29
สมาชิก 51 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 18-03-2012, 18:43
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 261
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 51,028 ครั้ง ใน 1,309 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2554-09-03

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:41



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว