|
#1
|
||||
|
||||
|
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
| สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#2
|
||||
|
||||
|
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เนื่องจากมีการประชุมทั้งภาคเช้าและภาคบ่าย ขาดการพักผ่อนไปหน่อย เมื่อครู่ก่อนจะออกมาทำวัตร อยู่ ๆ ร่างกายก็ทรยศ ทำท่าจะเป็นลม..! ต้องบอกว่าบางทีทำงานก็ลืมไปว่าตนเองเป็นคนแก่ ด้วยกำลังใจที่จะมุ่งมั่นให้งานนั้นออกมาให้ดีที่สุด ก็มักจะทำแบบเต็มที่ ลืมตัวว่าแก่ได้ที่แล้ว..!
สำหรับช่วงนี้สงครามระหว่างไทยกับเขมรก็ยังระอุอยู่เป็นปกติ ก็ไม่นึกว่าบุคคลที่เข้าตาจนจะใช้วิธีก่อสงครามกับประเทศเราเพื่อหาคะแนนเสียง โดยที่ไม่ได้สนใจว่าชีวิตของทหารตนเองก็ดี ของทหารและพลเรือนฝ่ายเราก็ตาม จะต้องตายลงไปเท่าไร ?! ในส่วนของทหารไทยเรา ได้แสดงสมรรถนะหลายต่อหลายอย่างที่ต่างประเทศเขาชื่นชม และเอ่ยอย่างเต็มปากเต็มคำว่า "สู้ทหารไทยไม่ได้" อย่างเช่นใช้ปืนไรเฟิลจู่โจมเอ็ม. ๑๖ ยิงโดรนของฝ่ายตรงข้ามตก โดยไม่ต้องใช้กล้องเล็ง แต่จากที่วันก่อน กระผม/อาตมภาพบอกว่ามี "ตัวเสือก" คอยช่วยเหลือเขมรอยู่ มาถึงวันนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า บรรดาโดรนพิฆาตที่ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก และล้มตายเพิ่มขึ้นอีกหลายศพ ไม่ได้บังคับด้วยทหารเขมร..! สมัยนี้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม มีสายตาอยู่บนฟ้าคอยดูอยู่ โดยเฉพาะผู้ที่อ่านดาวเทียมเก่ง ๆ สามารถที่จะระบุได้อย่างชัดเจนว่า ทหารของคุณเป็นชนชาติไหน ? ขนาดดูจากบนฟ้ายังสามารถที่จะซูมเข้าไปใกล้ จนเห็นโดรนที่เก็บอยู่ในตึก ซึ่งจะว่าไปแล้ว เทคโนโลยีนี้ยังล้าสมัยมาก เนื่องเพราะว่าของแท้นั้น ขนาดเอกสารอยู่ในตู้หลายชั้น เขายังสามารถเลือกอ่านได้ตามสบาย เรื่องพวกนี้กระผม/อาตมภาพพูดไป ก็เหมือนกับบ้าอยู่คนเดียว จนกว่าจะมีหลักฐานให้พวกท่านทั้งหลายได้เห็น..! เพียงแต่ไม่ว่าจะทหารไทยหรือว่าทหารเขมรก็ตาม เวลาออกรบก็เหมือนกัน คืออาศัยเครื่องรางของขลังในการช่วยให้มีกำลังใจในการรุกรบ เพียงแต่ว่ายุคเราสมัยเรานั้น บรรดาเครื่องรางของขลังที่เหนียวหรือว่าระดับมหาอุดไม่ค่อยจะมี เพราะว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป ในสมัยช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ หรือว่าสงครามอินโดจีน มีบรรดาเสือปล้นเยอะแยะ ครูบาอาจารย์สมัยนั้นจึงต้องทำเครื่องรางของขลังในระดับมหาอุด หรือว่าคงกระพันเป็นปกติ ในเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ในยุคเราสมัยเรามาเน้นเรื่องการทำมาหากิน บรรดาเครื่องรางของขลังจึงต้องออกมาทางด้านมหาลาภ มหานิยมแทน แม้ว่าตัวกระผม/อาตมภาพศึกษามาครบทุกด้านก็จริง แต่ก็มีคำสั่งห้ามไม่ให้ทำประเภทมหาอุด โดยที่ท่านให้เหตุผลว่ากำลังใจของพวกเรามักจะล้นเกิน ถ้ามีของดี ยิงไม่ออกจริง ๆ ดีไม่ดีก็ไปปล้นเขากิน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:34 |
| สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#3
|
||||
|
||||
|
ดังนั้น..ถ้าหากว่ายุคนี้สมัยนี้ เราหวังในเครื่องรางของขลังที่จะคุ้มชีวิตได้จริง ๆ ก็ต้องหาของครูบาอาจารย์รุ่นเก่า ๆ ซึ่งสมัยนั้นก็มักจะเน้นในเรื่องตะกรุด ถ้าอยู่ในระดับอาจารย์ของอาจารย์เลย ก็อย่างตะกรุดคู่ชีวิต หลวงปู่เงิน วัดบางคลาน ซึ่งลูกศิษย์ที่สืบทอดวิชามา ไม่ว่าจะเป็นหลวงพ่อเตียง วัดเขารูปช้าง หลวงพ่อพิธ วัดฆะมัง หรือว่าหลวงพ่อทบ วัดชนแดนก็ตาม พิสูจน์มาแล้วหลายต่อหลายสนามรบ
รุ่นหลัง ๆ อย่างหลวงพ่อทบ วัดชนแดน อยู่ในช่วงสงครามเขาค้อ - หินร่องกล้า ที่ทหารของเราปะทะกับคอมมิวนิสต์ บรรดาทหารยกกันไปทีเป็นหมวดเป็นกองร้อย ขอให้หลวงพ่อท่านจารตะกรุดให้ ท่านก็เมตตาทำให้ข้ามวันข้ามคืน เพราะว่าไปกันมากต่อมากด้วยกัน จนกระทั่งสมัยนั้นซึ่งหาไฟฟ้าได้ยาก ต้องใช้เทียน ต้องใช้ตะเกียงเป็นหลัก ในเมื่อแสงไม่พอ ท่านทุ่มเทจารตะกรุดให้เขา ท้ายที่สุดก็สายตาเสีย มาช่วงท้ายถึงขนาดตาบอด มองอะไรไม่เห็น..! แต่ด้วยความที่เมตตาต่อทหารตำรวจ ซึ่งต้องทำหน้าที่ปกป้องชีวิตของประชาชน ท่านก็เมตตาทำให้ แล้วพอทำตะกรุดเสร็จ บางทีมากต่อมากด้วยกัน บางทีท่านก็จำไม่ได้ว่าดอกไหนเสกแล้ว ดอกไหนยังไม่เสก ดังนั้น.. บางทีท่านก็ใช้มีดอีโต้สับหัวตะกรุด เป็นรอยบากให้จำได้ว่าดอกนี้เสกแล้ว กลายเป็นว่ารุ่นหลังจริง ๆ ตะกรุดของท่านบางดอกถ้ามีตำหนิรอยมีดสับ แม้ว่าจะหย่อนความสวยลงไป แต่กลายเป็นคนมั่นใจกว่าว่า เป็นของแท้จากวัดแน่นอน..! หรือไม่ก็ถ้ามาสายภาคกลางก็หาตะกรุดคงคาวดี หรือบางคนก็เรียกตะกรุดจันทร์เพ็ญ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งทำยากทำเย็นเป็นนักหนา เพราะว่าต้องหลอมตะกั่วเถื่อนในกระเพาะควายเผือก จนกระทั่งตะกั่วหลอมละลายเข้ากันดีแล้ว ก็เอาออกมาทุบแผ่เป็นแผ่น ให้บางพอที่จะจารตะกรุดได้ เมื่อตัดได้ขนาดที่ต้องการแล้ว ก็ระเบิดน้ำลงไปจารที่บริเวณท่าน้ำหน้าวัด จารแล้วก็ปล่อยลอยขึ้นมา ถ้าดอกไหนไม่ลอย ถือว่าเสีย ใช้การไม่ได้..! หรือว่าถ้าหาตะกรุดมหาระงับ หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อมได้ก็ดี เนื่องเพราะว่าไม่ได้ระงับสิ่งร้ายเท่านั้น ยังเป็นมหาอุดอีกด้วย จนกระทั่งทางการต้องขอร้องไม่ให้ท่านแจกวัตถุมงคล เนื่องเพราะว่าพวกบรรดาโจรผู้ร้ายส่วนหนึ่ง เมื่อได้ไปก็ฮึกเหิม ยิงสู้กับตำรวจ จนกระทั่งตำรวจบาดเจ็บล้มตายไปมาก ท่านจึงต้องเอาวัตถุมงคลที่เหลือไปถ่วงทิ้งกลางทะเล..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:37 |
| สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#4
|
||||
|
||||
|
บรรดาลูกศิษย์รุ่นหลัง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหลวงพ่อแช่ม - หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณีก็ดี หรือหลวงพ่อใจ วัดเสด็จ หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญก็ตาม ก็ล้วนแล้วแต่สืบทอดวิชาจากครูบาอาจารย์ได้เข้มขลังไม่แพ้กัน
หรือแม้กระทั่งของสายเรา หลวงปู่เนียม วัดน้อยก็มีตะกรุด แต่ว่าวัตถุมงคลของท่านขลังทุกประเภท แม้แต่น้ำมนต์ไม่ได้เสกก็ยังเทไม่ออกจากขวด คำว่าไม่ได้เสกก็คือในสายตาของเรา แต่ความจริงท่านกำหนดจิตขอบารมีพระครอบคลุมเรียบร้อยไปแล้ว ในเมื่อคนไม่เห็นท่านทำท่าเสกก็ไม่เชื่อแอบเอาไปเททิ้ง แต่เทไม่ออก จนกระทั่งตะกรุดหลวงปู่เนียม กลายเป็น "ตะกรุดหยุดมัจจุราช" อย่างที่เขาว่ากัน ถ้าหากว่าลงมาทางเมืองคนดุเพชรบุรี ก็ต้องหาวัตถุมงคลหลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง หลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครก หลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง วัตถุมงคลของท่านนอกจากเหนียวสุดยอดแล้ว ท่านยังพอกครั่งเพื่อเป็นมหานิยม โดยเอาเคล็ดคำว่า "ครั่ง" ก็คือคลั่งไคล้ หรือทางของหลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครก ซึ่งมักจะสร้างวัตถุมงคลด้วยเขาควายเผือกฟ้าผ่าตาย แต่วัตถุมงคลอื่น ๆ ของท่านก็มีมาก ชาวเมืองเพชรโดยเฉพาะเขาบ้านแหลม เขามีสโลแกนว่า "พระขรรค์เล่ม ปลัดขิกอัน ผ้ายันต์ผืน ลุยได้ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ" เนื่องเพราะว่าส่วนใหญ่เป็นลูกตังเก ลงทะเลบ้านแหลมกัน ในส่วนอื่น ๆ ก็ต้องลงไปของสายใต้ ไม่ว่าจะเป็นหลวงปู่ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ หลวงพ่อเอียด วัดดอนศาลา หลวงพ่อปาน วัดเขาอ้อ หรือหลวงพ่อคง วัดบ้านสวน เพียงแต่ว่าสายใต้นั้นข้อห้ามมีมาก เนื่องเพราะว่ามาทางไสยศาสตร์ล้วน ๆ ถ้าผิดข้อห้าม บางทีเสื่อมเลยก็มี แต่ทหารตำรวจสามชายแดนภาคใต้ อย่างไรเสียก็ต้องมีวัตถุมงคลสายเขาอ้อติดตัวอยู่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:38 |
| สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#5
|
||||
|
||||
|
กระผม/อาตมภาพเองศึกษาวิชาสายนี้มาไม่มาก เนื่องเพราะว่าสมัยก่อนเดินทางไกลยากมาก แล้วก็ไม่อยากที่จะไปค้างนาน ๆ เพราะว่ายุคที่กระผม/อาตมภาพไปนั้น หลวงปู่กลั่น (พระครูอดุลธรรมกิตติ์) ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อ ท่านจะล็อคคอไว้ให้เป็นเจ้าอาวาสรูปต่อไป ก็เลยเรียนอะไรได้ไม่มาก เพราะกลัวว่าจะต้องเป็นเจ้าอาวาส..!
เนื่องเพราะว่าสายเขาอ้อไม่สนใจว่าคุณเป็นใครมาจากไหน หากศึกษาวิชาแล้ว "ทำขึ้น" เขาจะยึดตัวเอาไว้ ก็เลยกลายเป็นอะไรที่ทำให้ต้องเรียนแค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ แล้วยังติดหนี้ที่ยังรับปากท่านไว้ว่าจะหาข้าวสารดำไปให้ ซึ่งปัจจุบันนี้ก็หาง่ายขึ้นมากแล้ว เพราะว่าพวกเรานิยมพวกข้าวไรซ์เบอร์รี่ ปลูกกันมากมาย สมัยก่อนไม่ค่อยจะมี สรุปลงตรงที่ว่า ถ้าเป็นยามศึกยามสงคราม ให้หาวัตถุมงคลรุ่นเก่าหน่อย เพราะว่าครูบาอาจารย์ยุคนั้น จำเป็นที่จะต้องทำออกไปในด้านมหาอุดคงกระพัน หรือแม้แต่ของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ก็คุ้มชีวิตกระผม/อาตมภาพให้มาจนรอดถึงทุกวันนี้ ทั้ง ๆ ที่ปืนใหญ่ของฝ่ายเขมรถล่มลงมา ๑๕ นาที เกือบ ๓๐๐ - ๔๐๐ นัด บังเกอร์ทรุดพังทลายหมด แต่ก็ไม่เป็นอันตรายอะไร เพราะว่าพกธงมหาพิชัยสงครามกับเหรียญกูผู้ชนะของท่านเอาไว้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าต้องการความปลอดภัยก็หาวัตถุมงคลรุ่นเก่า ๆ ถ้าต้องการเรื่องมหาลาภ มหานิยม ก็หาวัตถุมงคลรุ่นใหม่ ๆ ต้องบอกว่าแล้วแต่สถานการณ์จะพาไปก็แล้วกัน สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:41 |
| สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) | |
|
|