กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

Notices

พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 27-02-2010, 16:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,584 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default พระพุทธเจ้าทรงสอนเพื่อประโยชน์ของเรา

ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น มีทั้ง ทาน ศีล ภาวนา พวกเราส่วนใหญ่ถนัดในเรื่องทาน พอบอกว่าต้องรักษาศีล..หลายคนก็หนักใจ โดยเฉพาะเรื่องคำพูด..บอกว่ารักษายาก พอไปเรื่องภาวนา..บางคนนี่ไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อนเลย ก็ยิ่งรู้สึกว่ายากเข้าไปใหญ่

คราวนี้เรามาดูว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนเรา เพื่อประโยชน์เราเองทั้งนั้น การให้ทาน..พระองค์ท่านตั้งใจให้พวกเรารู้จักตัดความโลภ ซึ่งเป็นกิเลสใหญ่อย่างหนึ่งในสามอย่าง ให้ทาน..ให้ด้วยกาย ขวนขวายหาทรัพย์สินมาได้ก็สละออกไป

ในการรักษาศีล..ถ้าเราควบคุมกาย วาจาของเราให้อยู่ในกรอบ ไม่ล่วงละเมิดศีล ถามว่าเราอยากให้คนอื่นฆ่าเราหรือเปล่า ? ในเมื่อเราไม่อยาก..เราก็ไม่ควรจะฆ่าใคร นี่เป็นสามัญสำนึกปกติธรรมดา เราอยากให้คนมาลักขโมยข้าวของของเราหรือเปล่า ? ถ้าเราไม่อยาก..เราก็ไม่ควรไปลักขโมยของใคร เรามีคนรักอยู่ อยากให้คนอื่นมาแย่งเราไหม ? ถ้าเราไม่อยาก..ถึงเวลาเราก็อย่าไปแย่งคนรักของเขา เราอยากฟังแต่ความจริง..เราก็ไม่ควรไปพูดจาโกหกใคร อยากมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์..ก็ไม่ควรที่จะไปดื่มสุราหรือเสพยาเสพติด เป็นต้น

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราทำ..ตัวเราได้ประโยชน์เอง ทานทำด้วยกาย ตัดความโลภ ศีลทำด้วยกายและวาจา ควบคุมกายและวาจาให้เรียบร้อย ตัดความโกรธ โดยเฉพาะที่โกรธถึงขนาดฆ่าเขา ท้ายสุดภาวนา ต้องทำทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจเลย เพราะว่าใจต้องสั่ง ในเมื่อสมาธิตั้งมั่น ก็ควบคุมกายวาจาให้นิ่งได้ เกิดสมาธิไปสนับสนุนปัญญา ให้รู้แจ้งเห็นจริง เป็นการตัดความหลง โดยเฉพาะการหลงผิดเป็นมิจฉาทิฐิ

คราวนี้มาถกกันถึงอานิสงส์ คือ ผลได้จากการปฏิบัติ ประโยชน์ที่จะพึงได้ ท่านบอกว่าเอาไว้ว่า ในเรื่องของทาน ถ้าเกิดใหม่จะรวยมาก ในเรื่องของศีลเกิดใหม่จะมีหน้าตาสวยงาม มีจิตใจดี ในเรื่องของการภาวนา เกิดใหม่จะมีปัญญาฉลาดมาก

เราก็มาดูว่า ถ้าเราทำทานอย่างเดียว เกิดมารวย แต่หน้าตาไม่ดี แถมยังไม่มีปัญญาอีก อาจจะรักษาทรัพย์ไว้ไม่ได้ ในเรื่องของศีล ถ้าเราทำอย่างเดียว เกิดมาหน้าตาดี จิตใจดี แต่สตางค์ไม่มี แถมยังขาดปัญญา ไม่รู้จะหาทรัพย์อย่างไร ก็แย่แน่ ๆ ในเรื่องของการภาวนา ถ้าหากเรามีปัญญาอย่างเดียว เราอาจจะหาทรัพย์ได้ แต่เราไม่สามารถที่จะแก้ไขหน้าตาของเราให้ดีได้

ก็แปลว่า ถ้าเราทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วนอื่นก็จะบกพร่อง เพราะฉะนั้น..เรื่องของทาน ศีล ภาวนา ถ้ามีโอกาสเราควรทำให้ครบทั้งสามประการ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2014 เมื่อ 01:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 85 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 28-02-2010, 03:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,584 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตอนช่วงนี้ของเรา ก็ถือว่าเรามาทำการภาวนา โดยเฉพาะตอนช่วงที่เราภาวนาอยู่ ศีลทุกสิกขาบทของเราไม่ขาดอยู่แล้ว ก็แปลว่าเรามีศีล มีภาวนาเป็นปกติ แล้วถามว่าถ้าหากเรานั่งอยู่อย่างเดียว เราสามารถให้ทานได้ไหม ? ได้..จัดเป็นอภัยทาน ก็คือ การที่เราพยายามทำกำลังใจ ไม่ให้โกรธเกลียดคนอื่นเขา ให้อภัยเขา พยายามแผ่เมตตาต่อเขา เป็นต้น

ฉะนั้น..ถ้ามีโอกาสทำเอาไว้ โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าทรงชี้ประโยชน์ให้เราหลายสถาน ประโยชน์ปัจจุบัน คนที่กำลังใจสงบ จะเห็นช่องทางแก้ปัญหาชีวิตได้ทุกคน จริง ๆ แล้วทุกคนมีปัญหาชีวิตที่ไม่ได้หนักเกินกำลัง แต่ว่าเรามักจะขาดปัญญา ไม่สามารถที่จะจัดลำดับก่อนหลังเร็วช้าให้กับปัญหานั้น ก็เลยกลายเป็นเอามายำใหญ่กลายเป็นกองเบ้อเริ่ม เกินกว่าที่กำลังของเราจะแก้ไข

แต่ถ้าหากว่าสมาธิของเราทรงตัวมั่นคง เราจะมีจิตที่นิ่ง มีปัญญาจะแยกแยะปัญหาที่เกิดขึ้น ว่าอย่างไหนเร็วกว่ากัน อย่างไหนช้ากว่ากัน ปัญหาไหนเร็วกว่า ให้หยิบปัญหานั้นขึ้นมาแก้ไขก่อน เราจะมีปัญหาเดียวอยู่เฉพาะหน้าและไม่เกินกำลัง ต่อให้ก่อนหลัง เร็วช้าสักนาที สองนาที ห้านาที สิบนาที ก็มีเร็วช้า ให้แก้ไปทีละอย่าง

นี่เป็นประโยชน์ปัจจุบันว่า ถ้าหากกำลังใจของเราทรงตัว จะมีปัญหาทางโลกก็แก้ไขได้ จะ มีปัญหาทางธรรมก็แก้ไขได้ เพราะสภาพจิตที่นิ่งเหมือนกับน้ำนิ่ง สะท้อนเห็นเงาทุกอย่างอย่างชัดเจน ต้นตอของปัญหามีอย่างไร ? สามารถที่จะสาวไปถึงได้ง่าย

แล้วพระพุทธเจ้าท่านชี้ประโยชน์ในอนาคต คือ ถ้ากำลังใจทรงตัวอยู่ในด้านดี จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติปาฏิกังขา กำลังใจของเรา ถ้าหากว่าผ่องใสสะอาด เราไปสุคติแน่นอน ก็คือ ไปสวรรค์ ไปพรหมได้

แล้วท่านก็ชี้ประโยชน์สูงสุด เป็นปรมัตถประโยชน์ว่า เรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นบันไดให้เราก้าวไปถึงพระนิพพาน หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2014 เมื่อ 01:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 28-02-2010, 03:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,584 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระพุทธเจ้าทรงสอนเพื่อประโยชน์ทั้งสามสถานนี้ เป็นประโยชน์ของเราล้วน ๆ ไม่มีประโยชน์ของพระองค์ท่านเลย พระองค์ท่านไม่ได้บอกว่าเราต้องไปเคารพ ไปกราบ ไปไหว้พระองค์ท่าน แต่ถ้าปฏิบัติตามหลักธรรมของพระองค์ท่านเมื่อไร เราจะได้ประโยชน์ทันที เมื่อได้ประโยชน์จากหลักธรรมแล้ว จะเกิดความเคารพ จะเกิดความเลื่อมใส ไปกราบไปไหว้ ไปบูชา นั่นเป็นเรื่องภายหลังของเรา

ดังนั้น..ในเรื่องการปฏิบัตินั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์ของตัวเราเองจริง ๆ เรารู้จักให้ทานแบ่งปันคนอื่น คนเขาก็รักเรา เรารู้จักรักษาศีล ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่โกหก ไม่ดื่มสุราเมรัย ผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดก็คือเรา เรารู้จักภาวนา เกิดประโยชน์ในปัจจุบัน เกิดประโยชน์ในอนาคต เกิดประโยชน์สูงสุด ผู้ที่ได้รับก่อนใครก็คือเรา

ดังนั้น..เราทำ เราได้ล้วน ๆ มีโอกาสให้เร่งทำไว้ จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยส่งผลต่อไปข้างหน้า โดยเฉพาะทานเราทำหนึ่ง อานิสงส์เท่ากับร้อย ศีลเราทำหนึ่งอานิสงส์เท่ากับหมื่น ภาวนาเราทำหนึ่งได้ล้าน เพราะว่าทานเราให้แต่กาย ศีลเราควบคุมทั้งกายทั้งวาจา แต่ภาวนาได้ควบคุมกาย วาจา ใจพร้อมเลย อานิสงส์คูณร้อยขึ้นไป ในส่วนของศีลและภาวนาเราไม่เสียสตางค์อะไรเลย ทำได้ทุกเวลา และเรามีโอกาสเราก็มาให้ทาน เพื่อเสริมอานิสงส์ด้านนี้ของเรา ประโยชน์ทั้งหมดก็จะเกิดขึ้นกับเราอย่างสมบูรณ์บริบูรณ์

ถ้าหากไปวัดสระเกศฯ จะเห็นหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านให้ติดป้ายไว้ว่า ตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เรื่องของบุญเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะว่าบุญส่งผลให้เฉพาะด้านดีด้านเดียวเท่านั้น เราค่อย ๆ สั่งสมบุญไป แล้วประโยชน์สุขในปัจจุบันก็ได้ ประโยชน์สุขในอนาคตก็ได้ และท้ายสุด ส่งให้เกิดประโยชน์สุขสูงสุด คือหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง

ให้ตัดสินใจเอาเองว่า ต่อไปนี้เราควรจะทำให้เต็มที่หรือไม่ ? สำหรับพระอย่างไรก็ต้องทำอยู่แล้ว ส่วนของพวกเรานี่เลือกได้ ในเมื่อเห็นประโยชน์ก็ทำไป พระพุทธเจ้าสอนมา ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เพื่อพวกเราล้วน ๆ ไม่ได้เพื่อพระองค์ท่านเลย


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงบ่าย ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันอาทิตย์ที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2014 เมื่อ 01:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:12



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว