#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๗
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ บรรดาวัดสาขาเขานัดกันไว้หรือเปล่า ? เพราะว่าทอดกฐินพร้อม ๆ กัน ก็คือถ้ามีโอกาสก็ให้คุยกันก่อนว่า ใครจะทอดก่อนทอดหลัง ไปทอดพร้อมกัน ถ้าศรัทธาญาติโยมคณะเดียวกัน ย่อมไม่สามารถจะแบ่งภาคได้ เพราะว่าไปช่วยได้แค่ที่เดียวเท่านั้นเอง
สำหรับวันนี้ บางเรื่องที่อยากจะพูดถึงเกี่ยวกับกฐินและส่วนอื่น ๆ ก็มีอยู่ อย่างเช่นที่มีผู้รู้มากเกินไป ท่านบอกว่าการทอดกฐินในปัจจุบันทำให้ตกนรก เนื่องเพราะว่ากฐินมีแค่ผ้าไตรจีวรเท่านั้น แต่นี่เรากลับเอาเงินทองไปยัดเยียดให้พระภิกษุสงฆ์เสียมากมาย เป็นการสนับสนุนให้ท่านละเมิดศีลข้อห้ามจับต้องเงินทอง ฟังดูก็เหมือนกับใช่ เพียงแต่ว่าเราอย่าเสียเวลาไปเถียงกับเขา ในสมัยก่อนนั้น เรื่องของเงินทองเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ในสมัยปัจจุบันนี้กลายเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้น..ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายดูในโกสิยวรรค นิสสัคคีย์ปาจิตตีย์กัณฑ์ ท่านก็จะเห็นว่า "ภิกษุรับเงินหรือทอง หรือสิ่งของที่ใช้แทนเงินทอง ต้องอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์" ข้อต่อไปก็ยังระบุไว้ชัดว่า "ภิกษุรับเองหรือใช้ผู้อื่นรับแทน ก็ต้องอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์" ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเราจะทำอย่างไรกัน ? กระผม/อาตมภาพมีเพื่อนที่เป็นพระธรรมยุต ไม่จับต้องเงินทอง ไปไหนถ้าญาติโยมไม่มารับจะลำบากมาก เนื่องเพราะว่าต้องหาโยมหรือสามเณรติดตามไป เพื่อช่วยจ่ายค่ารถค่าอาหารให้ เนื่องจากว่าสามเณรไม่มีศีลห้ามรับเงินทองเหมือนกับพระ แล้วก็ไปเจอดีที่ว่าสามเณรชวนพระไปเยี่ยมบ้าน นั่งรถจากวัดใหญ่ในกรุงเทพฯ ไปภาคอีสาน ด้วยความเคยชินว่าเป็นบ้านตนเอง พอไปถึงสามเณรที่นั่งด้านหน้ารถก็ลงเลย แต่ไม่ได้บอกหลวงพี่ของตัวเองที่อยู่ท้ายรถให้ลงด้วย ท่านก็เลยติดรถเตลิดเปิดเปิงไปถึงขนส่งจังหวัดนั้น นอกจากย่ามติดตัวที่ใส่ของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ แล้ว เงินสักบาทก็ไม่มี..! ท่านเล่าให้กระผม/อาตมภาพฟังว่า "หลวงพี่เอ๊ย..กว่าจะบิณฑบาตตั๋วรถกลับได้นี่อายจนหัวหูแดงไปหมด เพราะมีแต่คนมองว่าผมไปหลอกเอาเงินเขา..!" ก็แปลว่าพระธรรมยุตรูปหนึ่งจะเดินทาง ก็ต้องมีฆราวาสหรือสามเณรติดตามไป ๑ ต่อ ๑ เป็นอย่างน้อย เพราะว่าท่านไม่สามารถที่จะจับต้องเงินทองได้ แล้วใครจะว่างตามไปได้ทุกครั้ง ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2024 เมื่อ 11:10 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
แล้วศีลพระก็ระบุไว้ชัดว่ารับเองก็ดี ใช้ผู้อื่นรับแทนก็ดี โดนอาบัติเหมือนกัน สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกรงว่าพระเณรของเราจะสะสมเงินเพื่อรวย สมัยยุคแรก ๆ เขาใช้การสะสมผ้าไตรจีวร เพราะว่าบางทีเศรษฐีที่ท่านรวย ๆ ก็ถวายผ้าทีหนึ่ง ๔ คู่บ้าง ๘ คู่บ้าง คำว่าคู่ในที่นี้ก็คือตามแบบของคนอินเดียโบราณ ว่าจะต้องเป็นผ้านุ่งผืนหนึ่ง ผ้าห่มผืนหนึ่ง
ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านให้ใช้แค่ผ้าไตรจีวร ส่วนเกินมาก็ดูแลลำบาก เพราะว่าต้องทำวิกัปเป็นสองเจ้าของเป็นอย่างน้อย หรือไม่ก็ต้องสละไปเลย ก็เลยมีพระภิกษุที่เอาผ้าไปขายให้ฆราวาส เพราะว่าบางทีผ้าที่เศรษฐีเขาถวายมาราคาแพงมาก ตนเองก็เอาไปขายสักครึ่งราคา เป็นต้น เราจะเห็นว่าไม่ว่าตั้งแต่ยุคพุทธกาลหรือว่าปัจจุบัน บุคคลประเภทนี้จะมีตลอด เนื่องเพราะว่าขาดความละอายชั่วกลัวบาป ไม่รักศีลของตนเอง จากที่กระผม/อาตมภาพไปอยู่กับหลวงปู่มหาอำพัน ท่านเจ้าคุณพระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน อาภรโณ บุญ-หลง) ที่วัดเทพศิรินทราวาส เพื่อช่วยดูแลตอนที่ท่านเจ็บไข้ได้ป่วย ได้ช่วยดูแลท่านถึง ๔ ปี เห็นสิ่งที่พระท่านทำแล้วก็ยังรู้สึกปลื้มใจ ก็คือเมื่อมีโยมถวายปัจจัย จะให้ถวายเป็นใบปวารณา ส่วนปัจจัยก็จะให้ไวยาวัจกรเก็บไปแล้วลงบัญชีไว้ให้เรียบร้อย ทุกเย็นจะนำส่งธนาคาร ได้กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า "ทำไมถึงต้องส่งธนาคารทุกเย็นครับ ?" ท่านบอกว่า "ถ้าไม่ส่ง เดี๋ยวพวกที่มีความโลภขึ้นมา เห็นหลวงตาแก่อยู่กุฏิคนเดียว จะบีบคอตายแหงเพื่อที่จะเอาเงินไปนะสิ..!" แล้วท่านก็เห็นว่าเมื่อไม่นานนี้ มีข่าวท่านเจ้าคุณรองเจ้าคณะจังหวัดแห่งหนึ่งโดนขโมยงัดกุฏิ เฉพาะเงินสดได้ไป ๓ แสนบาท เพียงแต่ว่าเป็นเงินที่ท่านจะเอาไว้จ่ายให้กับช่างที่ก่อสร้าง ถ้าอย่างนี้คดีน่าจะทำง่าย เพราะว่าก็คงจะมีแต่ท่านเจ้าคุณและเจ้าหน้าที่ธนาคารกับช่างเท่านั้น ที่จะรู้ว่าจะจ่ายเงินกันเมื่อไร..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2024 เมื่อ 11:13 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
ในเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าป้องกันไม่ให้พวกเราโลภ ตอนที่อยู่วัดเทพศิรินทราวาส พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (นิรนฺตรมหาเถร) ท่านใช้วิธีตั้งตู้เอาไว้ ถ้าหากว่าใครได้รับเงินทองมา ก็ให้หย่อนลงตู้ส่วนกลางไป ถึงเวลามีความจำเป็นอะไรที่จะต้องใช้ ก็ไปแจ้งกับท่าน ท่านก็จะให้เจ้าหน้าที่วัดเบิกจ่ายไปให้ พูดง่าย ๆ ว่าอาจจะหยอดไป ๒๐ บาท แต่เบิกไป ๑,๐๐๐ บาท ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะถือว่าเป็นเงินกองกลาง มีเอาไว้สำหรับพระภิกษุสามเณรในวัดอยู่แล้ว ถ้าลักษณะอย่างนั้นก็ไม่ใช่ของตัวเอง และก็ไม่ใช่ให้คนอื่นรับแทน ท่านสามารถที่จะป้องกันอาบัติตรงนี้ได้
คราวนี้ถ้าหากว่าเป็นพวกเราก็อยู่ในลักษณะที่ว่าทนหน้าด้านใช้เงินไป แม้ว่ามีร้านอาหารบางแห่ง เฉพาะกาญจนบุรีนี่กระผม/อาตมภาพก็เจอหลายที่ ก็คือเมื่อพระสงฆ์เข้าไปฉันอาหาร ท่านจะถวาย กระผม/อาตมภาพตอนแรกก็ไม่รู้ พาพระไปรวม ๕ รูป ตั้งใจจะจ่ายเงินเองจึงสั่งเสียเต็มที่เลย ปรากฏว่าพอให้เก็บเงิน โยมบอกว่าถวาย แล้วยังบอกว่าถ้างวดหน้าผ่านมาอีกให้แวะ เขาจะถวายอีก ตั้งแต่บัดนั้นมาก็ไม่ต้องเจอกันอีกเลย..! สมัยที่เรียนอยู่วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ก็แบบนั้น ร้านค้าหน้าวัดไร่ขิงมีประมาณ ๒๐๐ กว่า ๆ ทุกร้านพระเณรฉันฟรี ถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? เขาบอกว่าเขามีอยู่มีกินทุกวันนี้ได้เพราะหลวงพ่อวัดไร่ขิง เพราะฉะนั้น..ถ้าเป็นพระเณรเขายินดีถวายให้อยู่แล้ว จนกระผม/อาตมภาพต้องตกลงกับทางร้านค้าว่า "ถ้าโยมถวาย อาตมภาพไม่เข้าร้าน" เนื่องเพราะว่าพอมีเงินจ่าย ไม่อยากจะไปเบียดเบียนญาติโยม ท้ายสุดก็ตกลงกันที่ว่า เข้าไปฉันแล้วจ่ายครั้งละ ๑๐ บาท ก็คือโยมจะได้ไม่ต้องขาดทุนมาก แล้วเราเองก็ได้จ่ายบ้าง เรื่องของศีลพระของเรา ไม่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตั้งไว้เข้มงวดแค่ไหนก็ตาม รักษาได้เฉพาะผู้ที่ละอายชั่วกลัวบาปเท่านั้น ก็พอ ๆ กับรัฐธรรมนูญปี ๒๕๖๐ บ้านเรา คุณจะเขียนไว้ป้องกันคนโกงขนาดไหน ถ้าหากว่าคนที่ไม่ละอายใจก็โกงจนได้ จึงเป็นเรื่องของพระอุปัชฌาย์อาจารย์หรือว่าเจ้าอาวาส ที่จะต้องขัดเกลาพระสงฆ์ภายในวัดของตนเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2024 เมื่อ 11:16 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
อย่างปัจจุบันนี้เขามีการซื้อหวยกันเป็นปกติ กระผม/อาตมภาพก็ได้รับการชวนให้ซื้อหวย ล่าสุดก็ในงานที่ไปตรวจประเมินโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ที่จังหวัดสมุทรสาคร พอจอดรถ แม่ค้าหวยก็เดินเร่เข้ามา จนกระทั่งต้องบอกว่า "ซื้อไม่ได้ เพราะว่าเจ้าอาวาสที่วัดดุ ถ้าซื้อหวยให้รู้ ท่านไล่ออกจากวัดเลย..!"
ส่วนใหญ่แล้วญาติโยมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพระซื้อหวยแล้วต้องโดนไล่ออกจากวัดด้วย ? ก็คือบอกให้รู้เห็นอย่างชัดเจนว่าจิตใจของเราเต็มไปด้วยความโลภ ถ้ายังอยากหวังรวยแบบนั้นก็อย่าบวชเข้ามาเลย เพราะสร้างความมัวหมองให้กับพระพุทธศาสนาเสียเปล่า ๆ แต่พระอุปัชฌาย์อาจารย์ปัจจุบันนี้ก็ไม่ค่อยจะทำหน้าที่ของตน โดยเฉพาะพระอุปัชฌาย์กว่าที่จะสอบผ่าน เจอไป ๔ - ๕ ด่านเป็นอย่างน้อย ตอนสอบตอบตามตำราเป๊ะทุกอย่าง แต่พอรับตราตั้งพระอุปัชฌาย์ไปแล้ว อาจจะมีแหกคอกไปทำคนละอย่าง ก็คือบางท่านถึงขนาดเดินสายรับบวช พูดง่าย ๆ ว่าปั๊มเงินอย่างเดียว ไม่ได้คิดที่จะดูแลลูกศิษย์ที่ตัวเองบวชให้ดีเลย พวกเราจึงต้องรักษาตัวกันเอง มีอำนาจหน้าที่ในขอบเขตบริเวณไหน ก็ทำหน้าที่ของเราตรงนั้นให้ดีที่สุด ส่วนอื่นก็แล้วแต่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงกว่าที่ท่านมีหน้าที่จะควบคุม ถ้าทุกวัดแค่ดูแลวัดของตนเองให้ดี เรื่องเลวร้ายต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้นน้อยมาก หรือไม่เกิดอีกเลย ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าอาวาสแต่ละรูปว่า จะเห็นแก่ตนเองหรือเห็นแก่ส่วนรวม ถ้าเห็นแก่ส่วนรวมก็ยังพอมีความหวัง แต่ถ้าเห็นแก่ตนเอง พระพุทธศาสนาของเราก็คงจะไปไม่รอด..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2024 เมื่อ 11:17 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|