|
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔ |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๔
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๔
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ ในช่วงเช้ากระผม/อาตมภาพก็รับเทียนพรรษา ก่อนหน้าที่เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ จะระบาด ทางหน่วยราชการ เอกชน ตลอดจนกระทั่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทองผาภูมิ จะนัดกันมาถวายเทียนพรรษาพร้อมกัน แต่พอเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ แพร่ระบาด ก็กลายเป็นต่างคนต่างมา เพราะถ้าหากว่ามาพร้อมกันเป็นจำนวนมาก ก็อาจจะกลายเป็นการชุมนุมผู้คนเกินจำนวนที่ทางพรก.ฉุกเฉินอนุญาตไว้
ขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าชุมนุมกันมาก ก็อาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ได้ ตรงจุดนี้ก็ทำให้ความใกล้ชิด ความสามัคคี หายไปโดยปริยาย กลายเป็นต่างคนต่างมา ในช่วงบ่ายก็ทำการอุปสมบทหมู่เพื่อจำพรรษา ๖ รูปด้วยกัน เรื่องของการบวชนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่บวชแล้วจะอยู่ให้ได้นั้นเป็นเรื่องยากที่สุด ตัวกระผม/อาตมภาพเองเจอมาเต็มที่เลย ขนาดทุ่มเทกับการปฏิบัติอย่างชนิดที่คนรอบข้างว่า "บ้า" มั่นใจตนเองว่าเรื่องสมาธิ สมาบัติ ตลอดจนกระทั่งหลักธรรมต่าง ๆ เราไม่น้อยหน้าใคร บวชเข้าไปใหม่ ๆ ยังอยากจะสึกวันหนึ่งเป็นร้อย ๆ หน..! ก็อย่างที่บอกไปว่า ชีวิตฆราวาสเหมือนกับเอาตัวเรากับเสือไปปล่อยไว้ในป่า บางทีเดินทั้งปีไม่เจอเสือตัวนั้นเลย แต่ชีวิตพระที่โดนตีกรอบด้วยศีล ๒๒๗ ข้อ และอภิสมาจารอีกเป็นร้อย ๆ ข้อ กลายเป็นว่า เขาเอาเสือตัวนั้นยัดอยู่ในกรงแคบ ๆ กับเรา โดนฟัดอยู่ทุกวัน..! ดังนั้น..ถ้าหากว่าไม่มีความอดทนอดกลั้นจริงก็อยู่ยาก บรรดาคนที่ "ตีหัวเข้าบ้าน" ด้วยการบอกว่า "บวชพระสบาย บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ ภาษีไม่ต้องเสีย" ถ้าสบายจริง ทำไมคนไม่มาบวชกัน ? ก็เพราะว่าบวชแล้วอยู่ยากเป็นที่สุด ถึงบวชแล้วอยู่ได้ จะประสบความสำเร็จในการปฏิบัติธรรมก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก ถ้าหากว่าพวกเราอ่านพระไตรปิฎกในมหากัมมวิภังคสูตร แค่เห็นการปฏิบัติทิพจักขุญาณอย่างเดียวก็คงหมดอารมณ์ไปอีก เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า "โยคีบุคคลผู้ตั้งใจปฏิบัติในสมาธิภาวนาเป็นแสนคน จะทรงฌาน ๔ ได้สักคนก็แสนยาก โยคีบุคคลผู้ทรงฌาน ๔ ได้เป็นแสนคน จะทรงทิพจักขุญาณได้สักคนก็แสนยาก" แสนคูณแสน..เข้าไปเท่าไรแล้ว ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2021 เมื่อ 01:55 |
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องของการบวชจึงเป็นของที่ยากมาก อย่างที่บาลีเขาใช้คำว่า "บรรพชาเป็นของหนัก" คนที่จะอยู่ได้จะต้องประกอบไปด้วยเนกขัมมบารมีจริง ๆ ทั้งยังต้องมีความอดทนอดกลั้นอย่างสูงสุดจริง ๆ ถึงได้บอกว่าการบวชนั้นเป็นการทดสอบวุฒิภาวะ
สมัยก่อนเขาให้บวชแล้วค่อยเบียด ก็คือถ้าสามารถอดทนอดกลั้นอยู่ได้จนครบพรรษา แปลว่าวุฒิภาวะของตนมั่นคงพอที่จะไปเป็นผู้นำครอบครัวได้ เมื่อเจอแรงบีบคั้นในขณะที่บวช ซึ่งมีมากมายมหาศาล เมื่อถึงเวลาไปใช้ชีวิตคู่ตอนที่มีครอบครัว เรื่องยากก็กลายเป็นเรื่องง่าย เพราะว่าโดนของที่หนักกว่ามาแล้ว อย่างที่โบราณบอกว่า "ลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ" วันนี้มีผู้ตั้งคำถามมาว่า ในอุทุมพริกสูตรบอกว่า แก่นของการปฏิบัติคือจุตูปปาตญาณ ยังพอที่จะแปลออกไหม ? ก็คือญาณที่รู้การจุติ คือ เคลื่อนไป พูดง่าย ๆ ว่าตาย หรืออุบัติ คือ เกิดขึ้น ก็คือการเกิดของหมู่สัตว์ด้วยทิพจักขุ รู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์นั้นว่าเป็นไปตามกรรม คำถามก็คือ ในอุทุมพริกสูตรระบุว่า หลักธรรมต่าง ๆ มีทั้งเปลือก มีทั้งกระพี้ มีทั้งแก่น ทำไมถึงระบุว่าจุตูปปาตญาณเป็นแก่น ทั้ง ๆ ที่ตัวเข้าถึงจริง ๆ คือ อาสวักขยญาณ การทำกิเลสให้สิ้นไป ? อันนี้ต้องบอกว่าสงสัยพระพุทธเจ้าว่าจะลำดับผิดหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าเราไม่มีความชำนาญในเรื่องญาณทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ ก็น่าสงสัยอยู่ การทำกิเลสให้สิ้นได้น่าจะเป็นแก่น ทำไมถึงไม่ได้เป็น ? ขออ้อมโลกไปถึงอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์...สิ่งที่ต้องทน เกิดมาแล้วเจอทุกคน สมุทัย...สาเหตุที่ทำให้ทุกข์เกิด นิโรธ...การดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง และมรรค...หนทางที่เข้าถึงความดับทุกข์ แค่การเรียง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค คนก็ประสาทรับประทานแล้ว ทำไมไม่เอาสาเหตุขึ้นก่อน แล้วถึงกล่าวถึงทุกข์ที่เกิด ? ทำไมไม่เอาหนทางเข้าถึงความดับขึ้นก่อนแล้วถึงเป็นความดับ ? ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าเรียงตามกำลังใจของเราที่เจอ คนเราส่วนมาก ทุกข์เกิดจากอะไรไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้ทุกข์ฉิบหายเลย..! ในเมื่อทุกข์จนหาทางออกไม่ได้ ต้องหาทางดิ้นรนเพื่อหนีให้พ้นจากความทุกข์นั้น ค่อยไปเจอว่าทุกข์เกิดจากอะไร เมื่อถึงเวลาเปะปะไปเปะปะมา ดับทุกข์นั้นได้โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ โอ๊ย...สบายอย่าบอกใครเลย นิโรธเกิดขึ้น แต่พอคลำไปหลาย ๆ ที เอ...ทำไมถึงทุกข์อยู่เรื่อย ? แล้วนาน ๆ ทุกข์ก็จะดับเสียที ทำอย่างไรเราจะดับทุกข์ให้ได้ดีขึ้น ? ก็ต้องเสาะหาว่าการดับทุกข์ คือนิโรธมาจากไหน ในที่สุดก็เจอว่าเป็นมรรคมีองค์ ๘ ตั้งแต่สัมมาทิฐิไปจนถึงสัมมาสมาธิ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2021 เมื่อ 01:59 |
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
พระพุทธเจ้าทรงเรียงตามกำลังใจของเราที่เกิด ตามกำลังใจของเราที่เป็น จึงเป็น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นิโรธนอนอยู่เฉย ๆ ไม่มีอะไรเลย ความสำคัญอยู่ที่มรรค ๘ คือทำอย่างไรเราจะเดินบนหนทาง ๘ สายนี้เพื่อที่เข้าถึงความดับ ? นิโรธเป็นจุดหมายปลายทางอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย เราก็ต้องมีตั้งแต่สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ ไล่ไปเรื่อยจนถึงสัมมาสมาธิ ต้องทำได้สมบูรณ์พร้อม จึงเข้าถึงนิโรธคือความดับทุกข์อย่างแท้จริง สรุปว่านิโรธไม่ได้ช่วยอะไรเลย แค่อยู่เฉย ๆ
ตรงนี้ก็เหมือนกัน ทำไมจุตูปปาตญาณเป็นแก่น อาสวักขยญาณถึงไม่ใช่แก่น ? เพราะอาสวักขยญาณ เครื่องรู้ที่ทำให้กิเลสสิ้นไป หรือรู้ว่ากิเลสสิ้นไปแล้ว ชาติคือการเกิดจบลงแล้ว พรหมจรรย์ไม่ต้องประพฤติปฏิบัติเพราะมีครบถ้วนแล้ว การเกิดไม่มีสำหรับเราอีกแล้ว เขาเรียกว่า อาสวักขยญาณ เครื่องรู้ในการทำกิเลสให้สิ้นไป อยู่เฉย ๆ เหมือนกัน ไม่ได้ทำอะไรเลย เรียนจบแล้วก็แค่รู้ว่าจบ แต่จุตูปปาตญาณ การรู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ? ตายแล้วจะไปไหน ? แต่ละคนสร้างกรรมอะไรมาถึงเป็นอย่างนี้ ก็จะทำให้คนเราเกิดปัญญาขึ้นมา เกิดความรู้ดีรู้ชั่วขึ้นมาว่า เราเองเวียนว่ายตายเกิดมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว แต่ละชาติก็เจอแต่ความทุกข์แบบนี้ พอทีหรือยัง ? ดังนั้น...จุตูปปาตญาณเป็นตัวสร้างให้เกิดอาสวักขยญาณ จุตูปปาตญาณจึงถูกจัดให้เป็นแก่น อาสวักขยญาณอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไร คนถามก็ถามยาก คนตอบก็เลยต้องตอบยากตามไปด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2021 เมื่อ 02:02 |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
เอาของง่าย ๆ บ้าง มีคนถามว่าพระเนื้อตะกั่วหลังตอกโค้ด ๕ เป็นของวัดท่าขนุนหรือเปล่า ? เห็นมีขายกันอยู่ในเฟซบุ๊กเพียบเลย ต้องบอกว่า "เป็นของวัดท่าขนุนไม่กี่องค์" พระชุดนี้สร้างโดยพระครูไพโรจน์ภัทรคุณ, ดร. เพื่อนของอาตมาเอง ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดสระพัง เจ้าคณะตำบลดอนข่อย จังหวัดนครปฐม ท่านถวายมา ใส่กล่องพลาสติกเล็ก ๆ มา ๓ กล่อง บอกว่า "ถวายอาจารย์เล็กไปแจกลูกศิษย์"
อาตมภาพเองตั้งใจจารหลังไป ๒ รอบ เพื่อมอบให้แก่บุคคลที่ติดตามลงไปทอดกฐินปลดหนี้ที่นราธิวาส เพราะว่าช่วงนั้นเหตุการณ์ปักษ์ใต้ปะทุรุนแรงมาก แล้ววัดที่ไปก็คือวัดรัตนานุภาพ ที่เจ้าอาวาสโดนยิงตายไปพร้อมกับพระลูกวัด เกรงว่าโยมที่ไปด้วย ๘๐ คนจะเกิดอันตราย จึงได้จารหลังด้วยนะโมตาบอดไปครั้งละ ๘๐ องค์ ๒ ปีก็ ๑๖๐ องค์ แล้วก็มีการตอกโค้ดนะโมตาบอดไปอีกจำนวนหนึ่งที่เหลือ ดังนั้น...ถ้าหากมีโค้ด ๕ เฉย ๆ ยังไว้ใจไม่ได้ว่าเป็นของวัดท่าขนุนหรือเปล่า เพราะว่าคนสร้างไม่ใช่อาตมภาพเอง พูดแบบนี้จะทำให้คนอื่นทำมาหากินไม่ได้เสียกระมัง ? แต่คราวนี้คนถามอยากรู้ ก็เลยต้องบอกให้ทราบ แต่ส่วนที่อยากจะเตือนญาติโยมทั้งหลายก็คือ เรื่องของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ย้ำแล้วย้ำอีกว่าจะอยู่กับเรานานกว่าที่คิด ถ้าเป็นไปได้ ก็พยายามระวังป้องกันตนเองอย่างสุดชีวิต เว้นระยะ ใส่หน้ากาก ล้างมือบ่อย ๆ ออกนอกบ้านกลับเข้ามาก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำตัวเป็นคนอนามัยจัด แล้วถ้าหากว่ามีวัคซีนก็รีบฉีด การฉีดวัคซีนไม่ได้ช่วยให้เราไม่ติดเชื้อ แต่ช่วยให้เราตายยากขึ้น เพราะว่าวัคซีนไปสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นในเลือดของเรา แต่เชื้อโรคนั้นลงไปที่คอ ลงไปที่ปอด ไม่ได้ลงไปที่เลือด เพียงแต่เมื่อมีภูมิคุ้มกัน ร่างกายแข็งแรงขึ้น เราก็ตายยากหน่อย พอที่จะมีเวลารักษาให้หายได้ อีกประการหนึ่งก็คือ ในเรื่องของการทำมาหากิน ตอนนี้ต้องอดกลั้น อดทน อดออมทุกประการเลย เพราะถ้าหากว่ายังปล่อยให้รัฐบาลมวยวัดของเราบริหารประเทศชาติต่อไป เราก็คงจะต้องลำบากกว่านี้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ต้องช่วยเหลือตนเอง ด้วยการหยิบจับงานทุกอย่างตรงหน้าขึ้นมาทำ เดี๋ยวจะเหมือนหลานสุดรักของอาตมา น้องกิ๊ฟท์ (อันตรา ลักษณะ) ปกติแล้วก็ทำทัวร์ ตอนนี้ไม่สามารถที่จะทำได้ เพราะเชื้อไวรัสแพร่กระจายรุนแรงมาก นอนกินเงินโครงการเราชนะ โครงการคนละครึ่ง จนกระทั่งท้ายสุดไม่มีจะกิน ก็เลยเปิด "เพจกิ๊ฟท์จังพลังเวทย์" บอกว่าขออนุญาตเอาข้าวของต่าง ๆ ที่หลวงตาเคยให้มาวางขาย ส่วนใหญ่ที่ให้ไป อาตมาจะจารหรือว่าลงลายมือไว้ให้..ให้เป็นรางวัล ปกติน้องกิ๊ฟท์เป็นเด็กเกเร แต่ค่อนข้างที่จะเชื่อหลวงตา พอถึงเวลาเรียนดีก็ให้รางวัล เป็นเด็กคนเดียวในปีนั้นที่สอบวิชาสถิติและงานวิจัยได้ A ของมหาวิทยาลัย แล้วไม่กล้าบอกเพื่อน เพราะว่าเพื่อนทั้งห้องไม่มีใครได้ A เนื่องจากว่าหลวงตาเป็นคนสอนไปเอง ว่าในเรื่องของงานวิจัยต้องทำอย่างไร เราจะเห็นว่าบุคคลที่เคยทำงาน มีเงินมีทองใช้อย่างฟุ่มเฟือย ยังต้องขนเอาทรัพย์สมบัติออกมาขายแล้ว ฉะนั้น...ถ้าใครมีเงินอยู่ควรที่จะยินดีเป็นอย่างยิ่ง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2021 เมื่อ 15:55 |
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
แต่ก็มีอยู่รายหนึ่ง ส่งข่าวมาพร้อมกับหลักฐานใบขึ้นเงินเดือน สวนกระแสชาวบ้านเขาสุด ๆ ระยะนี้เขามีแต่โดนไล่ออก ให้ออก ปลดออก แต่เจ้านายขึ้นเงินเดือนให้ เขาบอกว่าพอดีบูชาวัตถุมงคลจากวัดท่าขนุนไปแล้วปฏิบัติตาม ก็คือภาวนาพระคาถาเงินล้านวันละ ๑๐๘ จบ
ก็ต้องบอกว่าสิ่งที่เขาทำนั้นก็คุ้มกับสิ่งที่เขาได้ เพราะการภาวนาพระคาถาเงินล้านวันละ ๑๐๘ จบ ไม่ใช่เรื่องง่าย ฉะนั้น...ถ้าหากว่าใครลองทำตามดู ต่อให้ไม่เกิดผลขนาดนี้ ถ้าเราทำด้วยความเคารพจริง ๆ ก็ยังสามารถพอที่จะหมุนซ้ายหมุนขวาไปได้ ในขณะที่คนอื่นอาจจะไปไม่รอด อีกรายหนึ่งเป็นผู้ช่วยนายแพทย์ทำการผ่าตัด พกวัตถุมงคลเข้าไป ปรากฏว่าเครื่องมือไม่ทำงาน พอเห็นดังนั้นก็ตั้งใจอาราธนาบารมีพระบอกว่าขอให้เลิกคุ้มกันตอนนี้ชั่วคราว เพื่อที่จะให้ทำงานได้ ก็สามารถทำงานได้ พออาราธนาพระกลับมา เครื่องมือก็ทำงานไม่ได้อีก อย่าไปรู้เลยว่าเป็นรุ่นไหน เดี๋ยวจะไปตามหากัน เพราะว่าของหมดไปแล้ว เขาบอกว่าเขามั่นใจที่สุดว่าวัตถุมงคลวัดท่าขนุนคุ้มครองได้จริง ขนาดคนที่อยู่ในรัศมียังคุ้มได้ อาตมาเองไม่ได้มั่นใจขนาดนี้ ที่อาตมาเองมั่นใจก็คือว่า "เข้าใจ เข้าถึง" อย่างเช่นว่า ถ้าพวกท่านต้องการความเป็นมหาลาภ บูชาเหรียญพญาเต่ามังกรเงินล้านไปจะเป็นรุ่นไหนก็ตาม อย่าลืมว่าบนหลังเต่ามีรูปพระพุทธเจ้าอยู่ ถ้าเราตั้งใจภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ โดยความเข้าใจอย่างแท้จริงว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเป็นผู้สมบูรณ์บริบูรณ์พร้อมในทุกด้านแล้ว จึงสามารถตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณได้ ในเมื่อพระองค์เป็นผู้สมบูรณ์บริบูรณ์พร้อมทุกด้านแล้ว เราซึ่งเป็นผู้บูชาท่าน พระองค์ท่านเข้าพระนิพพานไปแล้ว ไม่ได้ใช้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เราเป็นผู้บูชาท่าน เราก็รับส่วนที่พระองค์ท่านมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์มาใช้แทน อาตมภาพถึงได้บอกว่า เรื่องของวิชาการเรื่องของคาถาอาคมอะไรต่าง ๆ ถ้าเราสามารถเข้าใจ เข้าถึง เราจะใช้ได้ผลมากกว่าคนอื่นเขา ดังนั้น...ถ้าหากว่าใครต้องการจะบูชา "เหรียญเต่าฯ" ยังมีเยอะแยะอยู่ในเว็บวัดท่าขนุน ราคาก็ไม่แพง อย่าไปแย่งเอาของที่ราคาแพงกัน เพียงแต่เวลาภาวนาคาถา ให้เข้าใจอย่างแท้จริงว่า สิ่งที่เราภาวนาไปนั้นคืออะไร แล้วก็จะได้ผลเช่นเดียวกับที่อาตมภาพทำมา วันนี้รบกวนเวลาของพวกเรามากพอแล้ว ก็ขอหยุดลงแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2021 เมื่อ 02:10 |
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|