กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนธันวาคม ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 15-12-2025, 22:25
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 614
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 29,134 ครั้ง ใน 1,103 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๘


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า เมื่อวานนี้, 00:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,577
ได้ให้อนุโมทนา: 160,850
ได้รับอนุโมทนา 4,522,605 ครั้ง ใน 37,192 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ อากาศที่โรงแรม DHAMMA GRAND HOTEL & RESORT เมืองคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย อยู่ที่ ๑๐ องศาเซลเซียส แต่ว่าน่าจะเป็นฝีมือของ "มหามาตา" และบริวารที่ช่วยดูแลอยู่ กระผม/อาตมภาพจึงไม่ได้รู้สึกผิดแผกแตกต่างจากทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรีเลย จึงไม่ได้ใส่ชุดกันหนาวที่เตรียมเอาไว้ หากแต่ว่าใส่เสื้อทับชนิดบางอยู่ด้านใน ๑ ตัว ก่อนที่จะสวมอังสะธรรมดาทับเข้าไป แล้วก็ห่มดองพาดสังฆาฏิตามปกติ

วันนี้ทางด้านห้องอาหารของโรงแรมนัดเวลา ๖ โมงเช้า แต่ว่าก่อน ๖ โมงก็พร้อมแล้ว กระผม/อาตมภาพชอบใจอาหารทางด้านนี้มาก เนื่องเพราะว่ามีผักหลากหลายอย่างให้เลือก โดยเฉพาะโรงแรมนี้ทำอาหารตามแบบของคนไทย มีทั้งส้มตำ มีทั้งฟักทองผัดไข่ เหล่านี้เป็นต้น เนื่องเพราะว่าหากินกับบรรดาคนไทยที่มาแสวงบุญในประเทศอินเดียมานาน จึงทำให้รู้ว่ารสชาติอาหารแบบไทย ๆ นั้นเป็นอย่างไร เมื่อฉันเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ขึ้นรถกันเกือบจะตัวเปล่า เนื่องเพราะว่าต้องกลับมาพักที่นี่กันอีก ๑ คืน จึงทำให้ติดมือติดไม้ไปแต่ของสำคัญ หรือกระเป๋าใบเล็กท่านนั้น

ท่านเจ้าคุณกอล์ฟ - พระวิเทศวัชราจารย์ (เฉลิมชาติ ชาติวโร) เจ้าอาวาสวัดสิทธารถราชมณเฑียร เลขานุการธรรมทูตสายอินเดีย - เนปาล พร้อมด้วยพระครูธรรมธรวรัญญู อคฺควชิโร, ดร. พระธรรมทูตสายอินเดีย - เนปาล มาถึงตรงเวลาเป๊ะ รถของเราจึงเคลื่อนออกจากโรงแรมในเวลา ๗ โมงตรงของอินเดีย เพื่อที่จะมุ่งไปยังเมืองราชคฤห์ ซึ่งเส้นทางไปราชคฤห์ ปัจจุบันนี้เริ่มมีการขยายเส้นทางให้ใหญ่ขึ้น เนื่องเพราะว่าเป็นเส้นทางท่องเที่ยวสำคัญ โดยเฉพาะเป็นเส้นทางที่นักท่องเที่ยวไทยจะขาดไม่ได้ เมื่อสักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์และพระเจดีย์พุทธคยา ตลอดจนกระทั่งหลวงพ่อเมตตาแล้ว ก็ต้องเดินทางไปสักการะพระคันธกุฎีของพระพุทธเจ้าที่เมืองราชคฤห์กันทั้งนั้น

พวกเราเดินทางแต่ช่วงเช้า รถจึงติดน้อย เนื่องเพราะว่าเวลาตื่นของคนอินเดียส่วนใหญ่ก็คือ ๘ โมงเช้า จึงทำให้พวกเราไปได้เร็วมาก จนกระทั่งมาพักเข้าห้องน้ำที่บริเวณวัดนวมินทรธัมมิกราช ซึ่งได้สร้างหลวงพ่อหินทรายองค์ใหญ่เอาไว้ ทางวัดต้อนรับดีมาก ๆ นอกจากห้องน้ำสมบูรณ์พร้อมแล้ว ยังมีน้ำชา กาแฟ ปาท่องโก๋ เสิร์ฟไม่อั้นอีกต่างหาก..!

กระผม/อาตมภาพเห็นเขาบอกบุญร่วมสร้างหลวงพ่อโตหินทรายองค์ใหญ่ จึงได้ควักกระเป๋าหย่อนตู้ไป ๑,๕๐๐ รูปี แต่คิดว่าผ้าป่ากองละ ๑,๕๐๐ ของเขา น่าจะเป็น ๑,๕๐๐ บาทมากกว่า..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า เมื่อวานนี้, 00:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,577
ได้ให้อนุโมทนา: 160,850
ได้รับอนุโมทนา 4,522,605 ครั้ง ใน 37,192 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ระหว่างที่ฉันน้ำชามะนาวที่น้องการ์ตูน (นางสาวศรัณย์พร บุรินทรโกษฐ์) หัวหน้าคณะทัวร์ประจำรถบัส ๑ นั้น เขาก็นำเอาพระภิกษุและสามเณรทั้ง ๑๓ รูปของวัดนวมินทรธัมมิกราชมากราบ กระผม/อาตมภาพจึงได้ถวายปัจจัยให้สามเณรทั้ง ๑๐ รูปไปรูปละ ๕๐๐ รูปี ทำเอาท่านเจ้าคุณกอล์ฟตาโต บอกว่าโดยปกติแล้ว ที่นี่ก็จะได้รับเบี้ยเลี้ยงกันวันละ ๒๐ รูปีเท่านั้น ถือว่าเป็นการรับทุนการศึกษาพิเศษไปก็แล้วกัน..!

จากนั้นก็ได้ถวายพระรูปละ ๑,๐๐๐ รูปี แล้วพวกเราไปหามุมถ่ายรูปกับหลวงพ่อโตหินทรายองค์ใหญ่ ซึ่งสร้างได้สวยงามมาก แต่ว่าโดนผึ้งหลวงทำรังบริเวณดวงตาบ้าง บริเวณไหล่บ้าง ไปหลายจุด แล้วก็ไม่สามารถที่จะขับไล่ไสส่งไปได้เสียด้วย จึงทำให้หย่อนสวยไปโดยปริยาย

พวกเราเดินทางต่อ โดยวิ่งผ่านทางด้านหน้าวัดนวมินทรธัมมิกราชตรงไปยังราชคฤห์ ระยะเวลาชั่วโมงกว่า ๆ ก็มาถึงประตูเมืองราชคฤห์ ซึ่งเป็นช่วงที่ภูเขาสองลูกบีบชิดกันมา สมัยก่อนจึงสร้างเป็นประตูเมืองเพื่อเก็บภาษีและป้องกันข้าศึก เราไปจอดบริเวณลานจอดรถตีนเขาคิชกูฏ เวลา ๐๙.๐๕ น.ของอินเดีย เห็นบรรดาผู้ที่หากินกับนักท่องเที่ยว เตรียมเสลี่ยงเอาไว้มากมายหลายหลัง แต่ขอโทษเถอะ...ในคณะของเรานักท่องเที่ยวที่อายุมากที่สุด คือคุณยายเล็ก (นางภัทริน จันทรนิภาพงศ์) นั้น แม้จะอายุ ๘๔ ปีแล้ว แต่ก็ประกาศชัดเจนว่าขอเดินขึ้นยอดเขาคิชกูฎด้วยตัวเอง ก็เลยทำให้บรรดาลูก ๆ หลาน ๆ ทั้งสองคันรถ ไม่มีใครกล้าเรียกเสลี่ยงมาหามเลยสักคนเดียว..!

กระผม/อาตมภาพเองอาศัยความเคยชินในการเดินขึ้นที่สูง นำหน้าไปลิ่ว ๆ ตอนแรกท่านเจ้าคุณกอล์ฟก็พยายามที่จะอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟังตามประสามัคคุเทศก์ที่ดี แต่พอเดินไป ๆ ไม่มีหยุดพัก แถมพื้นที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เริ่มต้องอาศัยปากหายใจแทน เสียงอธิบายก็เลยขาดหายไปเฉย ๆ..!

ตลอดสองข้างทางนั้น ขาขึ้นทางด้านซ้ายเป็นร้านค้าต่าง ๆ ซึ่งขายของที่ระลึกบ้าง อาหารบ้าง น้ำดื่มบ้าง ขนมบ้าง ส่วนทางด้านขวามีบรรดาขอทานแบมือขออยู่ตลอดเส้นทาง เรียกพวกเราว่า "มหาราชา" บ้าง "มหารานี" บ้าง แล้วแต่เขาจะพูดกันไป แต่ว่าขอทานที่นี่มีความดีอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือนั่งขออยู่กับที่ ไม่ให้ก็ไม่ว่า ไม่มีการมาตามตื๊อล้อมหน้าล้อมหลัง จนกระทั่งถึงเขตพุทธาวาส บรรดาขอทานทั้งหมดก็หายไป เนื่องเพราะว่าบริเวณนี้ทางการห้ามเข้าไปยุ่มย่ามด้วย บรรดามาเฟียต่าง ๆ ที่เคยขายเครื่องบูชาบ้าง มารีดไถเงินในการทำบุญแบบโน้นแบบนี้บ้าง ก็โดนกวาดล้างไปจนหมด..!

พวกเราเดินผ่านช่องที่พระเทวทัตกลิ้งหินลงมาเพื่อทับพระพุทธเจ้า ไปจนกระทั่งถึงถ้ำพระโมคคัลลาน์ และถ้ำพระสารีบุตร จากนั้นก็เลี้ยวขึ้นไปเจอสถานที่แห่งหนึ่ง มีเศษอิฐเก่า ๆ มากมาย ท่านเจ้าคุณกอล์ฟแจ้งว่านี่เป็นสถานที่ซึ่งได้สร้างสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้ ทางด้านหินยานหรือว่าเถรวาทของเราไม่มีใครรู้ แต่ว่าทางวัชรยานของทิเบตนั้นรู้ชัดเจนมาก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า เมื่อวานนี้, 00:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,577
ได้ให้อนุโมทนา: 160,850
ได้รับอนุโมทนา 4,522,605 ครั้ง ใน 37,192 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อขึ้นไปจนกระทั่งเกือบถึงยอดเขาคิชกูฎ กระผม/อาตมภาพก็สวนกับคณะของพระครูโกศลธรรมานุสิฐ เจ้าอาวาสวัดสวนหงษ์ เจ้าคณะอำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งนำคณะมากราบสักการะพระคันธกุฎีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นกัน ในคณะยังมีพระครูใบฎีกาจำนงค์ ปิยวณฺโณ เจ้าอาวาสวัดตะลุ่ม เจ้าคณะตำบลมะขามล้ม จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อนร่วมรุ่นพระอุปัชฌาย์ของกระผม/อาตมภาพอีกรูปหนึ่งด้วย

หลังจากทักทายกันด้วยความยินดีแล้ว กระผม/อาตมภาพก็เดินสวนขึ้นไปจนถึงพระคันธกุฎี ใช้เวลาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงจุดนี้ประมาณ ๑๖ นาที ตามที่ทิดเฟิร์ส (นายบัณฑิต เอี่ยมตระกูล) จับเวลาให้ ทำให้มีผู้ติดตามมาทันแค่ ๔ - ๕ คนเท่านั้น พวกเราต้องรอกันอยู่พักใหญ่กว่าที่คณะส่วนใหญ่จะตามมาถึง และได้ยินว่าคุณยายเล็กหกล้มเสียด้วย..! แต่ดูอาการแล้วน่าจะไม่เป็นอะไรมาก

พวกเราได้ฟังบรรยายจากท่านเจ้าคุณกอล์ฟ แล้วก็เจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพุทธบูชา ตามด้วยการสมาทานพระกรรมฐาน และนั่งสมาธิภาวนา เห็นภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใหญ่โตเต็มแผ่นดินแผ่นฟ้า ประกอบไปด้วยฉัพพรรณรังสีสวยงามเป็นยิ่งนัก..!

เมื่อกราบอุทิศส่วนกุศลเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ถ่ายรูปหมู่ร่วมกัน จากนั้นค่อยเดินลงมา ขึ้นถึงรถแล้วเห็นว่าเวลาเหลือน้อย พวกเราจึงได้ตรงไปยังโรงแรมราชคฤห์ เรสซิเดนซ์ โฮเต็ล เพื่ออาศัยห้องอาหารในการฉันเพล ไปทำการตักอาหารที่ประกอบไปด้วยผักกับผัก แต่ว่าทางด้านน้องการ์ตูน ได้จัดอาหารที่มีส่วนประกอบของไก่บ้าง ปลาบ้าง ไข่ดาวบ้าง มาเผื่อให้ด้วย

เมื่อฉันเสร็จสรรพเรียบร้อย เข้าห้องน้ำแล้ว กระผม/อาตมภาพต้องนั่งส่งงานรออยู่ครู่ใหญ่ กว่าที่ทุกคนจะมาพร้อมเพรียงกัน แล้วก็เดินทางไปยังวัดเวฬุวันที่อยู่ห่างออกไปนิดเดียวเท่านั้น เมื่อไปถึงแล้วไม่มีที่จอดรถ ทุกคนต้องรีบแห่ลงไปข้างล่าง เมื่อ "คุณวิชาญ" มัคคุเทศก์ท้องถิ่นไปจ่ายค่าตั๋วให้แล้ว เขาก็เปิดช่องพิเศษให้พวกเราเดินเข้าไปข้างใน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า เมื่อวานนี้, 00:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,577
ได้ให้อนุโมทนา: 160,850
ได้รับอนุโมทนา 4,522,605 ครั้ง ใน 37,192 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ท่านเจ้าคุณกอล์ฟให้พวกเราหยุดอยู่บริเวณแผนที่ของอุทยานวัดเวฬุวันแห่งนี้ อธิบายความต่าง ๆ ในรายละเอียดของความสำคัญในวัดแห่งแรกของพระพุทธศาสนา ซึ่งนอกจากจะเป็นวัดแห่งแรกแล้ว ยังประกอบไปด้วยความสำคัญต่าง ๆ อย่างเช่นว่าเป็นสถานที่แสดงโอวาทปาฏิโมกข์ เป็นสถานที่ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศตั้งพระอัครสาวกทั้งสอง เป็นต้น

เมื่อเข้าไปถึงทางด้านใน ซึ่งเป็นลานแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ พวกเราก็ได้เจริญพระพุทธมนต์ ปฏิบัติธรรม และทำประทักษิณ ถวายดอกไม้เป็นพุทธบูชา อุทิศส่วนกุศลเรียบร้อยแล้ว จึงได้กลับออกมาขึ้นรถ เพื่อที่จะเดินทางต่อไปยังมหาวิทยาลัยนาลันทาเก่า แต่ว่าพวกเราไม่ได้ไปชมความยิ่งใหญ่ของมหาวิทยาลัย หากแต่ไปหามุมลับแห่งหนึ่ง ซึ่งท่านเจ้าคุณกอล์ฟเคยทำวิดีโอแนะนำสถานที่ จนกลายเป็นมุมไม่ลับแล้ว..!

ตรงจุดนี้เป็นบ้านเดิมของพระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวา ผู้เลิศไปด้วยปัญญา ซึ่งได้มาโปรดแม่ของตนเองจนบรรลุโสดาบัน แล้วก็มรณภาพในบ้านเดิมของตน ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชได้มาสร้างสถูปบรรจุอัฐิเอาไว้ด้วย

พวกเราเจริญพระพุทธมนต์ นั่งกรรมฐานถวายกุศลแล้ว ก็ได้ถ่ายรูปหมู่ร่วมกัน แล้วเดินกลับมาขึ้นรถ ซึ่งเป็นรถสามล้ออินเดียที่เรียกว่าริกชอร์ พาพวกเราวิ่งเข้าไปในถนนคอนกรีตที่ค่อนข้างจะสั่นสะเทือนมาก เนื่องเพราะว่านั่งเข้าไป ๕ คน รวมคนขับก็เป็น ๖ คน..! ไปถึงบริเวณส่วนหนึ่งของนาลันทา แต่ว่าเป็นอโรคยาศาลา ที่ตั้งของหลวงพ่อองค์ดำ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพระหมอรักษาโรคทุกชนิด

เมื่อเดินเข้าไปถึงก็มีแต่คนมาเสนอขายน้ำมัน ซึ่งเป็นของบูชาหลวงพ่อองค์ดำ กระผม/อาตมภาพกราบหลวงพ่อองค์ดำแล้ว ก็มานั่งฟังท่านเจ้าคุณกอล์ฟบรรยายถึงที่มาที่ไปว่า เขามีการขุดเอาหินดำจากกาฬศิลามาแกะสลักเป็นหลวงพ่อองค์ดำ แล้วก็ตั้งอโรคยาศาลาเอาไว้ตรงนี้ ซึ่งเป็นศาลารักษาโรคทั่วไปให้กับชาวบ้าน จนกระทั่งกองทัพของอิสลามมาทำลายนาลันทาลงไป ทำให้รกร้างจนกระทั่งท้ายที่สุดชาวบ้าน ซึ่งหาหมอแล้วไม่หายจากโรคก็มาขอพร ทำให้หายจากโรคไปหลายราย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า เมื่อวานนี้, 00:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,577
ได้ให้อนุโมทนา: 160,850
ได้รับอนุโมทนา 4,522,605 ครั้ง ใน 37,192 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ทุกคนจึงเลื่องลือกันไป ทำให้บุคคลทุกศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิกข์ ต่างก็มาขอพรไปตาม ๆ กัน แต่ว่าไม่ได้รับอนุญาตให้ทะนุบำรุงให้ดีขึ้นมา จนกระทั่งหลวงพ่อจำเนียร สีลเสฏโฐ อดีตเจ้าอาวาสวัดถ้ำเสือ จังหวัดกระบี่ ไม่ทราบเหมือนกันว่าทางเจ้าของที่เลื่อมใสอะไร จึงยอมให้ท่านทำวิหารเล็ก ๆ ถวายหลวงพ่อองค์ดำ แล้วก็ลาดคอนกรีตจากถนนภายนอกเข้ามาถึง กระผม/อาตมภาพและคณะเจริญพระพุทธมนต์ นั่งกรรมฐานถวายกุศลแล้ว ก็ได้ถวายดอกไม้และน้ำมันบูชาหลวงพ่อองค์ดำด้วย

เมื่อออกมาถึงทางด้านนอก เข้าห้องน้ำแล้ว ค่อยนั่งริกชอร์ออกมาขึ้นรถบัสของเรา เพื่อที่จะเดินทางกลับไปยังเมืองคยา เพียงแต่ว่าหนทางขากลับนั้นเริ่มมืดแล้ว พวกเราฝ่าฟันกันมาตลอดทาง ฟังพระครูธรรมธรวรัญญู, ดร.กับท่านเจ้าคุณกอล์ฟผลัดกันบรรยายมา จนกระทั่งแจ้งข่าวดีว่าพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณวีรยุทธ - พระพรหมวชิรโพธิวงศ์ (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ, ดร.) เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยานั้น ท่านเดินทางจากเมืองไทยมาถึงวัดไทยพุทธคยาแล้ว จะทำการอุปสมบทหมู่ ให้กับคณะตำรวจซึ่งมาบวชที่อินเดีย พวกเราจะแวะเข้าไปหรือไม่ ? กระผม/อาตมภาพที่ถวายเงินให้ท่านเจ้าคุณกอล์ฟ เพื่อที่จะไปร่วมบุญบูรณะอุโบสถวัดไทยพุทธคยา เห็นเป็นโอกาสดี จึงให้พวกเราแวะเข้าไปทันที

เมื่อไปถึงก็ได้ควักกระเป๋าร่วมกันทำบุญ ได้เป็นเงินไทยรวม ๒๐,๐๐๐ บาท เงินรูปี ๒๑,๐๐๐ รูปี รวมกับของกระผม/อาตมภาพที่ถวายมาจนเขาออกอนุโมทนาบัตรให้แล้วอีก ๒๐,๐๐๐ รูปี เมื่อท่านเจ้าคุณวีรยุทธเข้ามาถึง ก็ยิ้มด้วยความดีใจที่เห็นบุคคลซึ่งคุ้นเคยกัน ถึงขนาดบอกว่า กลับไปงวดหน้า อาจจะแวะไปหากระผม/อาตมภาพที่วัดท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิบ้าง

เมื่อคุยกันจนหายคิดถึงแล้ว ท่านก็ได้มอบของที่ระลึกให้ ประกอบไปด้วยหนังสือและย่าม สิ่งที่ชอบใจที่สุดก็คือหลวงพ่อองค์ดำนั่นเอง แล้วเมื่อทุกคนได้รับข้าวของและถ่ายรูปกัน จากนั้นก็แบ่งคณะออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งที่จะไปช็อปปิ้ง ก็นั่งสามล้อไปหาที่ช็อปปิ้งของตนเอง ส่วนที่เหลือตามกระผม/อาตมภาพกลับสู่ที่พักโรงแรม DHAMMA GRAND HOTEL & RESORT เมื่อขึ้นถึงที่พัก กระผม/อาตมภาพก็รีบบันทึกเสียง และส่งงานต่าง ๆ ก่อน เนื่องเพราะว่าพรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้าอีกตามเคย

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๑๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:40



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว