กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนธันวาคม ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 26-12-2025, 19:52
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 11,494
ได้ให้อนุโมทนา: 227,641
ได้รับอนุโมทนา 824,815 ครั้ง ใน 40,798 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๘


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 26-12-2025, 22:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,626
ได้ให้อนุโมทนา: 160,936
ได้รับอนุโมทนา 4,524,084 ครั้ง ใน 37,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เมื่อครู่นี้การขึ้นบทขัดธัมมนิยาม ถ้าคราวหน้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ ให้หายใจลึก ๆ สัก ๓ - ๔ ครั้งก่อน ไม่อย่างนั้นก็ได้นั่งสั่นอยู่แบบนั้นแหละ..! เนื่องเพราะว่าสมาธิของเราไม่สามารถที่จะใช้งานจริงได้ ถ้าสมาธิใช้งานจริงได้ สภาพจิตจะมั่นคง พูดง่าย ๆ ว่า "ไม่ประหม่า"

ถ้าหากว่ามาสายเวทมนตร์คาถา ก็เอาบทในภาณพระไปใช้ได้ บาลีท่านว่า "สีหะนาทัง นะทันเตเต ปะริสาสุ วิสาระทา" คือ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่ในหมู่พุทธบริษัท ประหนึ่งพญาสีหราชแผดสีหนาท ก็คือไม่มีอะไรที่ต้องไปเกรงกลัวใคร..!

เพราะฉะนั้น..พวกเราจะเห็นว่าคนโบราณส่วนใหญ่แล้วเขาจะมีครูบาอาจารย์ มีพระรัตนตรัย หรือว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเครื่องยึด ถึงได้กล้าออกรบ กล้าต่อตีกับข้าศึก ซึ่งอาวุธสมัยก่อนไม่เหมือนสมัยนี้ สมัยนี้อยู่ห่างกันเป็น ๑๐๐ กิโลเมตรก็ตายแล้ว..! สมัยนั้นต้องไปประจันหน้ากันด้วย หอก ดาบ แหลน หลาว ถ้ากำลังใจไม่มั่นคง เราก็ไม่สามารถที่จะสู้ใครได้

ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครเคยศึกษาอาคมมา ดูในบทโองการมหาทมื่น จะมีคำกล่าวว่า "เมื่อกูเอ่ยถึงครูกู ใครจักสู้กูก็มิได้" นั่นคือความมั่นใจที่เกิดขึ้น แต่ความมั่นใจทั้งหลายเหล่านี้ จะให้เกิดขึ้นตามปกติธรรมดาก็เป็นเรื่องยาก จึงต้องหมั่นขยันฝึกฝน จนกระทั่งสมาธิภาวนาสามารถกลืนเข้ากับชีวิตประจำวันของเราได้ จะทำอะไรอยู่ เราก็สามารถทรงสมาธิได้ ซึ่งในระยะแรก ๆ ก็ต้องอาศัยการท่องบ่นพระคาถาต่าง ๆ เพื่อช่วยสร้างสมาธิ

แต่ว่าจากที่กระผม/อาตมภาพเรียนมา มีคาถาหลายบทที่ครูให้กลั้นลมหายใจแล้วว่ารวดเดียว ๙ จบก็มี ๓ จบก็มี หนักที่สุดก็คือ ๑๐๘ จบในลมหายใจเดียว ซึ่งความจริงในลักษณะอย่างนั้นก็คือบังคับให้ตนเองมีสมาธิ เพื่อที่ผลของพระคาถาจะได้เพิ่มมากขึ้น เนื่องเพราะว่า
พระคาถาทุกบท เราจะทำได้ผลมากได้ผลน้อย ขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิของเรา

การกลั้นลมหายใจก็คือการพาตัวเข้าไปสู่สภาวะของบุคคลใกล้ตาย..! ทันทีที่เราไม่หายใจ สภาพจิตไม่ว่าจะฟุ้งซ่านส่งส่ายไปถึงไหนก็ตาม จะย้อนกลับมาอยู่กับตัวเองทันที เนื่องเพราะกลัวว่าจะตาย โบราณเข้าใจตรงจุดนี้ จึงให้บุคคลที่ไม่ได้ฝึกฝนมามาก ใช้วิธีกลั้นหายใจแล้วภาวนาพระคาถา แต่ถ้าทำไปมาก ๆ จะมีผลเสีย ก็คือเมื่อถึงเวลาเราจะมาฝึกตามสายวิสุทธิมรรค ตามจับลมหายใจเข้าออก กลายเป็นว่าพอเริ่มทำเมื่อไรก็จะกลั้นหายใจทันที..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 26-12-2025, 22:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,626
ได้ให้อนุโมทนา: 160,936
ได้รับอนุโมทนา 4,524,084 ครั้ง ใน 37,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แบบเดียวกับที่กระผม/อาตมภาพเคยฝึกเรื่องการเดินลมปราณแบบกำลังภายในมาแต่เด็ก พอมาทุ่มเทให้กับการปฏิบัติธรรม ปรากฏว่าสภาพจิตไม่ยอมอยู่ที่ลมหายใจ ๓ ฐานตามที่เราต้องการ พอหายใจเมื่อไร ก็จะโคจรไปตามเส้นลมปราณที่เราเคยชิน เพราะว่าทำมานาน จนกระทั่งมาภายหลังฝึกมโนมยิทธิแล้วถึงได้เข้าใจว่า ลักษณะของการเดินลมปราณ ก็เหมือนกับการเคลื่อนจิตของมโนมยิทธินั่นเอง เพียงแต่ว่าเป็นการเคลื่อนจิตอยู่ภายในกายของตนเอง ขณะที่มโนมยิทธิสามารถเคลื่อนจิตไปตามภพภูมิต่าง ๆ ก็ได้

ก็แปลว่าถ้าเรายังอ่อนซ้อม ขาดการซักซ้อมให้ดี โอกาสที่เราจะสามารถใช้งานจริงได้ก็จะมีน้อย ยิ่งถ้าถึงเวลาไปเจอท่านที่สมาธิสูง ๆ ก็จะสั่น แบบเดียวกับน้องการ์ตูน (นางสาวศรัณย์พร บุรินทรโกษฐ์) หัวหน้าทัวร์บัสที่ ๑ ที่ไปอินเดีย - เนปาล มาด้วยกัน เอาน้ำชาร้อนมาถวายกระผม/อาตมภาพ ก็สั่นจนหก..! เรื่องพวกนี้จะตำหนิก็ไม่ได้ เนื่องเพราะว่าบางทีก็เผลอ พยายามที่จะ "เก็บ" แล้ว แต่ก็ยัง "เก็บ" ไม่หมด..!

แบบเดียวกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง มีอยู่วันหนึ่งท่านกำลังฉันเพลอยู่ แต่กระผม/อาตมภาพฉันเสร็จแล้ว ก็จะต้องมาเปลี่ยนเวร เนื่องเพราะว่าเป็นเวรบ่าย ก็คือเข้าตั้งแต่เที่ยงจนถึง ๖ โมงเย็น พอเดินขึ้นมาบริเวณหน้าตึก ขึ้นบันไดได้ก็พนมมือไหว้ไปทางท่านที่ฉันเพลอยู่ในห้อง เพราะว่าทางมุมนั้นจะมีหน้าต่างที่มองผ่านมุ้งลวดไป แล้วจะเห็นท่านนั่งฉันเพลอยู่ ตัวเองก็ตั้งใจจะเปิดมุ้งลวดเข้าไปยังห้องยามหน้าตึก

เสียงท่านเรียก "เฮ้ย..เล็ก" แต่กำลังท่านหลุดออกมาด้วย กระผม/อาตมภาพเข่าอ่อนลงไปกองกับพื้น พอท่านเห็น ท่านก็บอก "เออ ๆ ไม่เป็นไร ทำหน้าที่ไปก่อน เดี๋ยวพ่อออกรับแขกแล้วค่อยคุยกัน" ก็คือตอนนั้นเหมือนอย่างกับกบเขียดตัวเล็ก ๆ อยู่ตรงหน้าพญางูจงอางอย่างนั้น..! ดังนั้น..ท่านที่ทำได้แล้วส่วนใหญ่ก็จะ "เก็บ" ก็คือไม่ปล่อยพลังออกมามากนัก ไม่อย่างนั้นแล้ว
เดี๋ยวคนรอบข้างอยู่ไม่ได้..!

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ต้องฝึกซ้อมจนกว่าจะใช้งานได้จริง ให้ไปศึกษาในนวสีทั้ง ๕ ก็คือเริ่มตั้งแต่สมาปัชชนวสี ชำนาญในการเข้าสมาธิ วุฏฐานวสี ชำนาญในการออกจากสมาธิ ไล่ไปเรื่อย ๆ ไอ้บาลีบางทีแปลมาแล้วก็อ่านยาก อย่างที่บอกว่า ชำนาญในการพิจารณาตามลำดับฌาน ก็คือเข้าฌานตั้งแต่ อุปจารสมาธิ ๑ - ๒ - ๓ - ๔ เป็นต้น แล้วก็มีการย้อนหลัง มีการสลับไปสลับมา แต่พอเป็นบาลีว่ามา ถ้าเราขาดความมั่นใจ ขาดความคล่องตัว อ่านให้ตายก็ไม่เข้าใจ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 26-12-2025, 22:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,626
ได้ให้อนุโมทนา: 160,936
ได้รับอนุโมทนา 4,524,084 ครั้ง ใน 37,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พวกเราทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือสร้างความสุขในปัจจุบันให้กับตัวเอง ก็คือใช้อำนาจสมาธิสะกด รัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงชั่วคราว แล้วหลังจากนั้นค่อยไปพิจารณา ไปตัด ไปหั่นกันอีกทีด้วยปัญญา

แต่ว่าอันดับแรกเลยก็คือความสุขในปัจจุบัน ถ้าซักซ้อมจนกระทั่งคล่องตัว นึกจะเข้าเมื่อไรก็ได้ ก็พอที่จะประกันว่าจะมีความสุขในอนาคต ก็คือต้องมีสุคติภูมิเป็นที่
ไป แต่ว่าพวกเรามาปฏิบัติธรรม เพื่อหวังประโยชน์สุขสูงสุด ก็คือ หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน จึงเป็นเรื่องที่ลำบากกว่าคนอื่นเขาหลายเท่า..!

พวกเราส่วนใหญ่สวดมนต์ปาว ๆ ไปแล้วก็ปล่อยเลยไปเฉย ๆ ลองดูในปัพพชิตอภิณหปัจจเวกขณ์ ที่เราสวดกันอยู่ทุกบ่อยที่ว่า "คุณวิเศษของเรามีหรือไม่ ? เพื่อที่จะไม่เก้อเขินเมื่อเพื่อนสหธรรมิกไต่ถาม"

พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ กับเพื่อนฝูง บวช ๓ วัน ทรงฌาน ๔ ได้
กันหมดแล้ว..! พวกเราเองล่อกันมาหลายเดือนบ้าง เป็นพรรษาบ้าง หลายปีบ้าง ก็แปลว่าที่เราทำนั้นก็คือทำขาด ทำไม่ถึง โอกาสที่จะทำเกินแบบพระโสณโกฬิวิสเถระนั่นเป็นเรื่องยากมาก เพราะว่าในพระไตรปิฎกก็รู้สึกจะมีท่านเพียงองค์เดียวเท่านั้น ที่ทุ่มเทกับการทำความเพียรจนกระทั่งเท้าแตกเลือดนอง เดินต่อไม่ได้ก็คลานไป มือแตก เข่าแตก ไปต่อไม่ได้ก็เอาคางเกาะพื้นขยับไป เป็นรายเดียวที่พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ลดความเพียรลงมาให้พอเหมาะพอดี ถึงจะได้มรรคได้ผล ส่วนพวกเราไม่ต้องคิดอะไรมาก เพิ่มอย่างเดียวเลย เพียงแต่ว่าอย่าเพิ่มความเพียรเฉย ๆ ต้องใช้ปัญญาพิจารณาด้วย

โดยเฉพาะหลายต่อหลายท่าน ถึงเวลาเราสมาทานพระกรรมฐาน อุทิศส่วนกุศล ก็ "ขอให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด" ถ้าไม่ตั้งใจปฏิบัติแล้วจะรู้ว่านรกมีจริง..! เนื่องเพราะว่าการที่เราจะไปพระนิพพานได้ เราต้องเห็นทุกข์อย่างชัดเจน แล้วเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ถอนจิตจากการยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง แต่คราวนี้เราไปตั้งเป้าแล้วว่าเราจะไปพระนิพพาน แต่ไม่ยอมใช้ปัญญาในการพินิจพิจารณา ให้เห็นว่าทุกอย่างรอบข้างเรามีแต่ความทุกข์ทั้งสิ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 26-12-2025, 22:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,626
ได้ให้อนุโมทนา: 160,936
ได้รับอนุโมทนา 4,524,084 ครั้ง ใน 37,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้เราไม่ได้เกิดมาชาติเดียว และไม่ได้เกิดมาคนเดียว ญาติพี่น้องครูบาอาจารย์ที่อยู่ข้างบนมีมากมาย ในเมื่ออยากไปพระนิพพานแต่ไม่ยอมขยับเสียที ท่านก็ต้องบังคับ วิธีบังคับก็คือทำให้เราต้องทุกข์สาหัส..!

แล้วส่วนใหญ่ก็ยังโง่อยู่เหมือนเดิม..! ก็คือทุกข์แล้วก็ไปคร่ำครวญอยู่กับความทุกข์ โดยที่ไม่ได้ฉวยโอกาสในการพินิจพิจารณา ในเมื่อเราต้องการจะพ้นทุกข์ ไม่รู้จักทุกข์ แล้วจะตัดทิ้งกันได้อย่างไร ? หลายต่อหลายท่าน สิ่งที่ไม่ดีไม่งามเกิดขึ้นในชีวิตของตนเอง บางทีนึกไม่ถึงว่าเกิดจากคำอธิษฐานของเรา ก็คือขอให้ถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ แล้วเราก็ปล่อยให้ความทุกข์นั้นเกาะกินเราไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่านั่นก็คือของที่วิเศษเลิศลอยชนิดที่ "หาค่ามิได้" ทุ่มเทเงินทองซื้อเท่าไรก็ซื้อหามาไม่ได้..!

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องสร้างบารมี เกิด ๆ ตาย ๆ นับชาติไม่ถ้วน
สำหรับพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะที่ตรัสรู้เร็วที่สุด อย่างน้อย ๆ ก็ ๒๐ อสงไขยกับกำไรแสนกัป เราลองนึกดูว่า ถ้าแต่ละชาติเราใช้ทรัพยากรไปตั้งแต่เกิดจนตายสัก ๑ ล้านบาทก็พอ แล้วเกิดจนนับชาติไม่ถ้วน ไม่ใช่เกิดแค่ ๑ ล้านชาติ ก็แปลว่าเราต้องใช้เงินหรือว่าใช้ทรัพยากรไปเป็น "ล้านล้านล้าน" ชนิดที่ไม่สามารถจะประมาณเป็นตัวเลขได้ ถึงจะเพียงพอทำให้เรามีปัญญาเห็นทุกข์

คราวนี้ความทุกข์เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า เป็นสิ่งที่มีราคามหาศาล ชนิดทุ่มเทเท่าไรก็ซื้อ
หาไม่ได้ เรากลับไปผลักไส ดิ้นรน หลบหนี ตกลงว่าโง่หรือฉลาด..!? แล้วพอถึงเวลาเดือดร้อนขึ้นมาก็หาปัญญาไม่เจออีก ไม่รู้ว่าเดือดร้อนเพราะอะไร ?!

เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าใครไม่ยอมพิจารณาด้วยปัญญา จนกระทั่งเห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา แล้วไปอธิษฐานขอถึงซึ่งพระนิพพานในชาตินี้ ก็ขอให้ตั้งหน้าตั้งตารองรับเอาไว้ ความทุกข์จะมาหาท่านอย่างแน่นอนและหนักหน่วงอีกด้วย..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๒๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:24



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว