กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > กระทู้ธรรม > ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 17-06-2011, 08:33
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,889 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default การไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

การไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ มีความสำคัญดังนี้

๑. “จากการที่พวกเจ้าศึกษาศีลพระ จักเห็นได้ว่าแม้พระอรหันต์ที่จบกิจแล้ว แม้ท่านจักได้รับยกเว้นไม่ถูกปรับอาบัติอีก แต่ท่านก็ไม่ขัดต่อศีล อันเป็นพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ตัวอย่างเช่น
  • ก) พระสารีบุตรไปฉันอาหารที่โรงทานแล้วเกิดอาพาธ (ป่วย) ขึ้นมา ประชาชนที่โรงทานรู้ ก็นิมนต์ให้ไปฉันอาหารที่โรงทานอีกเป็นวันที่ ๒ แต่ท่านไม่รับนิมนต์เพราะผิดพุทธบัญญัติ ห้ามฉันอาหารที่โรงทานเป็นวันที่ ๒ ผู้ใดละเมิดต้องอาบัติปาจิตตีย์ ท่านยอมอดอาหาร ทั้ง ๆ ที่ท่านได้รับยกเว้นไม่ถูกปรับอาบัติแล้ว ท่านทำเป็นแบบอย่างที่ดีไว้ในพระพุทธศาสนา ซึ่งต่อมาพระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาตให้ภิกษุอาพาธฉันอาหารในโรงทานได้ประจำโดยไม่อาบัติ
  • ข) เรื่องหลวงปู่โต ท่านไปเทศน์ที่บางนกแขวก ขากลับนั่งเรือมา ความอ่อนเพลีย กายก็หลับเลยเวลาฉันเพล พอตื่นท่านขอร้องให้คนแจวเรือกลับไปที่เก่า ตรงที่คนแจวเรือรู้ว่าเพลที่ตรงจุดไหน ท่านก็ไปฉันเพลที่จุดนั้น เรื่องนี้พระอรหันต์ท่านไม่ทำอะไรเล่น ๆ ท่านใช้ปัญญา ท่านมีพรหมวิหาร ๔ เต็มและทรงตัว ท่านจึงไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ท่านรู้ว่ากายที่จิตท่านอาศัยอยู่มันหิว เป็นโรคหิวจากธาตุ ๔ มันเสื่อม กายท่านอาพาธ ท่านจึงไม่อาบัติ เพราะศีลจะขาด จะบกพร่องหรือไม่ อยู่ที่เจตนาของใจเป็นหลักสำคัญ ทุกอย่างพึงใช้ปัญญาหรือนิสัมมะ กรณัง เสยโยก่อน ผู้ใดที่ไปวิจารณ์ท่านหรือพูดในเชิงตำหนิท่าน แม้แต่คิดตำหนิ ผู้ตำหนิย่อมก่อกรรมอันเป็นโทษให้กับตนเองเป็นอย่างมาก เพราะความโง่ของตนเอง

๒. “ในพุทธศาสนา พระตถาคตเจ้าสอนเหมือนกันหมด คือให้หมดไปจากการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ด้วยพรหมวิหาร ๔ โดยเฉพาะตัวเมตตา-กรุณา ๒ ข้อแรกเป็นหลักสำคัญ เพราะคนเราในการเริ่มทำความดี มีการทำทานและรักษาศีลครั้งแรก ก็เริ่มไม่เบียดเบียนตนเอง แต่ในบางขณะก็ยังมีเผลอไปเบียดเบียนผู้อื่น กล่าวคือทั้งทางกาย-วาจา-ใจ เผลอกรณีใดกรณีหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นการเบียดเบียนบุคคลอื่น จัดว่าใช้หลัก สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง นั่นเอง (ให้เว้นจากการทำบาปกรรมหรือกรรมชั่วทั้งหมด คือ กาย-วาจา-ใจ)

๓. “ผู้มีจิตบริสุทธิ์ถึงที่สุดหมดจากการเบียดเบียนทั้ง ๓ ระดับคือ พระอรหันต์ เพราะฉะนั้นการเริ่มแรก คือ การพยายามไม่เบียดเบียนตนเองก่อน ไม่ทำกรรมทุจริตให้บังเกิดเป็นกฎของกรรม เป็นผลของกรรมเข้ามาตอบสนองตนเองในอนาคตกาล”

๔. “คำว่าอนาคตอย่าไปคิดว่าชาติหน้าหรือพรุ่งนี้ แค่ชั่วแห่งเสี้ยววินาทีข้างหน้าที่ยังมาไม่ถึงก็เป็นอนาคต เพราะฉะนั้นพึงระมัดระวังกาย-วาจา-ใจของตนเอาไว้ให้ดี ๆ จักคิด-จักพูด-จักทำสิ่งใด ให้คิดเสียก่อน หรือนิสัมมะ กรณัง เสยโยเสียก่อนแล้วจึงทำ ความเบียดเบียนก็จักไม่เกิดขึ้นกับตนเอง เมื่อจิตละเอียดขึ้นไปนิดหนึ่ง ก็จักไม่เบียดเบียนบุคคลผู้อื่น

๕. “อย่าทำให้คนอื่นเป็นทุกข์เดือดร้อน แต่เรายังอยู่สุขสบาย ตัวอย่างง่าย ๆ เหมือนเราเดินทางไปไหนสักแห่ง (เขาใหญ่ ภูกระดึง หาดทรายชายทะเล) อาหารที่เหลือบริโภคก็ทิ้งเรี่ยราดไปตามใจชอบ ผู้ที่อยู่ในสถานที่นั้นหรือมาทีหลังย่อมเดือดร้อน เป็นการเบียดเบียนผู้อื่นไหม ทั้งนี้ไม่รวมคนรับใช้ที่ได้รับค่าจ้างเงินเดือน ตถาคตหมายถึงคนมีฐานะเสมอกันในบ้าน”

๖. “จุดนี้เพียงแต่อุปมาอุปไมยให้เห็นการเบียดเบียนผู้อื่นด้วยปัญญา เหมือนคนจอดรถขวางปิดทางผู้อื่นสัญจร ตัวเองไม่เดือดร้อนแต่คนอื่นเดือดร้อน ถ้าจิตละเอียดขึ้น พรหมวิหาร ๔ ทรงตัวดีขึ้น ก็จักเลิกเบียดเบียนผู้อื่น พอปฏิบัติตามหลักนี้นาน ๆ เข้า คำว่า นาน หมายถึงการศึกษาเรียนรู้คำสอนในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง มิใช่สักเพียงแต่ว่าจำแล้วนำไปทำเล่น ๆ ไม่จริงจัง ก็เลยรู้ไม่จริง คนทำจริงเท่านั้นที่จักรู้จริงเห็นจริงในอริยสัจ คือเห็นทุกข์อันเกิดจากการเบียดเบียน

๗. “พอจิตละเอียดถึงที่สุดแล้ว ธรรมเบื้องสูงก็จักเกิดขึ้นกับจิตของผู้ปฏิบัติเอง เล็งเห็นโทษของการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น พยายามละ พยายามตัดความเบียดเบียนนั้นให้สิ้นซากไปด้วยปัญญา เมื่อนั้นแหละความสุขอย่างยิ่งก็จักเกิดแก่จิตของนักปฏิบัติเอง โดยไม่ต้องให้ใครมาบอก ไม่ต้องให้ใครชี้แนะนำ ธรรมของตถาคตถึงแล้วรู้เอง รู้อยู่ภายในจิตของตนนี้แหละ”

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๘
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่ www.tangnipparn.com
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:46



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว