#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๘
|
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ มีท่านใดจะไปงานศพพ่อของปลัดตั้มบ้าง ? กระผม/อาตมภาพจะได้ฝากไทยธรรมไปด้วย เผาวันนี้แล้วหรือ ? อย่างนั้นก็ไม่ทันแล้ว..!
สำหรับวันนี้กระผม/อาตมภาพไปเป็นประธาน ในการเปิดและปิดการอบรมนักธรรมชั้นตรี (สนามหลวง) ก่อนสอบประจำปี ๒๕๖๘ ของคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ ที่วัดปรังกาสี หมู่ที่ ๓ ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี พรุ่งนี้เป็นวันพระก็ได้หยุดพัก ๑ วัน วันที่ ๑ - ๒ - ๓ และ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๘ ก็จะเป็นการสอบนักธรรมชั้นตรี (สนามหลวง) ประจำปี ๒๕๖๘ ก่อนหน้านี้ สมัยที่กระผม/อาตมภาพเรียนนักธรรม เขาจะมีการสอบช่วงก่อนออกพรรษา เรียกว่าสอบนักธรรมชั้นตรี ระดับนวกภูมิ เมื่อออกพรรษาไปแล้ว ตรงกับวันแรม ๒ ค่ำเดือน ๑๒ ก็คือหลังวันลอยกระทง ๒ วัน จะเป็นการสอบนักธรรมชั้นตรี (สนามหลวง) ก็คือมีการสอบ ๒ ครั้ง เท่ากับว่ามีโอกาสทดสอบตัวเองก่อน ๑ รอบ ถ้าสึกหาลาเพศไปก่อน อย่างน้อยก็ได้ประกาศนียบัตรนักธรรมชั้นตรีระดับนวกภูมิ ไปเป็นเครื่องประกันว่าเราได้เรียนมาแล้ว ส่วนใครที่อยู่ต่อได้จนกระทั่งรับกฐิน หลังกฐินแล้ว ๒ วันก็จะได้สอบนักธรรมชั้นตรี (สนามหลวง) ของจริง เนื่องเพราะว่าในระดับนวกภูมิเป็นข้อสอบที่ออกโดยจังหวัดนั้น ๆ แต่ว่าในระดับชั้นตรีของสนามหลวง เป็นการออกข้อสอบโดยกองธรรมสนามหลวง วิชาการต่าง ๆ ที่ศึกษานั้น เป็นประโยชน์ทั้งพระภิกษุสามเณรที่บวชต่อไป หรือว่าท่านที่สึกหาลาเพศไปก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วย อันดับแรกก็คือไม่ใช่บวชมา "ฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน ตอนบ่ายพักผ่อน ตอนค่ำจำวัด" แต่ว่าบวชมาแล้วต้องเรียน..! วิชาแรกเลยก็คือเรียงความแก้กระทู้ธรรม เขาจะตั้งหัวข้อเป็นภาษาบาลีมาให้ ส่วนใหญ่จะเป็นพุทธภาษิต คือพระบาลีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส หรือเถรภาษิต หัวข้อบาลีที่พระเถระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลก็ดี มาถึงในสมัยปัจจุบันก็ตาม ได้กล่าวเอาไว้ อย่างเช่นว่าเป็นเถรภาษิตของพระมหากัจจายนะ ในภัทเทกรัตตสูตรบ้าง เป็นเถรภาษิตของสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสสเทวมหาเถระ) วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร อย่างเช่นว่า "จงรักษาความดีไว้ เหมือนกับเกลือรักษาความเค็ม" ซึ่งหลายท่านก็ไม่ทราบว่าเป็นภาษิตของสมเด็จพระสังฆราช (ปุสสเทวมหาเถระ) ในยุครัตนโกสินทร์นี่เอง หรือเป็นโพธิสัตวภาษิต ก็คือคำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยที่ยังบำเพ็ญบารมีอยู่ ยังไม่บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ที่พระองค์ตรัสเล่าเอาไว้ในชาดกต่าง ๆ บ้าง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2025 เมื่อ 01:36 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
คราวนี้การเรียงความแก้กระทู้ธรรมนั้น เป็นการเทศน์บนหน้ากระดาษ ซึ่งมีรูปแบบที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า ต้องเริ่มต้นอย่างไร ? อธิบายขยายความอย่างไร ? สรุปจบอย่างไร ? โดยที่ยกเอากระทู้ ก็คือหัวข้อบาลีที่เราเตรียมเอาไว้มารับ ให้เนื้อหาผสมกลมกลืนกัน ซึ่งสมัยก่อนใช้คำว่า "เชื่อมกระทู้" ก็คืออธิบายหัวข้อบาลีที่เขาตั้งไว้ให้เราเทศน์ จนกระทั่งชัดเจนแจ่มแจ้ง แล้วก็โยงเนื้อหามาหาหัวข้อบาลีที่เราเตรียมเอาไว้สำหรับรับ
จากนั้นก็อธิบายหัวข้อบาลีที่เราเตรียมไว้รับให้ชัดเจน สอดคล้องกับหัวข้อบาลีตัวตั้ง จากนั้นถึงสรุปจบ ถ้าเป็นนักธรรมชั้นโท ก็ต้องใช้หัวข้อบาลีในการรับ ๒ บท ถ้าเป็นนักธรรมชั้นเอก ก็ใช้หัวข้อบาลีในการรับ ๓ บท ก็คือยากขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่ว่าเป็นการสอนให้พวกเราเขียนกัณฑ์เทศน์ได้ด้วยตนเอง และโดยเฉพาะบางวัด อย่างเช่นวัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร มีแบบธรรมเนียมว่า พระภิกษุใหม่ ไม่ว่าจะบวชมากบวชน้อย ๓ วัน ๕ วันอย่างไรก็ตาม ต้องไปเทศน์โปรดพ่อแม่ตัวเองก่อน ๑ กัณฑ์ ถึงจะอนุญาตให้สึกได้ ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็ได้เทศน์กัณฑ์แรกในชีวิตงานนั้นนั่นเอง เนื่องเพราะว่าได้รับมอบหมายให้เป็นพระพี่เลี้ยงนำพระใหม่ไปเทศน์ที่บ้าน แต่พอพระใหม่ขึ้นธรรมาสน์แล้วก็ไปนั่งสั่นอยู่ข้างบน เทศน์ไม่ออก ญาติโยมคงจะทนรำคาญไม่ไหว ก็เลยนิมนต์พระพี่เลี้ยงเทศน์แทน..! กระผม/อาตมภาพเองก็เพิ่งจะได้พรรษาเดียว ตอนนั้นก็เพิ่งจะเรียนแค่นักธรรมชั้นนวกภูมิและชั้นตรี จึงต้องอาศัยปฏิภาณในการเทศน์ ว่าไปจนกระทั่งจบ จำได้ว่าในยุคนั้นที่ออกกิจนิมนต์แล้ว มักจะได้เงิน ๒๐ บาทเป็นหลัก ก็ถือว่าจำนวนมากที่สุดแล้ว แต่ว่าการเทศน์กัณฑ์แรกในชีวิตได้กัณฑ์เทศน์มา ๗๐๐ บาท..! ที่จำได้แม่นเพราะว่า เป็นการเทศน์ที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาเลย..! วิชาต่อไปก็คือธรรมวิภาคและคิหิปฏิบัติ เป็นการเรียนหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เขาสรุปหัวข้อลงมาเป็นหมวด ๆ ตั้งแต่ทุกะ (หมวด ๒) ก็คือหลักธรรมที่มี ๒ หัวข้อ เช่น หิริ -โอตัปปะ ไปจนกระทั่งถึงโสฬสกะ (หลักธรรมที่มี ๑๖ หัวข้อ) อย่างเช่นว่า มละ ๑๖ ก็คือมลทิน ๑๖ อย่าง ไล่ตั้งแต่ มายา สาเถยยะ ไปเรื่อย ซึ่งสมัยนี้พวกท่านเรียนกันไม่ถึง ต้องบอกว่าความจำแย่ลง กระทั่งหมวดที่เกิน ๕ หัวข้อ ตอนนี้ก็แทบจะไม่ออกข้อสอบกันแล้ว ไม่ต้องไปพูดถึงธุดงควัตร ๑๓ หรือ จรณะ ๑๕ มลทิน ๑๖ อะไรเหล่านั้น อีกส่วนหนึ่งนั้น สำหรับบุคคลที่จะสึกหาลาเพศไปโดยเฉพาะ เรียกว่า "คิหิปฏิบัติ" เป็นหลักธรรมที่จะเอาไปใช้งานในชีวิตฆราวาส อย่างเช่นว่าต้องรู้จักเว้นจาก อบายมุข ๔ หรือ อบายมุข ๖ ต้องรู้จักในการคบมิตร เพราะมีการบอกชัดว่า มิตรแท้ ๔ ประเภท มีอะไรบ้าง ? มิตรเทียม ๔ ประเภทที่ควรละเว้นมีอะไรบ้าง ? หรือว่าการปฏิบัติต่อทิศทั้ง ๖ ตั้งแต่สมณชีพราหมณ์ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ เหล่านี้เป็นต้น ถ้าหากว่าบวชอยู่ต่อไปก็จะได้นำไปสั่งสอนญาติโยมให้ปฏิบัติได้ถูกต้อง ถ้าสึกหาลาเพศไปก็จะได้เอาไปปฏิบัติเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2025 เมื่อ 01:42 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
แต่ถ้าหากว่าขึ้นไปเป็นนักธรรมชั้นโท หลักธรรมก็จะยากขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ถ้าเป็นนักธรรมชั้นเอกนั้น ต้องแตกฉานแล้วเกี่ยวกับการศึกษาธรรมะ เขาเรียกว่าวิชาธรรมวิจารณ์ ก็คือต้องอธิบายขยายหัวข้อบาลีได้ อย่างเช่นเขาตั้งหัวข้อมาว่า "เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ จิตฺตํ ราชรถูปมํ ฯ" เป็นต้น แปลความว่า "สูเจ้าทั้งหลายจงมาดูโลกนี้ ซึ่งตระการประดุจราชรถ ที่คนเขลาทั้งหลายหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาได้ข้องเกี่ยวไม่" เราต้องอธิบายได้ว่าโลกนี้คืออะไร ? ทำไมเปรียบประดุจราชรถ ? คนเขลาคือใคร ? ผู้รู้คือใคร ? สิ่งที่ควรประพฤติปฏิบัติอย่างแท้จริงคืออะไร ? เหล่านี้เป็นต้น
วิชาต่อไปคือพุทธประวัติและศาสนพิธี เราจะศึกษาเกี่ยวกับความเป็นมาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่ ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ตลอดจนกระทั่งการที่ออกบวชแสวงหาธรรม เมื่อตรัสรู้แล้ว ทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่พระประยูรญาติอย่างไร ? บำเพ็ญประโยชน์ส่วนตนอย่างไร ? และบำเพ็ญประโยชน์ต่อโลกอย่างไร ? เป็นการยืนยันว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น มีตัวตนอย่างแท้จริง ในสมัยที่กระผม/อาตมภาพเรียน เขาให้เรียนย้อนหลังไปเป็นแสน ๆ ปี ตั้งแต่การตั้งวงศ์ของพระเจ้าโอกกากราชเป็นต้นมา จนกระทั่งไปจบที่การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓ รุ่นของพวกท่านก็เรียนไม่ถึงอีก..! ถ้าหากว่าเป็นนักธรรมชั้นโท ก็เรียนเกี่ยวกับพระมหาสาวก ๘๐ รูป (อสีติมหาสาวก) มี พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร เหล่านี้เป็นต้น ถ้าหากว่าเป็นนักธรรมชั้นเอก ก็เรียนเกี่ยวกับเตรสสาวิกา (ภิกษุณีผู้ใหญ่ ๑๓ รูป) มีตั้งแต่ พระนางปชาบดีโคตมีเถรี เป็นต้น ส่วนศาสนพิธีนั้น เรียนก็เพื่อให้พวกเรารู้ว่า เราจะต้องประพฤติปฏิบัติอย่างไร ถึงถูกต้องตามประเพณีที่ได้ยึดถือกันสืบ ๆ มา โดยเฉพาะถ้าสึกหาลาเพศไป ก็สามารถจะเป็นมัคคนายก นำผู้อื่นในเรื่องของศาสนพิธีต่าง ๆ ได้ ถ้าอยู่ต่อไปก็สามารถให้คำแนะนำในสิ่งที่ถูกต้องแก่ญาติโยมทั้งหลายได้ โดยเฉพาะในส่วนของศาสนพิธีจะมีอยู่ ๔ หมวดก็คือ ศึกษาเกี่ยวกับกุศลพิธี การสร้างบุญให้ตัวเอง อย่างเช่นการที่เรารักษาศีล ๘
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2025 เมื่อ 01:46 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
ทานพิธี เกี่ยวกับการถวายทานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทานเฉพาะตน หรือว่าสังฆทาน
บุญพิธี เกี่ยวกับการทำบุญต่าง ๆ ทั้งบุญในงานมงคลและอวมงคล และหมวดเบ็ดเตล็ด อย่างเช่นการปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ เป็นต้น วิชาสุดท้ายก็คือพระวินัยบัญญัติ ปัจจุบันนี้เรียกสั้น ๆ ว่าวิชาวินัย คือศึกษาเกี่ยวกับศีลพระ ซึ่งวัดท่าขนุนนั้น กระผม/อาตมภาพกำหนดให้เป็นวิชาแรกที่เราต้องเรียนกัน เพื่อที่พระภิกษุสามเณรจะได้รู้ว่า ศีลของตนเองนั้นมีอะไรบ้าง ? จะได้ประพฤติปฏิบัติได้ถูกต้อง ถ้าเป็นนักธรรมชั้นโท ก็จะเรียนศีลนอกพระปาฏิโมกข์ ที่เรียกว่าอภิสมาจาร ถ้าเป็นนักธรรมชั้นเอก ก็จะเรียนเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งเจ้าอาวาสหรือพระอุปัชฌาย์อาจารย์ต้องศึกษา อย่างเช่นเกี่ยวกับสีมาต่าง ๆ ในการบวช เป็นต้น สรุปง่าย ๆ ว่า หลักสูตรนักธรรมชั้นตรีสำหรับบุคคลผู้ใหม่ ก็คือบวชตั้งแต่ ๑ ถึง ๕ พรรษา หลักสูตรนักธรรมชั้นโท สำหรับผู้ที่จะเป็นอาจารย์พี่เลี้ยงหรือคู่สวด ตั้งแต่ ๕ ถึง ๑๐ พรรษา หลักสูตรนักธรรมชั้นเอก สำหรับเจ้าอาวาส หรือพระอุปัชฌาย์อาจารย์ เราจะเห็นว่าทางด้านคณะสงฆ์ได้วางหลักการศึกษาเอาไว้เป็นลำดับ ๆ อยู่แล้ว เพียงแต่พวกท่านเรียนแล้วก็มักจะไม่ได้พิจารณา สักแต่ว่ารู้ไปเฉย ๆ ไม่สามารถอธิบายได้ว่าแต่ละขั้นตอนเรียนไปเพื่ออะไร ? แล้วยิ่งปัจจุบันก็เรียนน้อยลงไปเรื่อย ๆ แม้แต่ธรรมศึกษาของฆราวาสที่จะสอบ ก่อนหน้านี้ก็สอบรวดเดียวจบ สมัยนี้มีการแบ่งออกเป็นชั้น ๆ อย่างเช่นว่าธรรมศึกษาตรีชั้นประถม ธรรมศึกษาตรีชั้นมัธยม ธรรมศึกษาตรีชั้นอุดม ซึ่งทั้ง ๓ ชั้นสมัยก่อนสอบรวดเดียว สมัยนี้ลดลงมาแบ่งเป็น ๓ ช่วงชั้น แทนที่จะสอบปีเดียวจบเหมือนก่อนหน้านี้ ก็กลายเป็นต้องสอบถึง ๓ ปี ดังนั้น..เราจะเห็นว่า แม้เทคโนโลยีจะดีเลิศขนาดไหนก็ตาม แต่ปัญญาในการจดจำของคนนั้นสั้นลงไปทุกปี เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าปฏิบัติสมาธิน้อยลง เมื่อจิตไม่สงบ ไม่ตั้งมั่น การศึกษาจดจำต่าง ๆ จึงไม่ชัดเจน หลงลืมได้ง่าย จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลาย พอทราบสาเหตุแล้วว่าบกพร่องตรงไหน ? ก็ต้องเน้นแก้ตรงนั้นให้มากขึ้น ไม่ใช่รักษาศีลอย่างเดียว แต่ท่านทั้งหลายต้องเน้นสมาธิภาวนา อย่างน้อย ๆ จะได้สัมผัสถึงว่า หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สร้างความอัศจรรย์และก่อประโยชน์ชัดเจนแก่เราอย่างไรบ้าง ? และท้ายที่สุด สมาธิที่ยังเป็นเครื่องช่วยเสริมปัญญา ให้มีความแหลมคม แก่กล้า เด็ดขาด สามารถตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานอีกด้วย สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2025 เมื่อ 01:50 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|