|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔
ถาม : ผมอยากจะบวชครับ แต่ว่ายังไม่รู้จะบวชที่ไหน?
ตอบ : ไม่รู้จะบวชที่ไหน ? ส่วนใหญ่เขาก็บวชกันในโบสถ์..! ถาม : เมื่อกฐินที่ผ่านมาก็มีโอกาสได้ไปวัดบ้านเด่น ครูบาเทืองท่านก็ชวนบวชอยู่ที่นั่นครับ ? ตอบ : ก็เอาสิ..ชอบที่ไหนก็ว่าตรงนั้นเลย สำคัญที่ว่าจริตนิสัยเราชอบอย่างไร ? ถ้าหากว่าชอบความสงบความเงียบ ก็หาวัดที่เป็นป่าหน่อย ถ้าหากว่าอยู่นิ่งไม่ได้ ต้องการมีกิจกรรมเยอะ ๆ ก็ดูวัดที่อยู่ในเมืองหน่อย แต่ถ้าจะบวชทั้งที ก็ควรจะทำให้ได้บุญได้กุศลมากที่สุด ดังนั้นก็ตัดสินใจเลือกเอาเลย หลับหูหลับตาเลือกเอาสักวัดหนึ่ง เอาวัดป่าธรรมยุติก็ได้ สะใจดี พอบิณฑบาตฉันเสร็จก็ภาวนายันสว่างไปเลย ถาม : พอดีไปมาหลายวัดเหมือนกันครับ ยังไม่แน่ใจว่าจะบวชที่ไหน ? ตอบ : เขาเรียกว่าหลายใจ สถานที่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ ต่อให้สถานที่ดีขนาดไหน ผู้นำดีขนาดไหน ก็จะต้องมีแรงกระทบ เพราะว่าบุคคลที่อยู่ในนั้น ไม่ใช่ว่าจะบรรลุมรรคผลกันหมด แล้วส่วนใหญ่นักปฏิบัติช่วงแรก ๆ จะอยู่ในลักษณะเก็บกดอารมณ์ ถ้าเราไปสะกิดผิดที่ เดี๋ยวเขาก็ระเบิดใส่หน้าเรา แล้วเราก็จะมาผิดหวังว่า เอ..สถานที่ที่ดีขนาดนี้ ทำไมคนถึงได้เฮงซวยแท้ ? ฉะนั้น..สำคัญอยู่ที่ใจเราทั้งหมด ถ้าหากว่าเราตั้งหน้าตั้งตาภาวนา ไม่ไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับใคร มีวัตรปฏิบัติอะไรทำของเราไป ทุกอย่างก็จบ ไม่อย่างนั้นเลือกวัดให้ตายก็เจอแรงกระทบจนได้ ถาม : แล้วในส่วนของครูบาอาจารย์เล่าครับ ? ตอบ : ครูบาอาจารย์ช่วยอะไรเราไม่ได้หรอก เพราะท่านได้แต่บอก การปฏิบัติอยู่ที่เรา ถาม : แล้วเรื่องที่ต้องดูให้ตรงจริตเรา ควรจะดูอย่างไรครับ ? ตอบ : จริตนิสัยการปฏิบัติอยู่ที่กองกรรมฐาน ไม่ได้อยู่ที่สถานที่ จริตนิสัยเราเป็นอย่างไร ก็เลือกหากรรมฐานที่ถูกกับจริตแล้วก็ทำไป ทั้งหมดอยู่ที่เรา ไม่ได้อยู่ที่ใครหรอก ถาม : ถ้าเลือกสถานที่ก็ต้องเลือกครูบาอาจารย์ด้วยครับ ? ตอบ : ครูบาอาจารย์เป็นแค่ส่วนหนึ่ง ส่วนใหญ่มาถึงระดับนี้เราศึกษามาจนล้นเกินแล้ว รอเวลาย่อยสลายมาเป็นสมบัติของเราเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็ท้องอืดอยู่นั่นแหละ ไม่ได้ย่อยเสียที อย่าไปตั้งความหวังกับบุคคลอื่น เราต้องฝากชีวิตไว้กับความสามารถตัวเอง ไม่อย่างนั้นก็เสียเวลาเปล่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-11-2011 เมื่อ 15:05 |
สมาชิก 270 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "การตั้งราชทินนามของพระครูหรือเจ้าคุณ เขาจะมีหลักเกณฑ์อิงความรู้ อย่างเช่นว่าได้เปรียญธรรม ๔ ประโยคขึ้นไปเป็นพระครูศรี เขาจะขึ้นด้วยคำว่าศรี ถ้าหากว่า ๙ ประโยคก็เป็นเจ้าคุณศรี เช่น พระศรีศาสนวงศ์ หรือไม่ก็จะเป็นเจ้าคุณเมธี เช่น พระเมธีปริยัติวิบูล
อิงความรู้ อิงชื่อตัว อิงฉายา อิงสถานที่ อย่างหลวงปู่สายก็เป็นพระครูสุวรรณเสลาภรณ์ สุวรรณเสลาก็คือผาทอง เขาอิงสถานที่คือทองผาภูมิ คราวนี้อาตมากับพระครูปลัดบูรพาส่งไปพร้อมกัน ปรากฏว่าพระครูสุธรรมกาญจนาภรณ์ไปอยู่ที่ชื่อพระครูปลัดบูรพา ส่วนพระครูวิลาศกาญจนธรรมมาหล่นอยู่ที่อาตมา อาตมาก็อ้าว..วิลาศมาจากไหน ชื่อไม่อิงอะไรเลย จริง ๆ แล้วถ้าตามฉายาต้องขึ้นด้วยสุธรรม ก็เลยกลายเป็นว่า ถ้าหากว่าผิดแล้วก็ผิดยาวไปเลย ก็แล้วแต่ท่านจะโปรด อาตมากลัวว่าชื่อเก่าจะหายไปจากโลก ก็เลยรีบไปตั้งกองทุน ไปถวายปัจจัยเข้ามูลนิธิหลวงปู่สมเด็จวัดสามพระยา (มูลนิธิสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์) ท่านตั้งเป็นมูลนิธิสำหรับนักเรียนบาลี อาตมาก็ไปตั้งกองทุนพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญไว้ ก่อนหน้านั้นจะไปตั้งกองทุนก็ไม่กล้าไป เพราะถ้าไปก่อนหน้านี้ พวกปากหอยปากปูจะหาว่าซื้อตำแหน่ง ผู้ใหญ่จะเสียด้วย จึงต้องรอจนป่านนี้ การจะทำอะไรต้องรอบคอบมาก ผู้ใหญ่ท่านไม่คิด เราไม่คิด แต่พวกปากหอยปากปูมีเยอะ อาตมาจึงต้องรอจนกระทั่งมั่นใจว่าได้แน่แล้วค่อยไป"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 10-11-2011 เมื่อ 05:18 |
สมาชิก 242 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
"เรื่องของการปฏิบัติตน ถ้าอยู่ในยุทธจักร อย่างน้อย ๆ ก็ต้องระวัง ตัวเราไม่กลัวเสียหรอก กลัวเสียหายถึงผู้ใหญ่ สมัยพระอาจารย์สมพงษ์เป็นเจ้าอาวาสก็เหมือนกัน ตอนนั้นอาจารย์สมพงษ์เพิ่งจะ ๗ พรรษา หลวงพ่อพระธรรมคุณาภรณ์ (ไพบูลย์ กตปุญฺโญ) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีสมัยนั้น ท่านเห็นว่าตำแหน่งเจ้าคณะตำบลท่าขนุนว่าง ก็ถามอาตมาว่า "แกจะเอาหรือเปล่า ?"
อาตมากราบเรียนว่า "ไม่เอาครับหลวงพ่อ ผมช่วยงานหลวงพ่อเงียบ ๆ ไม่ต้องเอาตำแหน่งอย่างนี้จะดีกว่า" ท่านก็ถามต่ออีกว่า "แล้วแกเห็นว่าใครเหมาะสม ?" อาตมาก็เลยบอกว่า "เอาอย่างนี้สิครับ พระอาจารย์สมพงษ์ วัดท่าขนุน ดูว่าท่านทำอะไรเข้มแข็งดี สมควรที่จะเป็นเจ้าคณะตำบลได้" ปรากฏว่าอีกไม่กี่วันตำแหน่งหล่นพรวดลงมาจริง ๆ อาจารย์สมพงษ์ก็งงว่าตัวเองได้ได้มาอย่างไร เพราะเพิ่งจะ ๗ พรรษา ยังไม่ทันจะครบ ๑๐ เลย ปกติ ๖ พรรษาเขาถึงให้เป็นเจ้าอาวาสได้ นี่ ๗ พรรษาเป็นเจ้าคณะตำบลไปแล้ว คราวนี้เขาลือกันกระหึ่มทั้งจังหวัดเลย ว่าแม่ชีชื่นเอาเงินไปทุ่มซื้อตำแหน่งให้เจ้าอาวาส อาจารย์สมพงษ์ก็โดนข้อหาซื้อตำแหน่งไปด้วย จนท่านมาบอกว่า "อาจารย์ช่วยไปแก้ข่าวให้ผมที" อาตมาก็บอกว่า "ผมไม่ไปแก้ให้เสียเวลาหรอก คนเขาปักใจแล้วถึงพูดอย่างนั้น แก้ไปก็เหนื่อยเปล่า.."
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 10-11-2011 เมื่อ 05:21 |
สมาชิก 243 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
"บางสิ่งบางอย่างก็ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจของคน อย่างบริษัทหนึ่ง มีพนักงานของบริษัทในเครือเยอะมาก เขาก็สละตัวอาคารหลังหนึ่ง ๕๐๐ ยูนิตให้พนักงานพักหนีน้ำ ปรากฏว่าบริษัทในเครือบริษัทหนึ่งบอกว่า ใครมีบ้านแล้วน้ำไม่ท่วม ให้ไปอยู่บ้าน เพราะว่าห้องไม่พอสำหรับพนักงานทั้งหมดของทุกสาขาในบริษัท
บางสาขามา ๓ คน แต่เอา ๒ ห้อง เขาก็บอกลดเป็นห้องเดียวได้ไหม ? จะได้แบ่งให้คนอื่นเขาได้ ปรากฏว่าโดนประท้วง ถูกประท้วงว่าทำไมต้องเป็นเขาที่เสียสละด้วย ทำไมคนอื่นไม่เสียสละให้เขาบ้าง นี่คือการมองคนละแง่กัน สำหรับเขาถ้าได้ต้องเอา แต่ในขณะที่พวกเราต้องให้คนอื่นเขาก่อน ก็เลยกลายเป็นว่า กำลังใจที่ไม่เท่ากัน ทำให้อยู่ด้วยกันยาก อาตมาชื่นชมประเทศญี่ปุ่น พอเกิดสึนามิขึ้นมา คนที่มีกำลังก็เข้าแถวซื้อของด้วยตนเอง ส่วนคนที่ไม่มีกำลังซื้อก็รอของแจก แล้วเวลาซื้อของเขาก็ไม่ได้ซื้อแบบเรา เมื่อเช้ามืดอาตมาทำพาวเวอร์พ็อยต์เกี่ยวกับมหาอุทกภัย ๒๕๕๔ มีภาพหนึ่งที่ประทับใจมากเลย ชั้นวางของในห้างสรรพสินค้าว่างโล่ง มี ๒ คน เข็นรถเข็นยืนมองว่าเหลืออะไรบ้าง คนญี่ปุ่นที่มีความสามารถยังซื้อหาได้ เขาจะซื้อด้วยตัวเอง แต่เขาก็ซื้อแค่พอใช้ อย่างสมมติว่าซื้อน้ำดื่ม ๑ โหล เขาไม่ได้กวาดไปหมด แต่คนไทยเราที่อยู่ข้างหน้ากวาดไปเกลี้ยง คนข้างหลังได้แต่มองตาปริบ ๆ คนญี่ปุ่นที่เขาลำบากเดือดร้อน ถึงเวลาเขาก็ยังเข้าแถวรับของแจกอย่างเป็นระเบียบ ขนาดมีพ่อค้าขายราเมงคนหนึ่ง เขาอุตส่าห์วิ่งรถข้ามมาตั้งหลายจังหวัด พอมาถึงก็ตั้งเตาปรุงตรงนั้นเลย แล้วก็แจก คนก็ยังเข้าแถวรับกันอย่างเป็นระเบียบ เขาบอกว่า รู้ว่าผู้ประสบภัยเดือดร้อนกันทุกคนแหละ โดยเฉพาะลักษณะอากาศหนาวอย่างนี้ อยากจะให้เขาได้กินอะไรร้อน ๆ บ้าง อุตส่าห์รีบไปทำแจกให้ถึงที่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-11-2011 เมื่อ 17:43 |
สมาชิก 251 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
"แต่บ้านเราไม่ใช่อย่างนั้น บ้านเรามักจะแย่งกัน ส่วนใหญ่อยู่ในลักษณะของความเป็นตัวตนมีมาก คือต้องตัวกูของกูก่อน ของที่พวกเราเอาไปแจกมีมากมาย อย่างวันอาทิตย์ที่ไปนี่ พวกเราจะไปแจกด้วยตัวเอง ถ้าไม่ทำอย่างนั้นแล้ว พอเราลงไปแจก ผู้ที่เป็นหัวหน้ามารับ ไม่ว่าจะเป็น อบต. หรือว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน เขาจะให้พวกของเขาก่อน ให้ญาติพี่น้องของเขาก่อน
จนกระทั่งประเภทไม่มีปัญญาจะแบกแล้ว เขาถึงให้คนอื่น บางแห่งคนไปรับถ้าไม่ใส่เสื้อแดงก็ไม่ได้ของแจก อันนี้เป็นเรื่องจริงเลย แล้วภาพที่ปรากฏออกมาที่น่าสลดใจที่สุดก็คือ ถุงยังชีพลอยน้ำฟ่องเลย ก็เพราะว่าเขากั๊กไว้ให้พรรคพวกเขา แต่พวกมารับไม่ทัน ภาพถึงได้ออกมาประจานอย่างนั้น เห็นแล้วน่าจะให้ไปเกิดใหม่ เพื่อไปสร้างบารมีในการสละให้คนอื่นเยอะ ๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นมีเท่าไรก็ไม่พอหรอก..! คราวนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าสถานการณ์อย่างนี้ต้องทำอย่างไร ? ต้องเสียสละ ในหลวงท่านบอกว่า "เสียสละ" นั้นให้ยาก เพราะเรารู้สึกว่าตัวเองเสีย ดังนั้นให้ตัดคำว่า "เสีย" ออกไป เป็น "สละ" เราจะให้ง่ายกว่า แต่ถ้าตัด ส.เสือทิ้งไปอีกตัว เหลือแต่คำว่า "ละ" นี่เราให้ได้ทันทีเลย ในหลวงทรงวินิจฉัยเองเลยนะ เสียสละ สละ ละ วาง ว่าง จบ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-11-2011 เมื่อ 17:45 |
สมาชิก 254 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ทรงงานแทบจะไม่ได้พักผ่อน ท่านทำทุกวิถีทางที่จะช่วยให้ชาวบ้านเดือดร้อนน้อยที่สุด แต่ปีนี้อยู่ในลักษณะผีซ้ำด้ำพลอย เพราะว่าปีก่อนแล้งจัด เขื่อนแต่ละแห่งแทบจะไม่มีมีน้ำเหลืออยู่เลย พอฝนต้นปีมาเขาเลยกักน้ำไว้เต็มที่ ใครจะไปนึกว่าปลายปีฝนจะถล่มยาวขนาดนั้น พอน้ำกำลังจะเกินปริมาตรที่เขื่อนจะรับได้ ก็ต้องรีบปล่อย กลายเป็นว่าปล่อยช้าเกินไป ถ้าภาษาของพวกชาวเขื่อนเขาเรียกว่า "ทำการพร่องน้ำช้าไป"
ถ้าหากรู้ก่อนว่าน้ำจะมาปลายปีมากขนาดนี้ ก็จะปล่อยทิ้งตั้งแต่ต้นปี แล้วจะไม่เดือดร้อนหนักขนาดนี้ คราวนี้เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เป็นเขื่อนมหึมาทั้งคู่เลย แล้วยังมีเขื่อนขุนด่านปราการชล เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ปล่อยกันมา ๔-๕ เขื่อนพร้อม ๆ กันแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ? ก็อย่างที่เห็น โทษใครก็ไม่ได้ เพราะปีที่แล้วน้ำไม่มีเหลือ เขื่อนวชิราลงกรณหรืออดีตเขื่อนเขาแหลม น้ำแทบจะติดก้นเขื่อนเลย ปีนี้น้ำมาเท่าไรก็รับได้หมด แต่ทางด้านเหนือเขารับไม่ได้ เพราะว่าบรรดาพายุไต้ฝุ่นหรือว่าพายุโซนร้อน พายุดีเปรสชั่น เมื่อเข้ามาน้ำมักจะลงพื้นที่เหนือกับอีสานก่อน พอโดนเข้าไป ๓ - ๔ ลูกติด ๆ กัน โดยเฉพาะพายุนกกระเต็น นกกระเต็นนี่ภาษาลาวเขาเรียกนกเต็นเฉย ๆ พายุนกเต็นลูกเดียวกระหน่ำอยู่ครึ่งค่อนเดือนไม่ยอมไปไหน เจอพายุฝนกระหน่ำติดกันครึ่งเดือนจะเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้น..ต้องบอกว่าเป็นกรรมส่วนรวมของประเทศชาติจริง ๆ การบริหารจัดการน้ำปกติเขาจัดการได้ถูกต้องอยู่แล้ว แต่ปีนี้เขาคาดผิด ฝนมายาวนานเกินกว่าที่เคยมี"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2011 เมื่อ 16:12 |
สมาชิก 228 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
"ประการต่อมาก็คือ การจัดการบริหารน้ำของบ้านเราบกพร่องมานานเนกาเล ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ ส่วนใหญ่ไปเน้นการสร้างถนน ก็กลายเป็นขวางทางน้ำหนักเข้าไปอีก
หลังจากบทเรียนครั้งนี้ ประเทศไทยใหม่ก็คงมีอะไรเกี่ยวกับน้ำที่ดีขึ้นเยอะ ความจริงตอนนี้น่าจะเป็นตอนที่ดีที่สุดที่กรมเจ้าท่าจะออกมามีบทบาท ก็คือบรรดาชาวบ้านที่สร้างบ้านขวางทางน้ำ โดนน้ำกวาดไปหมดแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปห้ามสร้างเด็ดขาด ใครแอบสร้างเมื่อไร แจ้งตำรวจจับดำเนินคดีไปเลย เรื่องนี้จำเป็นต้องเด็ดขาด ไม่ใช่โหดร้ายต่อผู้ไร้ที่พักพิง พวกเขาไม่ใช่ไม่มีที่พักพิง แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วอาศัยความมักง่ายเข้าว่า พอหลาย ๆ คนมากเข้าแล้วมักจะมีเสียงดังขึ้น ใครไปทำอะไรรุนแรงเขาก็หาว่ารังแกประชาชน ดังนั้น..ต้องจัดการเสียตั้งแต่แรก ๆ แบบเดียวกับสมัยก่อนที่วัดท่าขนุน ตั้งแต่หลวงปู่สาย อาจารย์สมเด็จ อาจารย์สมพงษ์เป็นเจ้าอาวาสมา มีพวกต่างด้าวอยู่ในวัดเป็นร้อยคนเลย อาศัยอยู่ช่วงล่างที่สร้างเป็นแดนสงบ ไม่มีใครไล่ออกได้ เพราะว่าพอพวกเขามีจำนวนเยอะแล้ว เขาก็รวมหัวกันประท้วงได้ พออาตมาเห็นเข้าก็จัดการ บอกแม่ชีว่า “บอกพวกเขาว่า ย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ อาจารย์จะใช้ที่สร้างกุฏิ” พอพูดเสร็จอาตมาก็ไม่ฟังเสียง ขุดหลุมลงเสาต้นแรกติดบ้านเขาเลย ก่อสร้างตึงตังโครมครามไปเรื่อย ไม่สนใจว่าเขาจะอยู่หรือจะไป จะประท้วงอะไรก็ไม่สนใจ พอเขาเห็นว่าอาตมาเอาจริง เขาก็ขยับออกไปทีละบ้านสองบ้าน พอมีคนไปได้ ที่เหลือก็ตามไปเอง เรื่องแบบนี้จึงอยู่ที่เราว่าทำจริงหรือเปล่า ? อีกอย่างก็คือว่า พวกกุฏิเก่า ๆ ที่รื้อออกมา ไม่ว่าจะเป็นสังกะสี เป็นกระเบื้อง เป็นไม้ อาตมาอนุญาตให้เขาเอาไปสร้างบ้านใหม่ได้ เขาก็รู้สึกว่าเขาได้ ไม่ใช่เสีย เพราะของเก่าเขาเป็นแค่สังกะสีปุ ๆ ปะ ๆ บ้าง ลังกระดาษบ้าง ทำเป็นอาคารพออาศัยได้เท่านั้น พอให้กระเบื้องหรือไม้ไป เขารู้สึกว่าเขาได้ เขาก็รีบย้ายออก เพราะอาตมาบอกว่า "ถ้าเอ็งย้ายช้า...จะไม่ได้ พวกเขาเอาไปหมด" จนกระทั่งทุกวันนี้คนเขาสงสัยว่า อาจารย์เล็กทำได้อย่างไร อาตมาบอกว่าต้องทำได้ คุณอย่าไปเปิดโอกาสให้เขาสิ ไม่คุยด้วยเสียอย่าง เขาก็โอดครวญไม่ได้ ถึงเวลาก็ทำของเราไปเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2011 เมื่อ 16:16 |
สมาชิก 237 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
"ท่านเจ้าคุณโสภณ วัดเทวราชกุญชร ก่อนหน้าที่ท่านยังเป็นพระมหาโสภณ ประโยค ๙ อยู่วัดหัวลำโพง ก็ไม่มีบทบาทอะไรเด่นชัด ปรากฏว่าวัดเทวราชกุญชรว่างเจ้าอาวาส ใคร ๆ ก็ไม่ยอมไปเป็นเจ้าอาวาสที่นั่น เพราะตอนนั้นวัดรกยิ่งกว่าสลัมอีก มีคนเข้าไปปักหลักอยู่ที่นั่นเยอะแยะ แต่ท่านเจ้าคุณโสภณกล้ารับไปเป็นเจ้าอาวาสที่นั่น ๒ ปีเท่านั้น วัดเทวราชกุญชรจากสลัมกลายเป็นสวรรค์ไปเลย ต้องเจอคนเด็ดขาดและกล้าทำอย่างนั้น พูดง่าย ๆ คือไม่กลัวมีเรื่อง คุณจะฟ้องก็ฟ้องไป ดูซิว่าศาลจะตัดสินว่าอย่างไร
ตอนนี้ท่านเป็นรองเจ้าคณะภาค ๑๓ ไปแล้ว เป็นพระเทพคุณาภรณ์แล้ว ท่านเป็นรุ่นน้องอยู่ ๒ ปี และทำงานเก่งมาก โดยเฉพาะอัธยาศัยดีมาก ๆ เจอหน้าอาตมาเมื่อไร ท่านทักทายก่อนทุกที ท่านไม่เคยเบ่งใส่ว่าตอนนี้ท่านเป็นเจ้าคุณชั้นเทพ เป็นรองเจ้าคณะภาคแล้ว เคยรู้จักมักคุ้นกันอย่างไรก็ทำตัวเหมือนเดิม โดยเฉพาะพวกเราไปปล่อยปลากันทุกเดือน พอท่านเห็นเมื่อไรก็กุลีกุจอลงมาอำนวยการให้เองเลย ท่านเป็นคนมีความสามารถ มีอัธยาศัยดี น่ารัก ต้องถือว่าเป็นยังเติร์ก(คนหนุ่มไฟแรง)ของวงการสงฆ์ ตอนนี้รุ่นใหม่ไฟแรงของวงการสงฆ์ ๓ - ๔ รูปขึ้นมามีบทบาท อาตมารู้สึกดีใจมาก อย่างท่านเจ้าคุณโสภณปริยัติเวที (ท่านเจ้าคุณสายชล) เป็นเจ้าคณะภาค ๑ ปกติเจ้าคณะภาคนี่อย่างต่ำต้องชั้นเทพนะ นี่มหาเถรสมาคมดันท่านขึ้นไปเลย ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีศาสนวงศ์ หรือพระอาจารย์มหามีชัยของอาตมาเอง ท่านสอนกฎหมายให้อาตมาเอง ต้องเรียกว่าแทบจะเป็นมือวางอันดับหนึ่งในเรื่องกฎหมายของคณะสงฆ์ ตอนนี้ท่านกำลังเรียนด็อกเตอร์อยู่ มีความชำนาญมาก ไม่ว่าจะเป็นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มติมหาเถระสมาคม แทบจะอยู่ในหัวของท่านทั้งหมด ถามอะไรวิเคราะห์ได้เป็นฉาก ๆ ไม่มีติดขัด ถ้าหากว่ามีปัญหาอะไรในการคณะสงฆ์ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ถ้าเขาไม่ปรึกษาหลวงพ่อเจ้าคุณวัดเฉลิมพระเกียรติ (ท่านเจ้าคุณพระธรรมกิตติมุนี) ก็จะปรึกษาท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีศาสนวงศ์ แล้วมหาเถรสมาคมก็ดันท่านขึ้นไปเลยรองเจ้าคณะภาค ๑ รู้สึกดีใจมาก บรรดาเจ้าคุณหนุ่ม ๆ อายุเพิ่งจะ ๔๐ กว่า ๕๐ ปี ขึ้นไปเป็นถึงเจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาคนี่รู้สึกดีใจมากเลย เพราะบรรดาท่านทั้งหลายเหล่านี้ อยู่ในลักษณะเป็นคนหนุ่ม กล้าทำงาน ในเมื่อกล้าทำงาน ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ในคณะสงฆ์ แล้วยิ่งได้ผู้ใหญ่ที่ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลงอย่างหลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศสนับสนุนอยู่อีกด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-11-2011 เมื่อ 02:43 |
สมาชิก 227 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
"สมัยก่อนถ้าพระขออนุญาตไปต่างประเทศ ต้องโดนด่าทั้งนั้น เพราะพระผู้ใหญ่ท่านฝังใจว่า พวกไปนอกก็คือไปเที่ยว เขาจึงต้องมาขอให้หลวงพ่อวัดสระเกศไปขออนุญาตแทน พอโดนด่าหลวงพ่อท่านก้มหน้า พอเขาด่าเสร็จเรียบร้อย ท่านก็สรุปว่า “ตกลงว่าพระเดชพระคุณอนุมัติใช่ไหมครับ?” นี่..คนที่ไม่กลัวโดนด่า..!
หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าหากว่าเราไม่เผยแผ่พระพุทธศาสนาออกไป มัวแต่อยู่ในบ้านตัวเอง แล้วเมื่อไรธรรมะจะกว้างออกไปถึงต่างประเทศได้ ท่านทำงานอย่างนี้มาเรื่อย ท่านไม่ค้านใคร ใครจะด่า จะว่า จะขวาง ท่านไม่เถียง แต่ท่านประเภทวนรอบไปเรื่อยเป็นวัวพันหลัก มุ่งเอาเรื่องเดียว จนกระทั่งในที่สุดวัดไทยในลอสแองเจิลลิสก็ปรากฏขึ้นเป็นวัดแรก หลังจากนั้นพอได้มาวัดหนึ่งที่เหลือก็ง่ายแล้ว พอดีว่าตำแหน่งของท่านก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นมาในวงการคณะสงฆ์ ผู้ใหญ่เห็นว่าท่านทำงานเอาจริงเอาจังก็สนับสนุนขึ้นไปเรื่อย จนกระทั่งอยู่ในระดับที่ว่า คำพูดมีน้ำหนักเหมือนเป็นคำสั่งแล้ว ต่อไปก็สบาย ท่านไม่เถียงใคร อยากด่าก็ด่าไป ก้มหน้ารับไว้ คนที่ขอให้ท่านช่วยไม่รู้หรอกว่าท่านโดนไปเท่าไร จนกระทั่งในที่สุด พระพุทธศาสนาก็ไปประดิษฐานมั่นคงอยู่ในประเทศทางตะวันตก ท่านวางแผนล่วงหน้าถึงขนาดที่ว่า ถ้าหากว่าศาสนาพุทธตั้งอยู่ในประเทศไทยไม่ได้ จะได้มีที่ให้ถอยไปต่างประเทศได้ ท่านวางแผนล่วงหน้าไว้นานขนาดนั้น..! ที่เห็นชัด ๆ อีกท่านก็หลวงพ่อเจ้าคุณพระพรหมโมลี ตอนนี้เป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลางไปแล้ว ท่านนี้ก็ต่อสู้ดิ้นรนมาสารพัด มีอยู่สมัยหนึ่งที่เรื่องของการปฏิบัติธรรมกรรมฐาน สาบสูญไปจากวงการปริยัติ เขาเรียนอย่างเดียวไม่สนใจอย่างอื่น พอท่านสร้างวิทยาลัยบาฬีศึกษาพุทธโฆสขึ้นมา ก็กำหนดหลักสูตรว่า นักศึกษาทุกคนต้องปฏิบัติธรรมประจำปี สะสมให้ได้ ๓๐ วัน ไม่อย่างนั้นไม่ให้จบ แล้วหลังจากนั้นท่านก็เน้นเรื่องนี้มาโดยตลอด จนกระทั่งในที่สุดก็ตั้งเป็นหลักสูตร ป.บส. ป.วภ. ขึ้นมาป.บส. คือ ประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ป.วภ. คือ ประกาศนียบัตรวิปัสสนาภาวนา ปัจจุบันหลักสูตรที่ขึ้นหน้าขึ้นตามากที่สุดก็คือปริญญาโทวิปัสสนาภาวนา ท่านบอกว่ากำลังวางแผนตั้งปริญญาเอกวิปัสสนาภาวนาอยู่ เพียงแต่ต้องรอให้ทางกระทรวงรับรองหลักสูตรที่เสนอไปก่อนเท่านั้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2011 เมื่อ 16:38 |
สมาชิก 232 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "กาลเวลาผ่านไปชื่อบ้านนามเมืองเพี้ยนไปหมด เช่น โคกอีหอมกลายเป็นดอนยายหอม คลองไอ้โสกลายเป็นคลองตาโส ถือว่ายังพอรับได้ เพราะอยู่ไปนาน ๆ แล้วคนแก่ขึ้น จากอีหอมก็กลายเป็นยายหอม จากไอ้โสก็กลายเป็นตาโส
แต่ประเภทเพี้ยนแล้วเสียความนี่เสียหายหลายแสนเลยนะ ตั้งแต่ สำเพ็งแล้ว จริง ๆ คือ สามแพร่ง คราวนี้คนจีนออกเสียงไม่ชัด เขาเรียกได้แค่ซำเพ่ง คนไทยก็ไปเรียกสำเพ็งตามเขา ทุ่งวัวลำพองกลายเป็นหัวลำโพงก็เพราะพวกคนจีนเรียก แล้วคนไทยก็ไปเรียกหัวลำโพงตามเขา ก็เลยไปกันใหญ่เลย กาญจนบุรีมีห้วยกะบก คนจีนเรียกไม่ชัด กลายเป็นห้วยกระบอก คนไทยก็เพี้ยนตามไป เรียกห้วยกระบอกมาจนทุกวันนี้ หรือสามแสนกลายเป็นสามเสน ถึงสามเสนแจ้งความตามสำเหนียก.......เมื่อแรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี
ประชุมฉุดพุทธรูปในวารี....................ไม่เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน จึงสาปนามสามแสนเป็นชื่อคุ้ง.............เออชาวกรุงกลับเรียกสามเสนสิ้น นี่หรือรักจะมิน่าเป็นราคิน....................แต่ชื่อดินเจียวยังกลายเป็นหลายคำ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-11-2011 เมื่อ 16:38 |
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
ถาม : จริง ๆ คำว่า “นิมิตร” ที่มีร.เรือ ความหมายเป็นอย่างไรคะ?
ตอบ : “นิมิตร” นี่จริง ๆ เขียนตามแบบสันสกฤต หรือไม่ก็ตามลิ้นคนไทย แต่คราวนี้เขาไปเน้นทางบาลี จึงเขียนเป็น "นิมิต" มาจากคำว่า "นิมิตตํ" ของบาลี ไทยเราก็เลยเหลือ ต.เต่าตัวเดียว เพราะว่า ๒ ตัวเมื่อไรเขาจะตัดออกตัวหนึ่ง อาตมาเคยไปนั่งเถียงกับพวกราชบัณฑิตยสถาน เขายืนยันว่าจะทำให้เป็นภาษาไทยแท้ ๆ ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะไม่มีภาษาไหนหรอกที่เป็นภาษาของตัวเอง จะต้องมีภาษาอื่นแทรกอยู่เสมอ อย่างเช่นคำว่า "วิบูลย์" เขาตัดเป็น “วิบูล” ล.ลิง เฉย ๆ ก็เลยมีคำศัพท์อุบาทว์ ๆ เยอะแยะไปหมด สมัยก่อนนี้ "อินทรีย์" มี ย. การันต์ เพราะอินทรีย์ในภาษาบาลีก็คือใหญ่ ความเป็นใหญ่ นกอินทรีย์ก็คือนกใหญ่ ไป ๆ มา ๆ เขาตัด “ย์” ออกไปเสียนี่ คงกลัวไม่มีงานทำกระมัง ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-11-2011 เมื่อ 16:39 |
สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "น้ำท่วมทำให้เห็นส่วนที่งดงาม คือน้ำใจของผู้คนที่เอื้อเฟื้อช่วยเหลือกัน แล้วก็เห็นส่วนที่อัปลักษณ์ น่ารังเกียจมาก ๆ คือ ความประพฤติของคนที่กำลังใจต่ำ พวกเราแจกน้ำที่บ้านวิริยบารมี บางบ้านลูกเล็กเด็กแดงมีอยู่สิบกว่าคน ขนมากันทุกคนเลย ส่วนท่านที่เห็นแก่คนอื่นมากกว่าก็มารับคนเดียว รับน้ำหนึ่งโหลได้ก็ไป
ตอนแรกบอกว่าใครมีภาชนะอะไรเอามารับน้ำได้ ก็มีแค่ไม่กี่คน แต่พอน้ำที่จัดเป็นชุด ๆ หมดเข้า คราวนี้หม้อ ไห ถุงพลาสติกอะไร ก็เอามาขนน้ำกันหมด บางคนเอาถังร้อยลิตรมาเลย พูดง่าย ๆ ว่า เขาขอคนเดียวหมดอีก ๑๐ คนไม่ได้ แต่ก็ไม่ว่า มีปัญญามาก็แจกให้ เราจะเห็นว่าการเสียสละไม่ใช่ของง่าย บุคคลที่ไม่ยอมเสียสละเลย กอบโกยเข้าหาตัวเองนั้นมีอยู่นับไม่ถ้วน บางคนสละได้เพียงเล็กน้อย บางคนสละได้ปานกลาง บางคนสละได้มาก หลายคนสละได้แม้แต่ชีวิต ตามแต่ระดับกำลังใจที่ไม่เท่ากัน ก็ถือว่าเป็นโอกาสในการวัดบารมี ดูว่าเราเองทำไปถึงไหนแล้ว สละให้คนอื่นได้ไหม ? นี่เรายังไม่ได้อยู่ในสถานภาพที่คับขันถึงขนาดเหลือน้ำขวดสุดท้าย หรือว่าข้าวจานสุดท้าย ถ้าหากว่าถึงขนาดนั้นแล้วจะรู้ว่าเราสละให้คนอื่นได้หรือไม่ ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-11-2011 เมื่อ 02:56 |
สมาชิก 233 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
ถาม : ทำไมต้นลั่นทมเขาไม่นิยมให้ปลูกในบ้านครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเอาเหตุผลทางไสยศาสตร์ ก็คือชื่อลั่นทมเขาว่าไม่ดี เขากลัวจะระทม แต่ถ้าเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เขาบอกว่าน้ำมันหอมระเหยจากลั่นทมทำให้เซ็กซ์เสื่อม นี่เขาทำวิจัยอย่างเป็นทางการเลย เขาบอกว่าที่ไปปลูกในวัดเพื่อไม่ให้พระเณรคึก เป็นความจริง ๑๐๐% เลยนะ เพราะต่างประเทศเขาทำวิจัยมาเรียบร้อยแล้ว ยืนยันผลว่าเป็นจริง ลั่นทมต่างประเทศเขาเรียก Plumeria เพราะฉะนั้น..จะเอาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์หรือไสยศาสตร์ก็ไม่ควรอยู่ในบ้าน ยกเว้นแต่ว่ามีนโยบายจะคุมกำเนิด..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 14-11-2011 เมื่อ 14:26 |
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เราลองนึกดูว่าโลกใบเท่าเดิม ส่วนทรัพยากรน้อยลงไปเรื่อย ๆ พื้นที่เพาะปลูกกลายเป็นที่อยู่อาศัยไปก็มาก แต่ปากที่ใช้กินมีแต่เพิ่มขึ้น ๆ เพราะฉะนั้น..ใครมีที่ดินให้พยายามรักษาเอาไว้ ปลูกของที่กินได้ไว้ก่อน
สมัยที่อาตมาอบรมการเกษตรทฤษฎีใหม่ ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรองรับวิถีชีวิตคนไทยได้จริง ๆ เขาจะแบ่งพื้นที่ออกเป็น ๑๐ ส่วน ก็คือ ๓ ส่วนให้เป็นแหล่งน้ำ ๑ ส่วนให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย อีก ๓ ส่วนทำนาข้าว อีก ๓ ส่วนเป็นวนเกษตร จะมีพวกสมุนไพรและผักที่ปลูกแล้วได้กินเร็ว มีพืชล้มลุกฤดูกาลเดียว อย่างเช่น กล้วย มะละกอ แล้วก็พืชยืนต้นจำพวกผลไม้หรือไม้ใช้สอย ในส่วนของแหล่งน้ำก็ยังสามารถเลี้ยงปลาได้ ถ้าหากไม่ใช่แหล่งน้ำใช้ แต่เป็นแหล่งน้ำการเกษตรอย่างเดียว เขาจะมีเลี้ยงไก่บนบ่อปลาด้วย แล้วที่ขำก็คือ พออาตมาพาคนไปฝึกฝนดูงานเสร็จเรียบร้อย เขาก็ให้แต่ละกลุ่มไปสรุปบรรยายว่าตัวเองไปดูอะไรมา มีคนหนึ่งเขาบรรยายเสียเต็มปากเต็มคำว่า ไปดูการเลี้ยงปลาบนบ่อไก่..! เขาเลี้ยงไก่บนบ่อปลาแต่นี่ดันไปดูการเลี้ยงปลาบนบ่อไก่ น่าจะเก่งมาก...เลี้ยงปลาบนบ่อไก่ได้ เพราะฉะนั้น..ถ้ามีพื้นที่ให้พยายามทำเกษตรผสมผสานอย่างที่ในหลวงท่านบอก แล้วจะอยู่ได้ พวกพืชผักสามารถนำมากินหรือขายได้ในระยะเวลาไม่นาน พวกกล้วยพวกมะละกอนี่พอได้อายุ ก็สามารถที่จะทยอยตัดขายไปได้เรื่อย ๆ รอจนกระทั่ง ๓-๕ ปี ไม้ผลก็จะเริ่มให้ผล หลังจากนั้นก็จะให้ผลทุกปี ในส่วนข้าว ถ้าปลูกข้าวเบาก็ ๔ เดือนเกี่ยวทีหนึ่ง ถ้าปลูกข้าวหนัก (นาปี) ก็ปีละครั้ง แต่เท่าที่ได้รับการตักเตือนมาก็คือ อย่าทำเกิน ๓๐ ไร่ เพราะต้องใช้แรงงานมากเกินไป ถ้าทำอย่างนี้เกษตรกรก็จะมีรายได้ทุกวันจากพืชผักสมุนไพร มีรายได้ทุกเดือนจากกล้วย มะละกอ มะพร้าว มีรายได้ทุกปีจากข้าวและผลไม้ ทำให้พึ่งพาตัวเองได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-11-2011 เมื่อ 17:57 |
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีหน้าวันที่ ๒๘ มกราคม ตรงกับวันเสาร์ ๕ มีงานเป่ายันต์แน่ ๆ ส่วนวันที่ ๒๓ มิถุนายน กับ ๒๐ ตุลาคม ยังไม่มีคำสั่งมา เพราะฉะนั้น..ปีหน้างานแรก คือ ๒๘ มกราคม หลังจากนั้นแล้วต้องรอ แต่ถ้ามีงานเป่ายันต์หลายครั้งนี่น่าหวาดเสียว แสดงว่าสถานการณ์ของประเทศชาติแย่มาก ๆ
ตอนนี้หลวงปู่จี๋ ความจริงท่านชื่อจีหรือจี่ เขาเรียกหลวงปู่จี๋กันจนชิน ก็คือพระมหาโพธิวงศาจารย์ วัดพระพุทธบาทมิ่งเมือง จังหวัดแพร่ได้มรณภาพแล้ว ท่านเป็นรองสมเด็จพระราชาคณะที่อาวุโสสูงสุด พระดีเมืองเหนือร่วงไปอีกหนึ่งท่านแล้ว ช่วงรอยต่ออากาศ ฝนต่อหนาว หนาวต่อร้อน ร้อนต่อฝน ตอนช่วงอากาศเปลี่ยน คนแก่หรือคนป่วยที่ทนไม่ไหวมักจะตาย ให้สังเกตว่าคนมักจะตายช่วงอากาศเปลี่ยน ฉะนั้น..บ้านใครมีคนแก่อายุมากหรือว่ามีคนป่วยอยู่ ดูแลให้ดี ๆ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของอากาศ จะเป็นช่วงที่สภาพร่างกายของคนป่วยหรือคนแก่อ่อนแอ รับไม่ไหว แล้วจะไปเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-11-2011 เมื่อ 17:59 |
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
ถาม : ปกติผมสวดภาวนาคาถาเงินล้านเป็นประจำ แต่ถ้าวันไหนที่มีเวลาแล้วสวดคาถาเงินล้านเกิน ๑๐๘ จบถึง ๓๒๐ จบขึ้นไป มักจะได้มีโอกาสไปงานหล่อพระโดยบังเอิญ
ตอบ : ถือว่าบังเอิญ ยกเว้นว่าเป็นแบบนั้นทุกครั้ง แสดงว่าส่งผลให้ในด้านนั้นจริง ๆ ถาม : เป็นทุกครั้งเลยครับ ได้ไปงานหล่อพระประธานตลอด ตอบ : ไปลองใหม่ เอาให้แน่นอนไปเลย ประเภททำ ๑๐ ครั้งแล้วได้ไปงานหล่อพระ ๑๐ ครั้ง ถ้าได้แบบนั้นก็ควรจะทำบ่อย ๆ เอาให้แน่ใจเลย ถาม : ผลของคาถาเงินล้านที่ได้นี่ยอมรับไม่สงสัย แต่นี่มักได้ไปหล่อพระตลอดเลย ตอบ : ถือว่าเป็นความบังเอิญในด้านดี เพราะว่าผลของคาถาเงินล้านจริง ๆ ก็คือให้ความคล่องตัวในทุกเรื่อง เราไปหล่อพระได้ก็ต้องมีเงินไปหล่อ นั่นก็แปลว่าดี มีลาภผลเข้ามาแน่นอน ถาม : เรื่องยันต์เกราะเพชรครับ เห็นมีการออกหนังสือของหลวงพ่อท่านหนึ่งบอกว่า เป่ายันต์เกราะเพชรแล้วก็เชือด ตอบ : ไปลองดูได้..! ถาม : ไม่แน่ใจว่ามีการเชือดด้วยหรือครับ? ตอบ : จำไว้ว่าใครที่ประกาศว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ปาน ถ้าหากว่าเกิดหลังปี ๒๔๘๑ ก็ไม่ใช่ ฉะนั้น..เขาจะประกาศจะอะไรก็ช่างเขาเถอะ ให้รู้เอาไว้ว่าความจริงเป็นอย่างไร หลวงปู่มรณภาพปี ๒๔๘๑ ต่อให้อยู่ในท้องแม่ไปฝากเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ก็ไม่ทันเรียนวิชาหรอก ส่วนใหญ่แล้วพอเขาบอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ปานเราก็ไปเชื่อกัน คนที่เกิดปี ๒๔๘๑ อายุปัจจุบันนี่ต้อง ๗๓ ปีแล้วนะ แล้วจะไปเรียนวิชาของหลวงปู่ได้อย่างไร เพราะเพิ่งจะเกิด..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 15-11-2011 เมื่อ 17:24 |
สมาชิก 221 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
ถาม : ถามเรื่องยันต์มหาสะท้อนครับ ถ้าสมมติมีคนว่าจ้างมา แล้วคนที่ว่าจ้างโดนด้วยไหมครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ไปซวยที่คนทำก่อน คนว่าจ้างกลายเป็นอันดับรองลงไป ถาม : ก็โดนเหมือนกันใช่ไหมครับ ? ตอบ : เหมือนกัน แต่ไม่หนักเท่าคนทำ เรามีหน้าที่ภาวนาไปเรื่อย ๆ อย่าไปคิดร้ายใคร ถาม : เราไม่คิดร้ายครับ แต่มีญาติพี่น้อง.. ตอบ : ใครทำก็โดนเอง เราไม่ได้ทำอะไรเขาหรอก เหมือนกับการขว้างลูกเทนนิสใส่ผนัง ยิ่งขว้างใส่แรงก็ยิ่งกระเด้งกลับแรง ถาม : คราวนี้เราจะเดินลอดอะไรก็ไม่เป็นไรใช่ไหม ? ตอบ : ลอดไปเถอะ เขาให้แขวนเอวด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-11-2011 เมื่อ 16:44 |
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
ถาม : ตอนนั่งสมาธิแล้วท่านไม่ได้นำ รู้สึกตัวเองไม่ค่อยเคร่งเท่าไร ?
ตอบ : คอยแต่จะให้ป้อนให้ แล้วเมื่อไรจะทำเป็นเสียทีละจ๊ะ เอะอะก็จะให้นำตลอด ถ้าอยู่ ๆ อาตมาล้มหายตายจากไปก็ไม่ต้องฝึกกันสิ ถาม : ต้องเอารูปท่านมาตั้งข้าง ๆ แล้วต้องนั่งดูเวลาปฏิบัติ ตอบ : อ๋อ...ถ้าวันไหนมีเสียงด่ามาด้วยก็จะใช่จริง ๆ..! สมัยก่อนเวลาอาตมาได้ต้นไม้ที่ออกจากเรือนเพาะชำ อาตมาก็จะให้น้ำ ให้ปุ๋ย ให้ฮอร์โมนไประยะหนึ่ง แล้วก็ค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุดก็ไม่ให้อะไรเลย อยากได้ปุ๋ยใช่ไหม ?..อยู่ในห้องเก็บของ..อยากได้น้ำก็อยู่ในห้วย..ไปกินเอง..นั่นต้นไม้นะ..! ถ้าเป็นคน มัวแต่รอให้นำการปฏิบัติแล้วถึงจะทำได้ดี โอกาสที่ได้ดีก็จะยาก เพราะฉะนั้น..ถ้าอาตมาไม่ได้นำ พวกเราก็ต้องไปเองเป็นบ้าง ไม่ใช่พอถึงเวลาแล้วหลวงพ่อไม่นำ หนูไปไม่เป็น จะสมน้ำหน้าให้เลย..! ถ้าหากว่าใครที่เคยอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุงมาจะเห็นตรงนี้ชัดเจน ท่านปล่อยให้ลูก ๆ ขวนขวายกันเอง ดังนั้น..ใครรู้จักไขว่คว้าก็จะได้อะไรมากกว่าคนอื่นเขา โดยเฉพาะอาตมาไม่เคยไว้ใจว่าหลวงพ่อท่านจะมีอายุเกินวันนี้ เพราะว่าการป่วยของท่านหนักมาก คนที่ไม่รู้ก็จะไม่รู้ว่าหนักขนาดไหน ถึงเวลาวันไหนฝนฟ้าผิดปกติอาตมาจะลุกขึ้นมานั่งกรรมฐานดู ว่าหลวงพ่อไปหรือยัง..? ในเมื่อเป็นดังนั้น ทุกวันของอาตมาคือวันสุดท้ายที่มีค่าที่สุด จึงต้องกอบโกยให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่อย่างพวกเรานี่ โอ๊ย...หลวงพ่ออายุยังน้อย เพิ่ง ๕๐ กว่าปีเอง ระวังไว้เถอะ...ตูออกไปรถตกคลองจมน้ำตาย จะอยู่ไม่ถึงอายุขัย..! เพราะเคยสร้างกรรมเอาไว้มาก อุปฆาตกรรมจะมาตัดตอนไหนก็ไม่รู้ ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-11-2011 เมื่อ 16:48 |
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "นึกถึงประวัติพระสีวลี พระนางสุปปวาสาพระราชมารดาของพระสีวลีตั้งท้องอยู่ ๗ ปีกับ ๗ วัน ช่วงเวลา ๗ ปีนั้นคือช่วงระยะเวลาตั้งท้อง ส่วน ๗ วันนั้นปวดท้องจะคลอด
พระนางสุปปวาสาท่านยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ปวดขนาดไหนก็ดำรงอยู่ในอนุสตินั้นว่า โอหนอ...พระพุทธเจ้าของเราเกิดมา เพื่อแนะนำให้เราพ้นทุกข์เห็นปานนี้หนอ คือความทุกข์จากการปวดท้องคลอดขนาดนี้นี่แหละ ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกให้รีบหนีไปให้พ้น โอหนอ...พระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ปฏิบัติไปเพื่อนำเราพ้นจากความทุกข์เห็นปานนี้หนอ โอหนอ...พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า สั่งสอนเราเพื่อให้พ้นจากความทุกข์เห็นปานนี้หนอ ปวดท้องอยู่ได้ ๗ วันก็พิจารณาคุณพระรัตนตรัยอยู่ตลอดเวลา พอครบ ๗ วันก็คลอดพระสีวลีออกมา ลูกชายอายุ ๗ ขวบกว่า เพราะอยู่ในท้องแม่มา ๗ ปี บุพกรรมของท่านก็คือ ในอดีตชาติหนึ่งท่านเป็นกษัตริย์แล้วไปล้อมบ้านล้อมเมืองเขาเอาไว้ ล้อมอยู่ ๗ ปี ข้าศึกก็ยังไม่ยอมแพ้ พระสีวลีท่านเป็นพระราชา พระนางสุปปาวาสาท่านเป็นพระราชมารดา พอถามสถานการณ์เสร็จ คุณแม่บัญชาการเอง ให้ล้อมประตูเล็กไว้ด้วย เพราะล้อมแต่ประตูใหญ่ คนก็เข้าออกประตูเล็ก เอาน้ำเอาเสบียงเข้าไปได้ จึงไม่ยอมแพ้สักที คราวนี้ปิดประตูทั้งใหญ่ทั้งเล็ก ฝ่ายตรงข้ามออกไม่ได้ หาอาหารกินไม่ได้ ๗ วันผ่านไปก็ยอมแพ้ ตกลงไปล้อมเขาอยู่ ๗ ปีกับ ๗ วัน นี่เอง ที่ทำให้ต้องเดือดร้อนอยู่ ๗ ปี กับ ๗ วัน คราวนี้นึกถึงกรุงเทพฯ เพราะว่าปกติก็มีเส้นเพชรเกษมเข้าได้..ใช่ไหม ? น้ำก็จัดการล้อมเสีย ให้พวกเราหาทางเล็ดลอดเอาเอง ตอนนี้เขาปิดถนนบรมราชชนนี เพราะว่าถนนต่างระดับสิรินธรท่วม พุทธมณฑลสาย ๔ ท่วม สาย ๒ ท่วมก็ยังเข้าออกทางเพชรเกษมได้ วันที่มาแจกน้ำที่นี่ก็เข้ามาทางเพชรเกษม แต่ปรากฏว่าวันที่จะมารับสังฆทาน แทบจะเข้าไม่ได้แล้ว ชั่วคืนเดียวเท่านั้นเองน้ำขึ้นมา ๗๐ กว่าเซนติเมตร ฉะนั้น..เวลาไปล้อมบ้านล้อมเมืองเขาก็เปิดทางให้เขาบ้างนะ ถึงเวลากรรมสนองจะได้ไม่ลำบากมากนัก..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 15-11-2011 เมื่อ 00:15 |
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
"วันนี้ก็เพิ่งมีคนหนีน้ำ หอบหมาไปทองผาภูมิ แต่ที่วัดไม่เหมาะสมที่จะเอาหมาไป ถ้าเอาไปต้องขังไว้ต่างหาก ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยไปจะโดนหมาวัดกัดตาย หมาที่วัดมีเป็นร้อยตัวเลย เวลาอาตมาตื่นขึ้นมา ตี ๑-๒ เดินมาหมาไม่เห่าสักแอะ แต่คนอื่นขยับเดิน หมาเห่าสนั่นไปทั้งวัด แสดงว่าหมาจำคนได้จริง ๆ
ภาพที่งดงามในสายตาของชาวต่างประเทศก็คือ คนไทยเราหนีน้ำถึงเข่าบ้าง ถึงเอวบ้าง ถึงคอบ้าง แต่หอบหมาไปด้วย เป็นภาพที่พวกเขาชื่นชมกันมาก บางรายก็ใส่กะละมังลอยไป บางรายก็ใส่ถังน้ำแข็งแล้วก็สะพายลากไป ลอยตุ๊บป่อง ๆ มีอยู่รายหนึ่งเอาภรรยาใส่กะละมังลอยไป ถ้าเป็นอาตมาคงจะเผลอทำหลุดมือ ไม่รู้ว่ากะละมังอะไร น่าจะเป็นสระน้ำเด็กเล่น เพราะดูเหมือนกะละมังพลาสติก แต่ว่าใหญ่มาก ผู้ใหญ่นั่งนี่มิดหัวพอดี ดูแล้วเป็นพาหนะที่ใช้ได้เลย ส่วนคุณสามีก็มีหน้าที่เดินลุยน้ำเกือบถึงคอ คอยเข็นกะละมังไป รัฐบาลแนะนำว่าให้เก็บของมีค่าขึ้นที่สูง มีชายคนหนึ่งมานั่งคิดว่าเก็บนั่นก็แล้ว เก็บนี่ก็แล้ว ท้ายสุด..ยกเมียขึ้นหิ้งดีกว่า..นั่นเก็บของที่มีค่าสูงที่สุด..! แต่มีภาพหนึ่งที่สื่อมวลชนเขาถ่ายออกมาเห็นแล้วใจหาย คือที่ห้างสรรพสินค้ามีแต่ชั้นโล่ง ๆ ไม่มีสินค้าวางอยู่เลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-11-2011 เมื่อ 16:54 |
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|