กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 03-10-2025, 19:45
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 11,341
ได้ให้อนุโมทนา: 227,167
ได้รับอนุโมทนา 817,954 ครั้ง ใน 40,380 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๖๘


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 03-10-2025, 22:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,265
ได้ให้อนุโมทนา: 160,501
ได้รับอนุโมทนา 4,511,504 ครั้ง ใน 36,881 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ คณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิมีการสอบนักธรรมชั้นตรี (สนามหลวง) ในวันที่ ๓ ก็คือวิชาพุทธประวัติและศาสนพิธี

ปรากฏว่าทีมงานวิทยากรวัดท่าขนุนเก่งสุด ๆ เก็งข้อสอบ ๑๐ ข้อ ออกทั้ง ๑๐ ข้อ..! ความจริงเมื่อวานนี้ข้อสอบ ๑๐ ข้อในวิชาธรรมวิภาค ก็ออกตรง ๗ ข้อ แต่ด้วยความที่ว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ต้องการคำอธิบาย จึงกลายเป็นเรื่องยากสำหรับพระใหม่ ต่อให้เก็งข้อสอบถูก ก็ไม่แน่ว่าจะตอบได้ทั้งหมด..!

คราวนี้ในส่วนของการเก็งข้อสอบนั้น ถ้าไม่จำเป็นอย่าทำเลยจะดีกว่า..! เนื่องเพราะว่าถ้าไปเจอคนขี้เกียจก็จะไม่อ่านตำรา อาศัยแค่เก็งอย่างเดียว ซึ่งถ้าพลาดคือสอบตกเลย
ทุกวันนี้เหตุหนึ่งที่การศึกษาของคณะสงฆ์เรา ไม่ว่าจะแผนกนักธรรมหรือแผนกบาลีตกต่ำลง ก็เพราะการเก็งข้อสอบ ทำให้ศึกษาได้ไม่ครบถ้วน ถ้าออกไม่ตรงเก็งก็คือสอบตก เสียเวลาไป ๑ ปี..!

ถ้าเป็นรุ่นที่กระผม/อาตมภาพเรียนอยู่เมื่อ ๔๐ ปีก่อนโน้น ท่านใช้คำว่า "บังคับท่องแบบ" ก็คือต้องท่องได้ทั้งเล่ม ออกตรงไหนเราก็จะตอบได้ แต่คราวนี้พวกเรามา
ยุคหลัง ๆ ไม่ใช่ว่าความจำเสื่อมลง แต่ว่าความขี้เกียจมีมากขึ้น ก็เลยไม่ค่อยที่จะศึกษาอะไรให้ครบถ้วน "รู้แบบงู ๆ ปลา ๆ" ถ้า "รู้แบบเป็ด" ก็ยังดี เพราะว่าเป็ดบินก็ได้ เดินก็ได้ ว่ายน้ำก็ได้ ดำน้ำก็ได้ เพียงแต่ว่าเป็ดนั้นไม่เก่งจริงสักอย่างเดียว แต่ถ้า "รู้แบบงู ๆ ปลา ๆ" ก็คือผิด ๆ ถูก ๆ เอาดีไม่ได้ สู้ "รู้แบบเป็ด" ยังจะดีกว่า คาดว่าคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ ก็คงต้องพึ่งพาอาศัยทีมวิทยากรวัดท่าขนุนต่อไปอีกนานแสนนาน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-10-2025 เมื่อ 01:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 03-10-2025, 22:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,265
ได้ให้อนุโมทนา: 160,501
ได้รับอนุโมทนา 4,511,504 ครั้ง ใน 36,881 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ว่าเรื่องที่อยากพูดวันนี้ไม่ใช่เรื่องของการสอบนักธรรมชั้นตรี (สนามหลวง) แต่เป็นเรื่องที่ถ้าท่านทั้งหลายสังเกตจะเห็นว่า กระผม/อาตมภาพส่งเวลาเจริญพระกรรมฐานใน "แอพฯ เสบียงบุญ" เข้าไปในกลุ่มไลน์ ถ้าทุกท่านสังเกตจะเห็นว่า จำนวนชั่วโมงมากเป็นพิเศษ..!

เนื่องเพราะว่าใกล้ถึงเวลา "อดอาหารประจำปี" แล้ว ก็คือเว้นพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นวันสอบอีก ๑ วัน ตั้งแต่วันมะรืนก็คือ วันที่ ๕ - ๖ - ๗ ตุลาคม กระผม/อาตมภาพต้องเข้ากรรมฐาน ๓ วันต่อเนื่องกัน แล้วออกมารับบาตรเทโวในช่วงเช้าวันที่ ๘ และรับกฐินสามัคคีในช่วงบ่ายวันที่ ๘ เช่นกัน

ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าในเรื่องของกรรมฐาน แม้ว่ากระผม/อาตมภาพจะฝึกฝนมาขนาดไหนก็ตาม ยังต้องมีการซักซ้อมอยู่เสมอ หลายท่านที่ช่างสังเกตก็จะเห็นว่า แม้แต่เวลาทำวัตร กระผม/อาตมภาพก็อ่านหนังสือไปด้วย แล้วทำไมเรื่องของทำวัตรผิดถูกอย่างไรถึงได้รู้ ?

อย่างเมื่อครู่นี้เสียงออกไมค์ดังลั่นเลย "อัจเฉวะ กิจจะ มาตัปปังฯ" น่าจะเข้าใจว่าผิดตรงไหน เพราะว่าตรงนี้เป็นการใช้ตัวสะกดและตัวตามตัวเดียวกัน วรรคเดียวกัน ใครที่เรียนบาลีก็จะรู้ว่า
ถ้าตัวสะกดและตัวตามไม่ใช่วรรคเดียวกัน ก็แปลว่าบาลีคำนั้นผิด แต่ว่าจะมีวรรคเดียวกัน ก็คือเรียงตัวสะกด อย่างเช่นว่า จะ ฉะ สะกดด้วย จ.จาน ตามด้วย ฉ.ฉิ่ง หรือว่าสะกดตัวเดียวกันด้วยตัวตามตัวเดียวกัน อย่างเช่น อัชชะ เป็นต้น

การที่เราแยกจิตทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน จัดว่าเป็นกีฬาสมาธิ ทำให้เราไม่เบื่อไม่หน่ายในการปฏิบัติธรรม ไม่อย่างนั้นถ้าตั้งหน้าภาวนาอย่างเดียว พอถึงเวลาสมาธิทรงตัวเต็มแล้ว ก็มักจะคลายตัวออกมา แล้วท่านทั้งหลายก็ไปทางวิปัสสนาญาณกันไม่ค่อยจะเป็น ก็จะเจอเหตุการณ์ประมาณว่า ถึงเวลากิเลสก็เอากำลังสมาธิไปใช้ ทำให้เราฟุ้งซ่านไปในด้าน รัก โลภ โกรธ หลง รุนแรงมาก เพราะว่าได้กำลังสมาธิไปเสริม..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-10-2025 เมื่อ 01:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 03-10-2025, 22:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,265
ได้ให้อนุโมทนา: 160,501
ได้รับอนุโมทนา 4,511,504 ครั้ง ใน 36,881 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จะว่าไปแล้ว กระผม/อาตมภาพต้องนึกกราบเท้าขอบพระคุณพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงทุกครั้ง เนื่องเพราะว่าถ้าไม่ได้หลวงพ่อท่านช่วยเคี่ยวเข็ญให้ กระผม/อาตมภาพก็คงทำไม่ได้อย่างทุกวันนี้

เนื่องเพราะว่าท่านบังคับให้
เข้าสมาธิตามปกติ เมื่อคล่องตัวแล้วก็เข้าสมาธิตั้งเวลา มีการเข้าฌานสลับกัน ถ้าหากว่าท่านไม่ได้บังคับและกระผม/อาตมภาพไม่เอา ก็คงจะอยู่สภาวะเดียวกับพวกท่าน ก็คือสมาธิทรงตัวบ้าง ไม่ทรงตัวบ้าง

แต่ถ้าหากว่าเราซักซ้อมในการกำหนดเวลาเข้าสมาธิบ่อย ๆ แล้วค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาขึ้นไป เราก็จะสามารถทรงสมาธิได้เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี เพียงแต่ว่าถ้าเผลอเมื่อไรก็หลุด แล้วถ้ากลับเข้าไปไม่ทัน ก็จะโดนกิเลสรุมตีตายอยู่ตรงนั้นเอง..! หรือว่าการเข้าสมาธิแล้วแยกจิตทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน

ในยุคที่อยู่วัดท่าซุง พอดีว่าเพื่อนฝูงจำนวนหนึ่งก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเช่นเดียวกัน จึงมีพยานเป็นจำนวนมาก ท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็จะเห็นว่า กระผม/อาตมภาพ
ภาวนาไปด้วย นับลูกประคำไปด้วย อ่านหนังสือไปด้วย บางทีก็ทำงานทำการต่าง ๆ ไปด้วย ซึ่งจะว่าไปแล้วเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะว่าจัดอยู่ในอิริยาบถและสัมปชัญญะในมหาสติปัฏฐานสูตร ก็คือเราจะเคลื่อนไหวในอิริยาบถใหญ่หรืออิริยาบถย่อย ก็ต้องกำหนดรู้ตามไปด้วย แต่ว่าพวกเราก็มักจะถนัดแค่นั่งสมาธินิ่ง ๆ พอขยับไปทำอย่างอื่น สมาธิก็หลุดหมด เพราะว่าขาดการฝึกฝน

แม้กระทั่งช่วงทำวัตรเช้าที่ออกจากกรรมฐานแล้วต่อด้วยการทำวัตรเลย พวกเราส่วนใหญ่ก็สมาธิหลุดเกลี้ยงตอนทำวัตรนั่นเอง ถ้าหากว่ารู้จักประคับประคองรักษากำลังสมาธิเอาไว้ และทำวัตรไปด้วย ซักซ้อมบ่อย ๆ กำลังของพวกเราจะมั่นคงขึ้นไปเรื่อย เพราะว่าเป็นการทรงสมาธิขณะที่ทำงานอื่นไปด้วย จะทำให้กำลังสมาธิของเรามั่นคงหนักแน่น ไม่หลุดไปไหนง่าย ๆ ไม่ใช่แค่ขยับตัวลุกจากที่นั่งก็หลุดหมดแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-10-2025 เมื่อ 01:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 03-10-2025, 23:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,265
ได้ให้อนุโมทนา: 160,501
ได้รับอนุโมทนา 4,511,504 ครั้ง ใน 36,881 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องพวกนี้เราควรที่จะฝึกฝนเอาไว้ เพราะว่าเป็นคุณแก่ตัวเองทั้งสิ้น สมาธิจะว่าไปแล้ว คุณประโยชน์ใหญ่ก็คือสามารถระงับกิเลสใหญ่ได้ชั่วคราว และเป็นกำลังในการตัดกิเลสให้เด็ดขาด ทุกท่านจะสังเกตว่าถ้ากำลังสมาธิไม่ถึงระดับปฐมฌานละเอียด จะไม่มีกำลังตัดกิเลสในเบื้องต้น ดังนั้น..ต่ำสุดพระโสดาบันจึงต้องมีสมาธิระดับปฐมฌานละเอียดขึ้นไป ถ้าสามารถทรงฌาน ๔ ได้ยิ่งดี ไม่เช่นนั้นแล้ว กำลังในการตัดสินใจก็ไม่เพียงพอ กำลังในการตัดกิเลสก็ไม่เพียงพอ

ท่านทั้งหลายอาจจะถามว่า "แล้วพระอริยเจ้าที่เป็นสุกขวิปัสสโก ท่านจะสามารถทรงฌานแบบนี้ได้หรือไม่ ?" ต้องตอบว่าท่านทรงฌานแบบนี้ได้ทุกรูป ทุกองค์ ทุกคน แต่ว่าบางทีท่านก็ไม่รู้ตัว เพราะว่าสุกขวิปัสสโก ส่วนใหญ่แล้วจะเน้นไปในวิปัสสนาภาวนา ก็คือใช้การพิจารณาในการตัดกิเลส ถ้าท่านรู้จักพินิจพิจารณาก็จะเห็นว่า
การตัดกิเลสนั้น พอเราพิจารณาลึกเข้าไปเรื่อย ลึกเข้าไปเรื่อย จิตจะดิ่งเป็นสมาธิขึ้นมาเอง แต่ท่านที่เป็นสุกขวิปัสสโกส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีกลายเป็นพระอริยเจ้าไปแล้ว..!

ดังนั้น..เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าเราซักซ้อมเอาไว้ มีคุณแก่ตัวทั้งสิ้น นอกจากจะพาตัวเองให้พ้นจากเงื้อมมือกิเลสแล้ว อยู่ที่ไหนเราก็เป็นหลักให้กับที่นั่นได้ โดยเฉพาะท่านที่กำลังใจยังอ่อนอยู่ เพราะว่าปกติกำลังใจของคนนั้น แบ่งหยาบ ๆ ได้ ๓ ระดับ

ระดับแย่ที่สุด ก็คือ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ช่วยเหลือคนอื่นไม่ได้

ระดับที่ ๒ ช่วยเหลือตนเองได้ แต่ช่วยเหลือคนอื่นไม่ได้

ต้องถึงระดับที่ ๓ ก็คือช่วยเหลือตนเองได้ ช่วยเหลือคนอื่นได้ด้วย ซึ่งนักปฏิบัติธรรมที่ดีควรจะเป็นเช่นนั้น


โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณร ที่เราต้องเป็นที่พึ่งของชาวบ้านเขา จะไปเอาตัวรอดคนเดียว แบบที่บางส่วนเขาตำหนิเราว่าเป็น "หีนยาน" ก็คือยานหยาบ ๆ เล็ก ๆ เอาแต่ตัวเองรอดคนเดียว สู้ "มหายาน" คือยานใหญ่ ที่ช่วยแบกชาวบ้านเขาไปด้วยไม่ได้..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-10-2025 เมื่อ 01:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 03-10-2025, 23:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,265
ได้ให้อนุโมทนา: 160,501
ได้รับอนุโมทนา 4,511,504 ครั้ง ใน 36,881 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ว่าเรื่องพวกนั้นเป็นแค่วาทะในการข่มกันของบรรดาบุคคลสมัยก่อน เนื่องเพราะว่าถ้าหากเป็นบุคคลที่มีภาระงานอยู่ตามบุญสัมพันธ์ กรรมสัมพันธ์ เมื่อบรรลุมรรคผลแล้ว ไม่มีใครอยู่ได้คนเดียว มักจะได้รับคำสั่งจากพระ หรือครูบาอาจารย์ให้ทำโน่นทำนี่เพื่อส่วนรวมอยู่เสมอ ไม่ได้แปลว่าบรรลุแล้วจะไปได้เลย ยกเว้นบางท่านที่มาแบบไร้บุญไร้กรรมสัมพันธ์กันจริง ๆ ถ้าอย่างนั้น บรรลุมรรคผลแล้ว ท่านมีสิทธิ์ที่จะเข้าพระนิพพานไปเลย

อย่างที่มีพระอยู่รูปหนึ่งจากจังหวัดราชบุรี ท่านยังอายุไม่มาก แค่ ๓๗ ปี ก็คือบวชมาได้แค่ ๑๗ พรรษา ใช้คำว่าแค่ ๑๗ พรรษา พวกท่านพรรษาเดียวก็จะตายแล้ว แต่ว่าเมื่อท่านเข้าถึงมรรคผลนิพพานแล้ว พิจารณาตั้งแต่ต้นยันปลาย ไม่มีภาระในเรื่องของบุญสัมพันธ์กรรมสัมพันธ์กับใคร ท่านจึงไปลาหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง เพื่อขอเข้าพระนิพพานเลย ก็คือไม่อยากแบกร่างกายที่เป็นทุกข์นี้ไปอีกหลายปี แล้วทำไมต้องไปลาหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ? ขอปล่อยไว้เป็นการบ้านให้ท่านทั้งหลายคิดกันต่อไป

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-10-2025 เมื่อ 01:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:40



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว