#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๗
|
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ ต้องขออภัยต่อทุกท่านเป็นอย่างสูง ที่เสียงธรรมจากวัดท่าขนุนวันนี้มาช้า เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพต้องไปเป็นประธาน ในงานรดน้ำศพเจ๊เกี๊ยว (นางนฤณี สมบูรณ์) ซึ่งเป็นกรรมการวัดท่าขนุน มาแต่ดั้งแต่เดิมตั้งแต่สมัยหลวงปู่สาย (พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน รูปที่ ๓ อดีตเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ) ท่านอาจารย์สมเด็จ (พระอธิการสมเด็จ วราสโย อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน รูปที่ ๔) ท่านอาจารย์สมพงษ์ (พระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโต อดีตเจ้าคณะตำบลท่าขนุน เขต ๑ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน รูปที่ ๕) มาจนถึงรุ่นของกระผม/อาตมภาพนี้
โดยเฉพาะเจ๊เกี๊ยวนั้นพูดจีนแคะ ซึ่งกระผม/อาตมภาพเองก็มีเชื้อสายจีนแคะเช่นกัน จึงมีความสัมพันธ์กันหลายชั้นหลายเชิงมาก เจ๊เกี๊ยวก็เพิ่งจะใส่บาตรกระผม/อาตมภาพไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง ปรากฏว่ามาเสียชีวิตเสียแล้ว หลังจากนั้นก็ต้องเดินทางไปร่วมพิธีเปิดงานเทศกาลผลไม้ สืบสานลานบ้านลานวัฒนธรรม ของดีอำเภอทองผาภูมิ ซึ่งเมื่อไปถึงก็ได้ยินพิธีกรกล่าวถึงบรรดาสิ่งของทางวัฒนธรรมต่าง ๆ ซึ่งเหล่าชาติพันธุ์ได้นำมาจัดแสดงและจำหน่าย โดยที่กล่าวถึงอาหารชนิดหนึ่งคือ "กระบองจ่อ" โดยที่บอกว่า "ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมคนไทยเรียกว่ากระบองจ่อ ?" กระผม/อาตมภาพจึงต้องขอไมโครโฟนมาจากโฆษก พร้อมกับอธิบายว่าคำนี้มาจากภาษาพม่าคือ "งะบูจ่อ" งะ คือ ปลา ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นปลาเล็กปลาน้อยชุบแป้งทอด บู คือ น้ำเต้า แต่ว่าเป็นน้ำเต้าแบบทรงแตงโม ไม่ใช่น้ำเต้าแบบทรงน้ำเต้าจีน ซึ่งทางคนพม่านิยมนำมาหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วชุบแป้งทอด คำว่า จ่อ คือ การทอด นั่นเอง คำนี้จึงมาจากคำว่า "งะบูจ่อ" แปลว่า "ปลาและน้ำเต้าชุบแป้งทอด" แต่คนไทยฟังไม่ถนัด ก็เรียกง่าย ๆ สบายลิ้นว่า "กระบองจ่อ" แต่ว่าเมื่ออยู่ในพิธีและ ร้อยโททศพล ไชยโกมินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ประธานในพิธีก็มาถึงแล้ว ทางด้านโฆษกก็ยังคงบรรยายไม่เลิกถึงเรื่องของบ้านปิล็อก โดยมีคำขวัญของอำเภอทองผาภูมิที่ว่า "พุน้ำร้อนหินดาด ตลาดอีต่อง โบอ่องเจดีย์ ราชินีปูไทย เพลินใจแควน้อย เกินร้อยภูผา งามสุดตาเขื่อนวชิราลงกรณ" แล้วกล่าวถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ของอำเภอทองผาภูมิ ไปจบลงที่เหมืองแร่บ้านปิล็อก โดยที่กล่าวว่า "ได้ยินว่าคำว่า "ปิล็อก" นั้นมาจากคำว่า "ผีหลอก" ในภาษาไทย แต่ทำไมถึงกลายเป็นปิล็อกไปได้ก็ไม่ทราบ ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 07-04-2025 เมื่อ 19:30 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ผู้รู้อย่างกระผม/อาตมภาพไม่สามารถที่จะปลีกตัวไปอธิบายได้ จึงขออธิบายในที่นี้เลยว่า คำว่า "บ้านผีหลอก" หรือ "บ้านปิล็อก" นั้น เนื่องจากว่ามีกะเหรี่ยงครอบครัวหนึ่ง ในเวลาค่ำเมียโดนงูกัด ผู้เป็นผัวจึงวิ่งฝ่าป่าฝ่าดงเพื่อออกไปยังถนน เพื่อหารถที่จะนำเมียไปโรงพยาบาล เนื่องเพราะว่าบ้านปิล็อกนั้น อยู่บนเขาห่างจากทองผาภูมิถึง ๗๐ กิโลเมตร..!
แต่ว่าเคราะห์ร้ายเหลือเกิน ผู้เป็นผัวชาวกะเหรี่ยงไปโดนเสือกัดตาย แต่ด้วยความที่จิตมุ่งมั่นว่าจะต้องหารถเพื่อรับเมียไปโรงพยาบาล ดังนั้น..เมื่อเห็นรถผ่านมา ก็มักจะออกมาโบกมือขอความช่วยเหลือ เมื่อโดนเข้าหลาย ๆ คนเขาเลยเรียกตรงนั้นว่า "บ้านผีหลอก"..! แต่ด้วยความที่มีชาวมอญ - พม่ามาอยู่แถวนั้นมาก ออกเสียงคำว่า "บ้านผีหลอก" ไม่ถนัดตามแบบไทย จึงเรียกกลายเป็น "บ้านปิล็อก" มาจนทุกวันนี้ เรื่องของชื่อบ้านนามเมืองหรือว่าประวัติศาสตร์ชุมชนเหล่านี้ ถ้าหากว่าไม่กล่าวหรือว่าเล่าขานเอาไว้ นานไปผู้คนก็มักจะลืมเสียหมด แล้วโฆษกก็ส่งลูกให้กับพิธีกรบนเวที ซึ่งพิธีกรทั้งสองคนก็ใช้วิธีตะเบ็งเสียงใส่ไมค์ฯ กระผม/อาตมภาพก็ไม่ทราบว่าทำไมถึงนิยมในลักษณะแบบนั้น ? โดยเฉพาะมีการเปิดเสียงในลักษณะของการเปิดตัว หรือว่าเน้นในสิ่งสำคัญ เป็นการใช้ลำโพงซับวูฟเฟอร์เปิดซาวด์แทร็ก กระแทกตึง ๆ ๆ ออกมาด้วยเสียงเบส กระผม/อาตมภาพรู้สึกสะเทือนไปทั้งอก หูแทบจะพัง..! สิ่งที่พูดหรือว่าลำโพงที่เปิดเสียงนั้น สามารถที่จะลดเสียงลงไปถึง ๔ ใน ๕ ส่วนได้เลย เสียงก็จะพอดิบพอดี ไม่เป็นที่ทรมานหูและน่าสนใจมากกว่านั้น แต่ว่าในเมื่อเขานิยมกันแบบนั้น กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ทนเอา..! หากแต่ว่าน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ซึ่งไปทำหน้าที่เป็นตากล้องให้กระผม/อาตมภาพนั้น ไม่สามารถที่จะทนเสียงได้ ถึงขนาดต้องเผ่นหนีออกจากเต็นท์หลักที่จัดงานไปเลย บอกว่าสะเทือนแต่ละทีใจจะขาด โดนกระแทกจนรู้สึกเจ็บหัวใจไปหมด ซึ่งบุคคลที่มีความอ่อนไหวต่อเสียงแบบนี้ มีจำนวนมากต่อมากด้วยกัน..! กระผม/อาตมภาพจึงไม่แปลกใจเลยว่า บรรดาผู้ที่นิยมดนตรีแบบเฮวี่เมทัล ในเวลาอายุมากถึงได้หูพังไปตาม ๆ กัน..! กระผม/อาตมภาพนั้นได้เปรียบที่เป็นทหาร คุ้นชินกับเสียงปืนเสียงระเบิดมามาก จนทุกวันนี้ประสาทหูก็ชำรุดไปเกิน ๔๐ - ๕๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว จึงพอที่จะรับเสียงเหล่านี้ได้..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2024 เมื่อ 02:39 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
เมื่อเริ่มพิธี ท่านนายอำเภอชาคริต ตันพิรุฬห์ เป็นผู้กล่าวรายงาน บอกว่าได้มีการจัดงานเทศกาลผลไม้ของดีอำเภอทองผาภูมิเป็นปีที่ ๑๕ แล้ว สิ่งที่น่าภูมิใจก็คือ ทองผาภูมินั้นมีเงาะทองผาภูมิ และทุเรียนทองผาภูมิ ได้รับการบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ว่า เป็นของที่มีเอกลักษณ์แตกต่างจากที่อื่นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะมีรสชาติที่อร่อยมาก ๆ แล้วก็เป็นการกล่าวตอบจากร้อยโททศพล ไชยโกมินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งท่านก็มาเป็นประธานเปิดให้สองปีติดกันแล้ว
ความจริงในตอนแรกนั้น ท่านนายกเหล่ากาชาดจังหวัดกาญจนบุรี ก็คือ รศ. ดร. พญ.เรวิกา ไชยโกมินทร์ นั้น ได้รับเชิญให้ไปเปิดงานกิ่งกาชาดซึ่งเป็นเต็นท์อยู่ใกล้เคียงกัน โดยเปิดพร้อม ๆ กันในเวลาทุ่มครึ่ง แต่โดนทักท้วงว่า ควรที่จะให้เกียรติท่านผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เปิดงานให้เสร็จก่อน แล้วท่านนายกเหล่ากาชาดจึงค่อยไปเปิดงานของกิ่งกาชาดอำเภอทองผาภูมิ เมื่อโดนทักท้วงในลักษณะแบบนี้ ทางผู้จัดงานจึงต้องปรับตารางงานใหม่ เพื่อให้พิธีเปิดทางด้านงานเทศกาลผลไม้สำเร็จเรียบร้อยลงแล้ว หลังจากนั้นจึงเป็นการเปิดงานของทางกิ่งกาชาดอำเภอทองผาภูมิ กระผม/อาตมภาพขอตัวกลับก่อนที่พิธีจะเสร็จ เพราะว่าไม่สามารถที่จะทนเสียงลำโพงดังสนั่นหวั่นไหวจนหูอื้อแบบนั้นได้ โดยวันนี้ทางเอ็นซีทัวร์ นำโดยคุณนวลจันทร์ เพียรธรรม ได้พาคณะมาเพื่อที่จะซื้อหาผลไม้ต่าง ๆ และจะนำคณะไปร่วมงานใส่บาตรวันอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้ด้วย แต่ว่าต้องติดอยู่บนรถตู้เป็นระยะเวลายาวนานทีเดียว เนื่องเพราะว่ามาถึงผิดจังหวะ ไปเจอเอาฝนกระหน่ำลงมาพอดี กระนั้นก็ตาม เมื่อฝนหยุดและลงไปซื้อหาทุเรียนแล้ว บรรดาผู้ร่วมทัวร์ยังมีกำลังใจนำทุเรียนมาถวายให้กระผม/อาตมภาพเสียอีก ซึ่งมีทั้งทุเรียน มีทั้งมังคุด โดยที่กระผม/อาตมภาพเองนั้น ไม่สามารถที่จะฉันทั้งสองอย่างได้ ทุเรียนนั้นพอที่จะฉันได้สักปีละเม็ดเดียว แล้วก็ต้องทนกับอาการความดันขึ้น ปวดหัวไป ๒ วัน ๓ วัน..! ส่วนมังคุดนั้นมีธาตุเย็นสูงมาก ฉันลงไปเมื่อไร มาลาเรียเรื้อรังก็จะกำเริบทันที..! แต่ในเมื่อญาติโยมมีศรัทธา จึงรับเอามา เพื่อที่จะส่งเข้าโรงครัว ให้เป็นลาภปากของพระภิกษุสามเณรและแม่ชีกันต่อไป เมื่อกลับมาถึงวัด ถึงได้เริ่มทำการบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ด้วยความเกรงใจว่าญาติโยมที่รออยู่ ว่าจะขาดการรับฟังไป โดยถือคติที่ว่า "มาช้าดีกว่าไม่มาเสียเลย" สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2024 เมื่อ 02:42 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|