กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 17-10-2025, 19:46
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 11,183
ได้ให้อนุโมทนา: 226,529
ได้รับอนุโมทนา 815,084 ครั้ง ใน 40,218 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๘


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 18-10-2025, 00:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,303
ได้ให้อนุโมทนา: 159,794
ได้รับอนุโมทนา 4,512,500 ครั้ง ใน 36,916 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ มีการประชุมเพื่อเตรียมการอบรมก่อนสอบนักธรรมชั้นโทและชั้นเอกปี ๒๕๖๘ ซึ่งจะมีพิธีเปิดในวันที่ ๒๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ไปสิ้นสุดวันที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ท่านใดที่ลงชื่อเข้าสอบนักธรรมชั้นโทและชั้นเอกก็เตรียมไปอบรม ซึ่งการเดินทางของพวกเราก็คงไปค้างกันที่วัดท่ามะขาม (วัดราษฎร์ประชุมชนาราม) แล้วก็ไปร่วมการอบรมที่วัดใต้ (วัดไชยชุมพลชนะสงคราม พระอารามหลวง) เหมือนเดิม

การอบรมก่อนสอบนั้นก็คือการทบทวนเนื้อหาที่เราเรียนมาแบบคร่าว ๆ ไม่ใช่มาสอนพวกเรา เพราะว่าเวลาแค่นั้น อย่างไรเสียก็ไม่พอที่จะสอน สรุปว่าถ้าเราไม่มีอะไรอยู่ในหัวเลย แล้วตั้งใจจะไปเอาตอนอบรมก่อนสอบ ก็ดูท่าว่าจะยากอยู่สักหน่อย เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเขาก็จะให้ซักซ้อมทำข้อสอบเก่า ๆ กัน

เพียงแต่ว่านักธรรมชั้นโทกับชั้นเอกนั้น ถ้าเป็นวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม เมื่อเราสอบนักธรรมชั้นโทแล้ว สามารถนำกระทู้ไปสอบนักธรรมชั้นเอกในปีต่อไปได้ เพียงแต่ว่าต้องเตรียมพุทธศาสนสุภาษิตเพิ่มขึ้นมาอีก ๑ บท เพราะว่านักธรรมชั้นโทต้องมีกระทู้รับ ๒ บท นักธรรมชั้นเอกมีกระทู้รับ๓ บท อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยกล่าวเอาไว้แล้วก็คือ วิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรมนั้นเป็นการเทศน์บนหน้ากระดาษ ก็เท่ากับว่าเราต้องซักซ้อมการเทศน์ หรือว่าซักซ้อมในการเตรียมเนื้อหาเพื่อเทศน์ ให้ละเอียดรอบคอบยิ่งขึ้น

เพียงแต่ว่าถ้าเป็นนักธรรมชั้นเอกจะไปยากในวิชาที่ ๒ ก็คือ ธรรมวิจารณ์ เนื่องเพราะว่าบางอย่าง เราเองถ้าไม่มีความเข้าใจในการปฏิบัติ อธิบายให้ตายก็ไม่รู้ อย่างเช่นวิสุทธิ ๗ ที่ท่านเปรียบเหมือนกับรถ ๗ ผลัด ที่จะนำเราไปสู่ที่หมายปลายทาง เริ่มตั้งแต่สีลวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ในศีลเป็นต้นไป จนกระทั่งท้ายที่สุดก็คือญาณทัสสนวิสุทธิ

เนื่องเพราะว่าถ้าเราตั้งใจรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ความที่เราตั้งสติระมัดระวังก็จะทำให้สมาธิเกิดขึ้น เมื่อสมาธิเกิดขึ้นก็เท่ากับว่าเราก้าวเข้าสู่ความเป็นจิตตวิสุทธิ คือความบริสุทธิ์ของจิตเริ่มมีขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-10-2025 เมื่อ 01:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 18-10-2025, 00:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,303
ได้ให้อนุโมทนา: 159,794
ได้รับอนุโมทนา 4,512,500 ครั้ง ใน 36,916 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อความบริสุทธิ์ของจิตเริ่มมีขึ้น กังขาวิตรณวิสุทธิก็จะปรากฏ ก็คือความลังเลสงสัยเกี่ยวกับแนวทางในการปฏิบัติของเราว่าจะถูกผิด มีผลหรือไม่มีผลอย่างไร แล้วก็ค่อย ๆ ไล่ไปทีละระดับ จนกระทั่งท้ายที่สุดก็คือญาณทัสสนวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ของเครื่องรู้ ก็คือรู้เห็นชัดเจน นำตนออกจากกิเลสทั้งปวงได้ ก็แปลว่าเนื้อหาการเรียนของเรา ถ้ามีการปฏิบัติธรรมควบคู่ไปด้วย ถึงจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว ถึงเวลาครูบาอาจารย์พูดไป เราก็ยังงง ๆ ว่าตกลงจะไปอย่างไรกันแน่ ?

โดยเฉพาะในส่วนของนักธรรมชั้นโท จะว่าไปแล้วก็คือเป็นหลักสูตรของพระคู่สวด ของบรรดาท่านทั้งหลายที่เข้าสู่มัชฌิมภูมิ คือตั้งแต่พรรษาที่ ๖ ขึ้นไป เขาถึงมีกฎเกณฑ์กติกาว่าภายใน ๕ พรรษาแรกต้องสอบนักธรรมชั้นตรีให้ได้ เพราะว่าหลัง ๕ พรรษา เราจะได้นิสัยมุตตกะ ถ้าศึกษามาดีก็มีความพร้อมที่จะเป็นพี่เลี้ยงให้กับพระใหม่ ซึ่งก็คือความเป็นพระกรรมวาจานุสาวนาจารย์นั่นเอง ส่วนนักธรรมชั้นเอกเป็นภูมิรู้ของบุคคลที่จะเป็นเจ้าอาวาส หรือว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์

เพียงแต่ว่าในระยะหลัง ความสำคัญของนักธรรมโดนลดลงไปมาก ไปให้ความสำคัญกับบาลีที่เรียนยากกว่า เพราะว่าต้องไปทำความเข้าใจกับระบบไวยากรณ์ที่เราไม่คุ้นเคย ในเมื่อเรียนยากกว่า เขาก็ให้ราคาไว้สูงกว่า อย่างเช่นการเป็นพระสังฆาธิการระดับเจ้าคณะขึ้นไป ก็คือถ้าจะเป็นเจ้าคณะตำบล อย่างน้อยต้องเป็นเจ้าอาวาสมาแล้ว ๔ ปี ถ้าจะเป็นเจ้าคณะอำเภอ อย่างน้อยต้องเป็นเจ้าคณะตำบลมาแล้ว ๔ ปี เป็นต้น

แต่กฎเกณฑ์กติกาจะมีอยู่ข้อหนึ่งว่า "ยกเว้นว่าเป็นเปรียญเอก" ก็คือถ้าสอบบาลีได้ประโยค ๗ - ๘ - ๙ สามารถที่จะเสียบเข้าไปในตำแหน่งเจ้าคณะปกครองได้ทุกระดับ แล้วแต่ผู้บังคับบัญชาท่านจะพิจารณา ก็เลยทำให้การศึกษาของเราในตอนแรก ที่เรียนเพื่อความเข้าใจชัดเจนในหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จุดมุ่งหมายก็เปลี่ยนแปรไป ก็คือศึกษาเพื่อที่จะได้ไปเป็นเจ้าคณะปกครอง ในเมื่อมีตำแหน่งในการปกครอง มีสมณศักดิ์ ถ้าขาดสติ ไม่รู้ตัว ก็จะยิ่งแบกกิเลสหนักเข้าไปทุกที..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-10-2025 เมื่อ 01:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 18-10-2025, 00:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,303
ได้ให้อนุโมทนา: 159,794
ได้รับอนุโมทนา 4,512,500 ครั้ง ใน 36,916 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แบบเดียวกับที่หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน จังหวัดสุพรรณบุรี ท่านมีน้าเป็นเจ้าคุณอยู่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯ หลวงพ่อโหน่งตั้งใจว่าถ้าบวชก็จะพยายามละกิเลสให้ได้ แต่ด้วยความที่ว่าทางบ้านยุให้ไปบวชกับน้าที่เป็นเจ้าคุณ ท่านก็เลยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปกราบหลวงน้า พร้อมกับถามตรง ๆ ว่า "หลวงน้าบวชมาจนเป็นเจ้าคุณแล้ว ละกิเลสอะไรได้บ้างครับ ?" หลวงน้าบอกว่า "แกไปเปิดดูในห้องข้าก็จะรู้เอง"

พอหลวงพ่อโหน่งเปิดเข้าไปดู แล้วออกมากราบงาม ๓ ที บอกว่า "ถ้าอย่างนั้น ผมขอกลับไปบวชที่บ้านนอกดีกว่า" เนื่องเพราะว่าภายในห้องนั้นมีแต่พวกข้าวของเครื่องใช้สวย ๆ งาม ๆ ประเภทโต๊ะหมู่มุก โต๊ะเก้าอี้มุก ตะลุ่มมุก เหล่านั้นเป็นต้น พอท่านเห็นก็รู้เลยว่าไม่ใช่เรื่องของบุคคลที่บวชมาเพื่อละกิเลส

ดังนั้น..ถ้าบวชกับเจ้าคุณหลวงน้าของท่านก็คงจะไม่ได้อะไร ท่านจึงกลับไปบวชที่อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี บ้านเกิดของท่าน แล้วก็ไปศึกษาวิชากรรมฐานกับหลวงปู่เนียม วัดน้อย ที่อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งสมัยก่อนการเดินทางไม่ได้ง่ายแบบนี้ ถ้าเป็นหน้าน้ำก็ต้องแจวเรือลัดทุ่งไปเป็นวัน ๆ ถ้าหากว่าเป็นหน้าแล้งก็เดินลัดทุ่งนาไป

จนกระทั่งท่านศึกษากรรมฐานได้เชี่ยวชาญทะลุปรุโปร่ง ถึงขนาดที่หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ที่เป็นศิษย์น้อง คือไปกราบหลวงปู่เนียมทีหลัง หลวงปู่เนียมบอกกับหลวงปู่ปานว่า "ถ้าแกมีอะไรสงสัยข้องใจ ให้ไปหาท่านโหน่งที่สองพี่น้อง เขาสามารถแทนข้าได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-10-2025 เมื่อ 01:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 18-10-2025, 00:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,303
ได้ให้อนุโมทนา: 159,794
ได้รับอนุโมทนา 4,512,500 ครั้ง ใน 36,916 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อหลวงปู่ปานได้ยินดังนั้น จึงตั้งใจเดินธุดงค์ไป เพื่อที่จะไปกราบหลวงปู่โหน่งที่วัดคลองมะดัน ด้วยความที่เป็นผู้มีมารยาท ไปถึงก็ตั้งใจปักกลดที่ท้ายวัด ขอเวลาเตรียมตัวให้เรียบร้อย ดูท่าทีช่องทางก่อนว่าจะเข้าไปกราบพบหลวงปู่โหน่งได้ตอนไหนดี ? ปรากฏว่ายังไม่ทันจะปักกลด หลวงปู่โหน่งเปิดหน้าต่างกุฏิออกมา ตะโกนบอกว่า "มาถึงแล้วก็ขึ้นมาได้เลย ยังจะไปปักกลดอะไรกันอีก ?" สมัยก่อนไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีใครสามารถบอกได้หรอกว่า พระที่มาด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ท้ายทุ่งนั้นตั้งใจมาทำอะไร ?

ดังนั้น..ในเรื่องของการเรียนการศึกษาของพวกเรา จะลืมจุดหมายปลายทางไม่ได้อย่างเด็ดขาด ประการแรกเลยก็คือศึกษาเล่าเรียนเพื่อเอาความรู้นั้นมาขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของเราให้ดีที่สุด

ประการที่สองก็คือนำเอาความรู้นั้นไปเผยแผ่ต่อให้กับผู้ที่สนใจ หรือไม่ก็เอาไว้สั่งสอนญาติโยมที่มาขอความรู้ ไม่ใช่เรียนเพื่อยศ ไม่ใช่เรียนเพื่อตำแหน่ง

แต่ท่านทั้งหลายก็จะเห็นว่าในระยะหลังนั้น จุดมุ่งหมายในการเรียนของพวกเราผิดเพี้ยนไปมาก เนื่องเพราะว่าข้างบน บางทีก็เป็นตัวทำให้เกิดความเพี้ยนไป อย่างเช่นกำหนดว่าสำนักนี้มีพระสอบบาลีได้ ๒๐ รูป สามารถขอเจ้าคุณชั้นสามัญได้ เหล่านี้เป็นต้น ก็ยิ่งกลายเป็นซ้ำเติมให้ออกนอกลู่นอกทางไปไกลยิ่งขึ้น

จึงอยากจะย้ำเตือนทุกท่านว่า การเรียนของเรานั้น เรียนเพื่อรู้ รู้แล้วนำมาปฏิบัติให้เกิดผล เกิดผลแล้วจะได้บอกกล่าวผู้อื่นต่อไปได้ถูกต้องแม่นยำ เนื่องเพราะว่าบางทีตำราก็ไม่สามารถอธิบายได้ละเอียดเท่ากับการปฏิบัติ

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๑๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-10-2025 เมื่อ 01:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:13



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว