กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนเมษายน ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 26-04-2025, 17:40
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 500
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 24,997 ครั้ง ใน 988 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๘



แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : 26-04-2025 เมื่อ 17:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 27-04-2025, 00:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,283 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ต้องบอกว่า "บุญพาวาสนาช่วย" เนื่องเพราะว่าท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมวัชรธีราจารย์, ศ., ดร. (สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ, ป.ธ. ๙) องค์อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยนั้น ท่านมีภารกิจมาก จึงเปลี่ยนกำหนดการมามอบวุฒิบัตรผู้ผ่านโครงการ Upskills การสอนวิชาศาสนาเปรียบเทียบในวันนี้

กระผม/อาตมภาพจึงต้องทำหน้าด้าน ๆ เข้าไปกราบเรียนท่านว่า จำเป็นจะต้องเดินทางกลับ เพราะว่าวัดท่าขนุนนั้นเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิของเดือนนี้ ซึ่งถ้าหากว่ามีเรื่องจำเป็นก็ไม่มีปัญหาอะไร พระผู้ใหญ่ที่ท่านมีภารกิจมาก ก็ย่อมเข้าใจดีว่าเวลานั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง แทบจะต้องหั่นกันเป็นชิ้น ๆ มาใช้งานในแต่ละวัน ท่านจึงอนุญาตให้เดินทางกลับได้

แต่ว่าเส้นทางสายปากช่อง - หนองแค ลงกรุงเทพฯ นั้น นอกจากรถทั่วไปมากเป็นปกติแล้ว บรรดารถใหญ่ไม่ว่าจะรถบรรทุก ๑๘ ล้อ ๒๒ ล้อ หรือว่ารถพ่วง รถหัวลากเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่วิ่งตามใจฉัน ก็คือเลนไหนไปได้กูก็ไปเลนนั้น..! ไม่ได้สนใจว่ารถหนักจะต้องวิ่งซ้าย ทำให้รถคันอื่นพลอยติดไปหมดทั้งถนน ต้องค่อย ๆ คลานตามกันไป กระผม/อาตมภาพจึงต้องหาเวลามาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เพื่อ "เล่าความหลัง" ต่อจากเมื่อวานนี้กันต่อไป

เมื่อวานได้กล่าวถึงเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ โรคสำคัญของผู้หญิงอีกโรคหนึ่งนั้นเป็นธรรมชาติ แต่ถือว่าเป็นโรคเหมือนกัน ก็คือการตั้งท้องและคลอดลูก ก็จำเป็นจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญมาช่วยเหลือในการคลอด ที่เรียกกันว่า "หมอตำแย" หมอตำแยที่มีฝีมือดี ๆ นั้นมักจะโดนจองตัวกันข้ามปี และหนึ่งในนั้นก็คือโยมแม่ของกระผม/อาตมภาพเอง เพราะว่าโยมแม่มีลูกมาก คลอดลูกจนชำนาญ สามารถทำหน้าที่หมอตำแยได้เลย..!

กระผม/อาตมภาพเองนั้น โยมแม่ก็ไปคลอดที่กลางทาง เนื่องเพราะว่าเดินทางไปแลกข้าวที่บ้านสระ ซึ่งเป็นหมู่บ้านลาวโซ่ง ขากลับปวดท้อง คลอดกระผม/อาตมภาพที่กลางทาง จัดการตัดสายสะดือ ห่อตัวด้วยผ้า แล้วก็ใส่หาบ หาบกลับมาพร้อมกับข้าวเปลือกนั่นแหละ..! จะว่าไปแล้วกระผม/อาตมภาพน่าจะเป็นคนรวย เกิดบนกองทรัพย์สมบัติเหมือนกัน เพราะว่าในสมัยโบราณนั้น เขาถือข้าวเปลือกเป็นทรัพย์สินสำคัญอย่างยิ่งชนิดหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-04-2025 เมื่อ 04:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 27-04-2025, 00:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,283 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แล้วฝีมือที่โยมแม่มีอยู่ ซึ่งกระผม/อาตมภาพทำไม่ได้เลย ก็คือการโกนหัวเด็กอ่อนด้วยมีดโกน มีดโกนสมัยก่อนเป็นมีดโกนที่ตัวมีดและด้ามมีดเป็นชิ้นเดียวกัน ต้องใช้ลับกับแผ่นหนัง แล้วค่อยใช้โกนศีรษะ กระผม/อาตมภาพขนาดใช้ใบมีดโกนซึ่งมีตัวกันบาดในสมัยปัจจุบันนี้ เมื่อโกนหัวตัวเองก็ยังบาดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน..! แต่ว่าโยมแม่ซึ่งโกนหัวเด็กอ่อน ที่กระหม่อมยังเต้นตุบ ๆ เพราะว่าแผ่นกระดูกยังปิดไม่มิด กลับมือเบาชนิดที่โกนได้โดยที่ไม่มีบาดแผลอะไรเลย..!

อีกอย่างหนึ่งก็คือโยมแม่เจาะหูเด็กเก่งมาก สมัยก่อนจะมีการเอาเข็มเย็บผ้านี่แหละ เสียบเอาไว้ในขิงแก่ ๆ ทิ้งไว้สักชั่วโมง ๒ ชั่วโมง เพื่อให้ฆ่าเชื้อก่อน จากนั้นก็ร้อยด้ายแดงเพื่อทำการเจาะหูเด็ก โยมแม่มือเบาแล้วก็ว่องไวมาก ทำให้เจาะหูเด็กได้ โดยที่เด็กบางทีไม่ทันรู้ตัว บางคนก็รู้สึกเจ็บแปลบเดียว ไม่ทันคิดจะร้องไห้เสียด้วยซ้ำไป..!

เมื่อเจาะผ่านไปแล้วก็ตัดด้ายแดงนั้น แล้วก็ผูกเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้รอยเจาะนั้นตัน แล้วก็ต้องจับขยับอยู่ทุกวัน เพื่อที่จะไม่ให้รอยเจาะนั้นติดกลับเข้าไปเป็นเนื้อเดียวกันอีก สมัยก่อนเด็กคนไหนเจาะหูเพื่อนก็จะรู้ เพราะว่าจะมีด้ายแดงร้อยแล้วผูกเป็นวงเอาไว้

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บรรดาผู้หญิงท้อง ส่วนใหญ่เมื่อได้หมอตำแยที่มีความสามารถพิเศษ ก็จะคลอดลูกได้อย่างปลอดภัย และมีการแนะนำให้ "อยู่ไฟ" แนะนำให้กินอาหารที่ทำให้มีน้ำนมมาก ลูก ๆ จะได้มีนมพอกิน เพราะว่าสมัยก่อนนั้นเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว มายุคหลัง ๆ เริ่มมีนมผงกระป๋องตราหมีขึ้นมา ทำให้แม่ส่วนหนึ่งหันไปเลี้ยงลูกด้วยนมกระป๋องแทน เด็ก ๆ รุ่นหลัง ๆ ก็เลยโตมาด้วยนมวัว

อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ก็เลยมีนิสัยดื้อของวัวของควายติดมาด้วย..! ไม่เหมือนกับเด็กสมัยก่อนที่ร้อยละ ๙๙.๙๙ มักจะเชื่อฟังพ่อแม่ครูบาอาจารย์ แต่เด็กรุ่นหลัง ๆ ที่โตมาด้วยนมวัว เอานิสัยวัวควายมาใช้หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ? ก็เลยทำให้ดื้อด้านกันนักหนา ตีกันจนไม้หักก็ยังไม่ค่อยที่จะกลัวเกรง..!

ในเมื่อมีการเลี้ยงเด็กด้วยนม ก็จะต้องกินอาหารร้อน เพื่อที่จะไม่ให้นมหยุดไหล ก็จะมีการแกงเลียงใส่พริกไทยเยอะ ๆ หรือไม่ก็ต้มข่าไก่ เหล่านั้นเป็นต้น แล้วการอยู่ไฟก็ต้องอยู่ในห้องที่ปิดทึบ ไม่ให้ลมเข้า ต้องอบต้องย่างอยู่บนเตาไฟ เพื่อที่ไม่ให้กระทบกับความเย็น ซึ่งการกระทบความเย็นนั้นเป็นโรคที่รักษายากสุด ๆ กระทบร้อนแค่กินยาแก้ร้อนในก็หายแล้ว แต่กระทบเย็น บางทีรักษากันเป็นเดือนเป็นปีก็ไม่หาย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-04-2025 เมื่อ 04:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 27-04-2025, 00:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,283 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เนื่องเพราะว่ามีการอยู่ไฟจึงทำให้คนโบราณนั้นแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บแฝงอยู่ สามารถมีลูกได้นับสิบ ๆ คน แต่ว่าคนรุ่นใหม่ไม่ได้อยู่ไฟ ร่างกายไม่แข็งแรง เพราะไม่มีความเข้าใจในเรื่องของธาตุในร่างกายคน เมื่อสูญเสียเลือดไปมากในการคลอด ก็คือธาตุไฟบกพร่อง ต้องหาทางเสริม หาทางบำรุง จนกว่าธาตุจะสมบูรณ์ แต่คนรุ่นหลังไม่ได้สนใจตรงนี้ ไม่รู้ว่าอะไรที่ช่วยเสริมธาตุไฟ อะไรที่ช่วยลดทอนธาตุอื่น จึงทำให้มีโรคภัยไข้เจ็บแฝงอยู่ในร่างกาย ทำให้ไม่แข็งแรงเหมือนคนโบราณ

อีกโรคหนึ่งนั้นไม่ได้เกี่ยวกับผู้หญิง แต่ว่าผู้หญิงอาจจะเดือดร้อนไม่รู้ตัว ก็คือโรคผู้ชายที่ไปซุกซนมา สมัยนั้นมีโรคที่น่ากลัวอยู่สองโรค ก็คือโรคที่เรียกว่า "หนองใน" ภาษาของทางด้านหมอเรียกว่า "โกโนเรีย" แล้วอีกโรคหนึ่งซึ่งถ้าหากว่าเป็นแล้ว ถึงขนาดปากแหว่ง เพดานโหว่ อวัยวะเพศเน่าหลุดไปเลยก็มี เขาเรียกว่า "โรคซิฟิลิส" แต่ชาวบ้านเรียกง่าย ๆ ว่า"โรคผู้หญิง" ภาษาจีนแต้จิ๋วเรียกว่า "จาโบ้วฮวง"

โรคนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ได้ยินแต่คำเล่าลือเท่านั้น เพราะว่าไม่เคยไปเที่ยวซุกซนแบบนั้น ก็คือถ้าหากว่าเป็นโรคหนองในนั้น ถึงเวลาปัสสาวะแต่ละที ถึงกับต้องเอาหัวโขกข้างฝา..! เพราะว่าท่อปัสสาวะอักเสบไปหมด ปัสสาวะไม่ค่อยจะออก เนื่องจากโรคกินอยู่ข้างใน กลายเป็นหนองข้น ๆ ไหลออกมาแทน บุคคลที่ท่อปัสสาวะอักเสบคงจะนึกออกว่า อาการเจ็บปวดที่เหนือขึ้นไปจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือท่อปัสสาวะอักเสบหลายเท่านั้น รสชาติเป็นอย่างไร ? บางคนถึงขนาด "น้ำตาลูกผู้ชาย" ไหลรินทุกครั้งที่ต้องปัสสาวะ..!

ส่วนในเรื่องของโรคผู้หญิง หรือซิฟิลิสนั้น ถึงขนาดเชื้อโรคกินให้ปากแหว่ง เพดานโหว่ แม้กระทั่งตอนที่กระผม/อาตมภาพเป็นทหารแล้ว โรคนี้ก็ยังระบาดอยู่ มีเพื่อนฝูงที่เป็น ถึงเวลาปัสสาวะออกมาทีหนึ่งก็ออกได้ ๒ ช่องทาง ๓ ช่องทาง เพราะว่าเชื้อโรคกินจนอวัยวะเพศทะลุเป็นรูหลายรู บางคนก็ถึงขนาดเน่าหลุดไปทั้งยวงเลยก็มี..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-04-2025 เมื่อ 04:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 27-04-2025, 00:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,283 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วิธีรักษาก็มีแต่ "ตำรายาผีบอก" ซึ่งจะต้องต้มด้วยลูกยอสุกผสมกับสมุนไพรอื่น ๆ ใส่ตัวยาต่าง ๆ กันทีหนึ่งก็เป็นปีบ ถึงเวลาต้มก็ส่งกลิ่นเหม็นไป ๘ บ้าน ๑๐ บ้าน..! ทำให้ทุกคนรู้ว่าไอ้บ้านนี้แหละมีคนป่วยเป็นโรคผู้หญิง ซึ่งความจริงน่าจะเรียกว่าโรคผู้ชายมากกว่า แล้วถ้าหากว่าใครมีเมียอยู่ก็เอามาให้เมียเดือดร้อนด้วย เพราะว่าอวัยวะผู้หญิงนั้น สลับซับซ้อนกว่าผู้ชายหลายเท่า ทำให้ถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยแล้ว รักษายากกว่าผู้ชายอย่างชนิดที่แทบจะฆ่าผัวตายไปเลย..!

สถานที่ซุกซนในสมัยกระผม/อาตมภาพเด็ก ๆ นั้น อยู่ที่หลัง "โรงกระดานพงศ์เสรี" ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า "ซ่องหลังโรงกระดาน" กระผม/อาตมภาพก็ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้ว่าสถานที่นั้นเป็นอย่างไร แต่สงสารเจ้าของโรงกระดานซึ่งเป็นเถ้าแก่ใหญ่ขายไม้ ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจอะไรด้วย แต่ซ่องดันไปตั้งอยู่หลังโรงกระดาน เพราะว่าโรงกระดานเป็นอาคารใหญ่โตมโหฬาร มีสังกะสีตีปิดมิดชิด ๓ ด้าน ยกเว้นด้านหน้า ซึ่งเป็นหน้าถังปิดเปิดแบบประตูพับ เปิดให้รถสิบล้อเข้าออก เพื่อขนไม้ไปส่งลูกค้าได้ ในเมื่อด้านหลังปิดมิดชิดและใหญ่โตมาก จึงทำให้พวกผู้ชาย "หน้าบาง" สามารถที่อาศัยลัดเลาะหลบหลีกสายตาคนอื่นเพื่อไปเข้าซ่องได้..!

และที่อัศจรรย์ที่สุดก็คือสถานที่บริเวณนั้น ซึ่งห่างจากบ้านของกระผม/อาตมภาพประมาณ ๑๐ กิโลเมตร จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังเหมือนกับเป็นอาถรรพ์ของดงคนบาปหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ? ทั้งที่รอบข้างเจริญรุ่งเรืองกันหมดแล้ว แต่ที่นั่นยังหาความเจริญไม่ได้มาจนทุกวันนี้ เป็นเพราะว่าคนรังเกียจหรือว่าต้องอาถรรพ์จริง ๆ ก็ไม่อาจที่จะกล่าวได้เต็มปากเต็มคำนัก..!

รู้แต่ว่าสมัยนั้น พอเริ่มเป็นหนุ่มขึ้นมาก็จะต้องไปหาทาง "ขึ้นครู" กัน แต่การ
"ขึ้นครู" ในที่นี้อาจจะมีโรคภัยไข้เจ็บแถมมาด้วย กระผม/อาตมภาพเองก็ได้ยินผู้ใหญ่พูดถึงในสภากาแฟ ในเรื่องของการ "ขึ้นครู" และสารพัดวิธีการ ซึ่งพูดกันแบบไม่ยั้งปาก เด็ก ๆ แม้ว่าจะอายแสนอายแต่ก็เงี่ยหูฟัง เพราะว่าส่วนหนึ่งก็สนุกสนาน ส่วนหนึ่งก็เป็นประสบการณ์ เผื่อว่าตนเองต้องไป "ขึ้นครู" บ้าง แต่จนแล้วจนรอดมาจนอายุ ๖๐ กว่าปี กระผม/อาตมภาพก็ยังไม่เคย "ขึ้นครู" ดูสักที..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-04-2025 เมื่อ 04:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 27-04-2025, 00:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,283 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โดยเฉพาะในช่วงที่เป็นทหารแล้วไปอยู่ชายแดน เพื่อน ๆ พอถึงเวลาก็ชวนกันไปเที่ยวซ่อง จะมีการขนกันไปทีหนึ่งเป็นรถยีเอ็มซี ๒๐ - ๓๐ นาย แต่พอไปต้องไปนอกเวลา เนื่องเพราะว่าถ้าไปตามเวลา เขาจะหากินไม่ได้ เวลาที่ไปก็มักจะหลังเที่ยง ก็คือหลังอาหารมื้อกลางวันแล้ว

พอไปถึงกลับเป็นเวลานอนพักผ่อนของบรรดา "คุณตัว" ทั้งหลาย ในเมื่อถึงเวลา บรรดา "แม่เล้า" หรือว่า "แมงดา" ตามคำเรียกของคนสมัยนั้น ไปตบประตูเรียกคุณเธอทั้งหลายออกมา แต่ละคนซึ่งไม่ได้อยู่ในเวลารับแขก ก็ไม่ได้แต่งเนื้อแต่งตัว แถมยังล้างหน้าล้างตาจนสะอาดก่อนนอน

ในเมื่อไม่มีเครื่องสำอางคอยปกปิด แถมยังผมเผ้าเป็นกระเซิง นุ่งกระโจมอกเดินออกมา กระผม/อาตมภาพเห็นแต่ละคนเป็นซากศพไปหมด..! อารมณ์คึกคักต่าง ๆ หดหายไปเกลี้ยง เพื่อนฝูงถามว่า "มึงจะไม่เลือกเลยหรือวะ ?" กระผม/อาตมภาพก็บอกว่า "เชิญพวกมึงตามสบาย กูจะนั่งรออยู่ที่นี่" ถึงเวลาก็เดินทางกลับหน่วยแบบเฉา ๆ โดยเฉพาะอารมณ์เหล่านั้นค้างอยู่ในใจไปหลายต่อหลายวัน ไม่ทราบเหมือนกันว่าเวทนาสงสารคุณเธอเหล่านั้น หรือว่าจะเวทนาสงสารตัวเอง..!

แต่ว่าอารมณ์ใจเหล่านั้นทำให้สามารถฝึกกรรมฐานได้ง่ายขึ้น ก็ถือว่าเธอทั้งหลายเหล่านั้นมีบุญคุณอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือทำให้เห็นภาพคนเป็นซากศพติดตา ถึงเวลาเกิดต้องการที่จะไประบายอารมณ์กับใคร ก็รู้สึกนึกถึงภาพนั้นขึ้นมา ทำให้หมดอารมณ์ไปทุกที จนกระทั่งบัดนี้คงจะไม่มีโอกาสไป
"ขึ้นครู" กับใครอีกแล้ว

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-04-2025 เมื่อ 04:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:24



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว