|
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๔ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๔ |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
|||
|
|||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
|
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เผือกน้อย ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ สำหรับพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของทางวัดท่าขนุนของเรา ก็คือจะมีการหล่อพระปางห้ามสมุทรทรงเครื่อง ๒ องค์ ก็คือเนื้อเงินองค์ใหญ่ ความสูง ๑๕๕ เซนติเมตร กับเนื้อทองคำองค์เล็ก ความสูง ๗๒ เซนติเมตร
วันนี้ทางกระผม/อาตมภาพก็เตรียมเม็ดเงินกับทองคำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เพิ่งจะรู้ว่าเด็กสมัยนี้หาความแข็งแรงไม่ได้ เม็ดเงินลังละ ๕๐ กิโลกรัม ยกกันไม่ขึ้น คุณรู้หรือเปล่าว่าสมัยหนุ่ม ๆ มือเดียวผมยกได้ ๖๐ กิโลกรัม..! ตอนนี้ที่เห็นผมยกสองมือ ๕๐ กิโลกรัม กำลังผมเหลือไม่ถึง ๑ ใน ๑๐ ของสมัยนั้น..แปลว่าอะไร ? เรื่องนี้ตอนแรกกระผม/อาตมภาพก็ไม่เข้าใจ แต่คราวนี้พอมาทราบจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้วถึงได้เข้าใจ ท่านบอกว่าเป็น "กำลังบุญ" อย่างเช่นว่า ทำไมพระอานนท์ นางวิสาขามหาอุบาสิกา นางปุณณทาสี มีกำลังเท่ากับช้าง ๗ เชือก ส่วนพระพุทธเจ้ามีกำลังเท่ากับช้างหนึ่งแสนเชือก..! นี่เป็นเรื่องของกำลังบุญ กระผม/อาตมภาพถวายการรับใช้อยู่หน้าห้องหลวงพ่อท่านประมาณ ๖ ปี เกือบ ๗ ปี ก็เห็นท่านป่วยแทบจะประคองตัวไม่อยู่ โน่น...ต้องถามหลวงพี่มหาดำของผม ตอนนี้เป็นท่านเจ้าคุณพระราชสุวรรณเวที วัดสุวรรณคีรี (วัดขี้เหล็ก) ตอนช่วงนั้นก็จะมีมหาวิจิตร มหาดำ มหาชุบ บรรดาพี่ ๆ สามสี่ท่านคอยถวายการรับใช้หลวงพ่ออยู่ ก็คือถ้ามีเรื่องอะไรต้องวิ่งเต้นทางกรุงเทพฯ สามท่านนี้จะเป็นคนวิ่งให้ หลวงพี่มหาดำท่านไปถวายรายงานหลวงพ่อเกี่ยวกับงานที่สั่งไป หลวงพ่อท่านก็ "อ้อ...มาแล้วหรือไอ้ดำ" หลวงพี่ดำก็เข้าไปกราบที่อก หลวงพ่อท่านเอามือตบหัว หลวงพี่ดำก็ลงไปกราบที่เท้า กระผม/อาตมภาพก็ "เออ..พี่กูเคารพหลวงพ่อท่านมากขนาดนี้เลย กราบที่อกแล้วยังลงไปกราบที่เท้าอีก" พอเลิกงานออกมาก็ปรารภกับท่าน หลวงพี่ดำท่านบ่นว่า "ไอ้ห่...กูไม่ได้กราบเท้าป๋า ป๋าตบกบาลทีกูอย่างกับโดนคมแฝก ลงไปกองกับพื้นเลย...!" นั่นแค่เอามือแปะนะ เป็นไปได้หรือว่าคนป่วยไม่มีกำลัง แค่เอามือแปะแค่นั้นเอง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2021 เมื่อ 02:40 |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอก "เฮ้ย...เล็ก วันนี้รู้สึกร่างกายดีว่ะ เอาเครื่องออกกำลังมาสิ" เครื่องนี้เป็นเครื่องออกกำลังในลักษณะเหมือนอย่างกับโยกแล้วถีบคล้าย ๆ กับเรือกรรเชียงแบบนั้น สองฝั่งก็เป็นสปริงตัวประมาณท่อนแขน กระผม/อาตมภาพไปยกมาถวายหลวงพ่อ ท่านก็เข้าประจำที่ โยกออกกำลังตามปกติที่เครื่องทำได้นั่นแหละ ปรากฏว่า ๓-๔ ที เสียงดังผ่าง...! สปริงตัวเท่าแขนขาด หลวงพ่อท่านก็ลุกขึ้นบ่น "ไอ้ของห่วย ๆ อย่างนี้ดันถวายมาให้ใช้งาน" ก็น่าจะบังเอิญใช่ไหม ? ก็เป็นไปได้นะว่าดึง ๆ ไป ของไม่ดีก็ขาดได้..!
คราวนี้ด้วยความที่เวลาพระเดชพระคุณหลวงพ่อกลับจากรับแขก ญาติโยมก็นั่ง ๒ ฝั่ง เอาเงินใส่ย่าม แล้วที่แน่ ๆ ก็คือยื่นหัวให้ท่านเอาไม้เท้าเคาะ ท่านก็ถือไม้เท้าอะลูมิเนียมที่เลื่อนสูงเลื่อนต่ำได้ ธรรมดา ๆ นั่นแหละ ปลายก็หุ้มด้วยยาง (ตอนนี้ไม้เท้าอันนั้นอยู่ที่อาตมา เก็บไว้เป็นที่ระลึก) หลวงพ่อท่านก็เคาะ ๆ ๆ ไล่ไปเรื่อย ยื่นหัวมาก็เคาะให้ทุกคน มีโยมอยู่คนหนึ่งทำหน้าแปลก ๆ เอามือกุมหัว พอหลวงพ่อท่านเดินเลยไป กระผม/อาตมภาพเตรียมตัวจะกวาดทำความสะอาด แล้วก็ถูศาลานวราชบพิตร ถามว่า "โยมเป็นอะไร ?" เขาแบมือให้ดู...เลือดออก หลวงพ่อท่านเคาะด้วยไม้เท้าที่หุ้มยาง เคาะก๊อก ๆ แค่นี้...หัวแตก..! ก็ถึงได้สงสัยว่าหลวงพ่อท่านก็แก่ด้วย ป่วยด้วย กำลังจะทรงตัวยังไม่มี ทำไมแรงท่านดีขนาดนั้น ? ท่านอธิบายว่าเป็นแรงบุญ ท่านบอกว่าสิบล้อวิ่งไม่เต็มสูบ เอาตัวเองยังแทบจะไปไม่ได้ แต่ถ้าชนสามล้อขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น ? ก็คือท่านก็ป่วยเหมือนกับสิบล้อไม่เต็มสูบนั่นแหละ แต่ถ้าปะทะกับสามล้อก็เป็นเรื่อง กระผม/อาตมภาพเพิ่งจะเข้าใจว่าเรื่องของแรงบุญเป็นอย่างไร ทำไมพระอานนท์ต้องแข็งแรง มีกำลังเท่าช้าง ๗ เชือก ? นั่นคือแรงบุญที่สร้างสมมา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2021 เมื่อ 02:43 |
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
พระพุทธเจ้าของเราหนักกว่านั้นอีก เท่ากับช้างหนึ่งแสนเชือก เดินทางวันละ ๑๒๐ โยชน์ ลองเอา ๑๖ คูณดูสิออกมาเท่าไร ? สมัยนี้เหยียบเฟอร์รารี่ยังไปไม่ถึงเลย ...(หัวเราะ)... เดินทางวันละ ๑๒๐ โยชน์ ๑ โยชน์เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร ๑๐ โยชน์ก็เท่ากับ ๑๖๐ กิโลเมตร ๑๐๐ โยชน์ก็ ๑,๖๐๐ กิโลเมตร แล้ว ๑๒๐ โยชน์ ไหวไหม ? ถ้าเหยียบเฟอร์รารี่ชนิดไฟพุ่งยาวเป็นเมตรวันหนึ่งก็คงไปถึงหรอก แต่นั่นเป็นระยะทางปกติที่พระพุทธเจ้าเดินในหนึ่งวัน..ไม่ได้เร่งด้วย
ตรงจุดนี้แหละ ที่ทำให้กระผม/อาตมภาพอ่านแล้วก็งง ๆ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เทศน์โปรดปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ห่างกัน ๒ เดือน ใช่ไหม ? ตรัสรู้เดือน ๖ เทศน์เดือน ๘ แต่พระองค์ท่านเสวยวิมุตติสุขไปแล้ว ๔๙ วัน เหลือกี่วัน ? เหลือ ๑๑ วัน..! แล้ว ๑๑ วัน ทางเดินปัจจุบันถ้าวัดทางรถ จากพุทธคยาไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ๒๓๐ กิโลเมตร คิดว่าพระองค์ท่านเดินครึ่งวันก็คงเดินเลยไปไกลแล้ว แต่พระพุทธเจ้าทำไมต้องใช้เวลาถึง ๑๑ วัน ? เหตุที่ท่านต้องใช้เวลาถึง ๑๑ วัน เพราะว่าต้องคอยหลบหลีกไม่ให้คนเห็นเวลาไป น่าจะเดินทางได้เฉพาะตอนกลางคืนดึก ๆ ด้วย ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? ก็เพราะข่าวที่ว่าสิทธัตถะราชกุมาร ถ้าไม่ออกบวช จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บรรดาพระราชาที่เสวยราชสมบัติอยู่จะคิดอะไรเอ่ย ? ถ้าปล่อยให้สิทธัตถะราชกุมารอยู่ต่อ กูนี่ "ปิ๋ว" แน่นอน มีทางเดียวก็คือเก็บได้ก็เก็บ เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม..! คราวนี้บุคคลที่จะทำอันตรายพระพุทธเจ้าให้ถึงแก่ชีวิตนั้น โดยวิสัยแล้วเป็นไปไม่ได้ แล้วทำไมพระพุทธเจ้าถึงต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ย่องไปอยู่ ๑๑ วันกว่าจะไปถึง ? ก็เพราะว่าถ้าปล่อยให้เขาได้ลงมือก็กรรมหนักกว่าเทวทัตอีก ของเทวทัตนั่นแค่สะเก็ดหินไปโดนพระบาทเท่านั้นก็ลงอเวจีไปแล้ว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2021 เมื่อ 02:46 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
พระองค์ท่านต้องทำอย่างนั้น เพราะความเมตตาสงสารบุคคลที่ไม่รู้ หวังจะกำจัดพระองค์ท่านไม่ให้เสวยราชสมบัติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช รวบรวมทั้งโลกเป็นผืนเดียวกัน ก็เลยต้องใช้ระยะเวลาถึง ๑๑ วัน ทั้ง ๆ ที่วันเดียวก็ไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ?
แล้วทำไมถึงต้องเป็นอย่างนั้น ? เพราะว่าพระพุทธเจ้ามีมหาปุริสลักษณะถึง ๓๒ ประการกับอนุพยัญชนะอีก ๘๐ ประการ ใครเห็นก็จำได้ จึงต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ค่อย ๆ ย่องไป อันนี้ถือว่าเป็นข้อสันนิษฐานหรือว่าเป็นนิทานเล่าสู่กันฟังเฉย ๆ ก็พอ เพราะว่ากระผม/อาตมภาพอ่านหนังสือ ไม่ได้อ่านเหมือนกับญาติโยมทั่วไปหรอก อ่านแล้วขี้สงสัย อย่างเช่นว่า ม้ากัณฐกะพาพระพุทธเจ้าเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ มาอธิษฐานเพศบวชที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ริมฝั่งแม่น้ำอโนมานี่อยู่ในแคว้นมคธของพระเจ้าพิมพิสาร ตรงกลางนี่มีแคว้นโกศลมหึมามโหฬารของพระเจ้าปเสนทิโกศลขวางอยู่ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คือม้ากัณฐกะวิ่งผ่าน ๒ ประเทศ..! ก็คือประเทศโกศลกับประเทศมคธ ส่วนประเทศสักกะที่มีกบิลพัสดุ์เป็นเมืองหลวง เป็นประเทศเล็กนิดเดียว สมัยนี้ก็ประมาณประเทศบรูไน เพราะฉะนั้น..ที่เขาบอกว่าม้ากัณฐกะต้องกลับ เพื่อนำเอาเครื่องทรงของสิทธัตถะราชกุมารไปกราบทูลพระราชบิดา โดยนายฉันนะเป็นคนจูงม้ากัณฐกะกลับ ในบาลีบอกว่าพอลับสายตา ม้ากัณฐกะก็หัวใจสลายล้มตายลง..! กระผม/อาตมภาพคิดว่าไม่น่าจะใช่ เราลองนึกถึงว่าม้าตัวนั้นอายุ ๒๙ ปี เพราะว่าเกิดพร้อมกับเจ้าชายสิทธัตถะ เกิดวันเดียวกัน เป็นสหชาติกัน ม้าอายุ ๒๙ ปีนี่โคตรแก่เลยนะ แล้ววิ่งผ่านไป ๒ ประเทศ ตกลงว่าจะหัวใจสลายตายดี หรือว่าม้าแก่วิ่งจนเกินกำลังแล้วเหนื่อยตายดี ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 20-11-2021 เมื่อ 23:24 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
ถ้าญาติโยมทั้งหลายอ่านหนังสือแบบอาตมาก็ไม่มีความสุขหรอก เพราะว่าขี้สงสัย พอขี้สงสัยแล้วก็ต้องหาคำตอบของตัวเอง โดยอนุมานเอาตามหลักตรรกะทั่วไป ม้าอายุ ๒๙ ปีนี่แก่สุด ๆ วิ่งผ่านไป ๒ ประเทศ ไม่ต้อง ๒ ประเทศหรอก แค่ผ่าน ๒ จังหวัดบ้านเราก็แย่แล้ว ดังนั้น..เหนื่อยตายหรือเปล่า ?
ดังนั้น...ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกให้กระผม/อาตมภาพอ่านพระไตรปิฎกปีละ ๑ จบ จนป่านนี้ยังทำไม่ได้เลย บวชมา ๓๖ ปี อ่านมาได้แค่ ๗-๘ จบเอง แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านอ่านปีละจบ..! เพราะว่าท่านไม่ได้ขี้สงสัยเหมือนอาตมากระมัง ? คือพอสงสัยขึ้นมา อาตมาก็มัวแต่ไปค้นหาคำตอบ ก็แบบเดียวกับธัมมจักกัปปวัตนสูตร ที่พระอัญญาโกณฑัญญะ "มีดวงตาเห็นธรรม" บรรดานักปราชญ์เขาแปลกันว่าได้พระโสดาบัน แต่ว่า..ตั้งแต่พระภูมิเจ้าที่ยันอากาสเทวดา ๖ ชั้น รูปพรหมอีก ๑๕ ชั้น สาธุการกันจนแผ่นดินไหว ไม่กล่าวถึงชั้นอื่นนะ เอาแค่สุทธาวาสพรหม ๕ ชั้น อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐะ ๕ ชั้นนี่เป็น "ว่าที่พระอรหันต์" นะ แค่รอเข้านิพพานอย่างเดียว กำลังใจเท่ากัน เพียงแต่เข้าช้าเข้าเร็วต่างกัน ตามวิสัยของตนที่บำเพ็ญมาเท่านั้น ว่าจะบำเพ็ญมาทางด้านไหน สติ วิริยะ สมาธิ ปัญญา นี่เท่ากับว่า "แคนดิเดตด็อกเตอร์" ก็คือเตรียมจบปริญญาเอกแล้ว แล้วถ้าพระโสดาบันเป็นปริญญาตรีล่ะ ? คุณต้องไปตื่นเต้นกับคนที่จบปริญญาตรีด้วยหรือ ? คุณจะจบปริญญาเอกอยู่แล้ว ที่สาธุการจนกระทั่งแผ่นดินไหวนั้น เป็นไปได้ไหมว่าพระอัญญาโกณฑัญญะที่ได้ดวงตาเห็นธรรมนั้น ท่านบรรลุอรหันต์ไปเลย เพราะฉะนั้น...อ่านหนังสือแล้วอย่าขี้สงสัยเหมือนกระผม/อาตมภาพนะ ไม่มีความสุขเลยจริง ๆ แค่เล่าสู่กันฟังให้ฟุ้งซ่าน..ไม่มีอะไรหรอก เสียเวลาทำวัตรของพวกเราเยอะแล้ว วันนี้พอเท่านี้แหละ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2021 เมื่อ 02:54 |
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|