#1
|
||||
|
||||
![]()
ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตัว ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติทั้งหมดให้อยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า หายใจเข้ากำหนดรู้ตามเข้าไป หายใจออกกำหนดรู้ตามลมหายใจออกมา
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๔ เป็นการปฏิบัติธรรมวันสุดท้ายของเดือนนี้ เมื่อเช้ามืดฝนตกหนักอากาศเปลี่ยนแปลง อาตมาเกิดอาการไข้มาเลเรียกำเริบ ไข้มาเลเรียนั้นอาตมาเป็นมาตั้งแต่ปี ๒๕๒๔ มาถึงตอนนี้ก็ ๓๐ ปีเต็ม ๆ พอดี ทุกครั้งที่อากาศเปลี่ยนแปลงจะมีอาการกำเริบ ช่วง ๑ เดือนที่ผ่านมานั้น อาการไข้หายไปเฉย ๆ เพราะว่ากินยาตามที่หมอสั่ง มาถึงวันนี้ยาหมด อาการก็กำเริบอีก ถ้าถามว่าหนักแค่ไหน ? ก็ไม่หนักไปกว่าที่เคยเป็นมา และโดยเฉพาะว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นมีคุณอย่างยิ่ง ประการแรก คือ เตือนให้รู้ว่าเรามีต้นทุนเท่าไร คำว่าต้นทุนในที่นี้ หมายถึง ศีล สมาธิ ปัญญาที่เราสั่งสมมามีเท่าไร ? เพียงพอที่จะรับมือกับอาการเจ็บไข้ได้ป่วยนี้หรือไม่ ? ประการที่ ๒ เป็นการเตือนสติให้รู้ตัวอยู่เสมอว่า ความตายนั้นสามารถมาถึงเราได้อยู่ตลอดเวลา ถามว่าแค่มาเลเรียกำเริบ ต้องนึกถึงความตายเลยหรือ ? ต้องถามคนที่เคยเป็นมาเลเรียเอง ว่าช่วงที่อาการกำเริบขึ้นมานั้น ปลายประสาทจะอักเสบทั้งหมด กระดูกในร่างกายมีกี่ข้อก็รู้หมดว่าอยู่ตรงไหนบ้าง ส่วนใหญ่ที่ตายก็เพราะทนอาการอักเสบขนาดนี้ไม่ไหว ประการสุดท้ายก็คือ เราได้เห็นอย่างชัดเจนว่าสภาพร่างกายนี้คบหาไม่ได้จริง ๆ ไม่ว่าเราจะดูแลประคับประคองขนาดไหนก็ตาม ท้ายสุดก็ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้ เขาก็แปรปรวนไปตามสภาพของเขา โดยเฉพาะอาการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น เปรียบเหมือนกับสัตว์ร้ายที่คอยกัดแทะเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าใครมองเห็นตรงจุดนี้ได้ ความเจ็บไข้ได้ป่วยจะมีคุณอย่างยิ่ง เพราะเราจะรู้ว่าต้นทุนของเราเพียงพอหรือไม่กับความปรารถนาที่จะไปพระนิพพาน เราจะได้รู้ว่าเราใกล้ความตายเพียงใด และเราจะได้เห็นทุกข์เห็นโทษในร่างกายนี้อย่างชัดเจน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-07-2011 เมื่อ 04:10 |
สมาชิก 57 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
การที่เราเห็นทุกข์เห็นโทษในร่างกายนี้นั้น จัดเป็นวิปัสสนาญาณข้อหนึ่งเรียกว่า ภยตูปัฏฐานญาณ คือ เห็นว่าสภาพร่างกายนี้เป็นทุกข์ เป็นภัย เป็นของน่ากลัว เราลองนึกถึงว่า ถ้าความเจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งที่คอยกัดกินร่างกายเราอยู่ตลอดเวลา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะน่ากลัวหรือไม่ ?
และโดยเฉพาะท่านใดที่ได้ทิพจักขุญาณอย่างแท้จริง จะได้เห็นสภาพความเจ็บไข้ได้ป่วยที่เกิดขึ้นนั้น จะมีตัวอะไรแปลก ๆ ประหลาด ๆ เกาะกินอยู่มากมาย แต่ว่าไม่ใช่ให้ไปโกรธไปเคืองเขา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะเราต้องสร้างกรรมเอาไว้ถึงจะเกิดขึ้น ในเมื่อธรรมดาเราไปทำกรรมเอาไว้ ถึงวาระกรรมนั้นมาสนอง เราก็ต้องยอมรับได้ เพราะธรรมดาการเกิดมามีร่างกายต้องเป็นเช่นนี้ มีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา บาลีว่า พยาธิธัมโมมหิ พยาธิงอะนะตีโต เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่สามารถล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ ไม่ว่าเราจะเกิดมาอีกกี่ชาติก็ตาม ถ้าต้องมีสภาพร่างกายเช่นนี้ ก็จะพบความเจ็บป่วยเช่นนี้ตลอดไป ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาแล้วมีแต่ความทุกข์เช่นนี้ เรายังต้องการอีกหรือไม่ ? ถ้าเราไม่ต้องการ ก็ต้องหวังการหลุดพ้นโดยประการเดียว ก็คือหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานเท่านั้น จึงพ้นจากการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นนี้ได้ การจะหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานนั้น ทุกท่านต้องทบทวนว่าศีลทุกข้อของเราบริสุทธิ์บริบูรณ์หรือไม่ ? เราได้ล่วงศีลด้วยตัวเองหรือไม่ ? เรายุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นล่วงศีลหรือไม่ ? เรายินดีเมื่อเห็นบุคคลอื่นล่วงศีลหรือไม่ ? ถ้าหากว่าไม่มี เราสามารถปฏิบัติในศีลได้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เราก็มาดูว่าเรามีความเคารพในพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงใจหรือไม่ ? เราศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัยเพราะหวังความพ้นทุกข์ หรือว่าเราศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัยเพราะอิทธิปาฏิหาริย์ ? ถ้าเราเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัยเพราะหวังความพ้นทุกข์ ก็แปลว่าเราเป็นสัมมาทิฐิ มีความเห็นที่ถูกต้อง เหมาะควรที่จะหลุดพ้นได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-07-2011 เมื่อ 16:50 |
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
แต่ถ้าหากว่าเราเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัยเพราะเห็นแก่อิทธิปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ก็แสดงว่าเราไปยึดไปเกาะในอิทธิปาฏิหาริย์นั้น ในเมื่อเรายึดเกาะ ก็แปลว่าเราไม่สามารถที่จะหลุดพ้นได้
และท้ายสุดเรารู้ตัวหรือไม่ว่าจะตาย ในเมื่อความเจ็บป่วยจ่อเข้ามาถึงขนาดนี้แล้ว สภาพร่างกายของเราอักเสบถึงขนาดนี้แล้ว กระดูกมีกี่ข้ออยู่ที่ไหนก็ปวดไปหมด เราจะรู้ตัวหรือไม่ว่าความตายมาใกล้เราขนาดนี้ ชีวิตของเรามีแค่ลมหายใจเดียวเท่านั้น หายใจเข้าถ้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกถ้าไม่หายใจเข้าก็ตายเช่นกัน ดังนั้น..ชีวิตที่เราอยู่แค่ชั่วลมหายใจนี้ ทำไมเราจะอยู่ให้ดีไม่ได้ เมื่อเห็นเป็นดังนั้น เราก็จะยอมรับสภาพความจริงของร่างกาย ว่าเมื่อเกิดมาก็ต้องมีความเจ็บไข้ได้ป่วย มีความทุกข์เช่นนี้เป็นปกติ เจ้าอยากจะทุกข์ก็ทุกข์ไปเถิด เราปรารถนาพระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น เมื่อมาถึงตรงจุดนี้ก็ถอนจิตจากการยึดเกาะร่างกาย ส่งกำลังใจไปเกาะภาพพระหรือเกาะพระนิพพานของเรา ตั้งอกตั้งใจว่า ถ้าหากเราสิ้นชีวิตลงไปในคืนนี้ ไม่ว่าจะเพราะหมดอายุขัยก็ดี หรืออุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ก็ดี เราขอมาอยู่กับองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานนี้แห่งเดียวเท่านั้น เมื่อกำลังใจเกาะมั่นคงแล้ว ก็ดูตัวตนของเราเอง ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ให้กำหนดรู้ลมหายใจ ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ กำหนดรู้ลมหายใจพร้อมคำภาวนา ถ้าคำภาวนาเบาลงหรือลมหายใจไม่มี ก็ให้กำหนดรู้อยู่ว่าขณะนี้เป็นเช่นนั้น อย่าอยากให้หายไป และอย่าไปบังคับให้หายใจใหม่ ถ้าวางกำลังใจเป็นกลางได้อย่างนี้ สมาธิก็จะทรงตัวตั้งมั่นขึ้นเรื่อย ๆ ตามสภาพที่พึงมีพึงได้ แล้วขอให้ทุกคนรักษาสภาพสมาธิจิตเช่นนี้เอาไว้ จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี วันอาทิตย์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๔
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2011 เมื่อ 02:43 |
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|