กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกันยายน ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 23-09-2025, 19:52
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 583
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 28,000 ครั้ง ใน 1,071 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๘


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 23-09-2025, 21:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,187
ได้ให้อนุโมทนา: 160,366
ได้รับอนุโมทนา 4,509,025 ครั้ง ใน 36,800 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ช่วงนี้ฝนฟ้าก็จะตกหนักกว่าปกติสักหน่อย เพราะว่า "พายุโซนร้อนรากาซา" ผันจากพายุโซนร้อนขึ้นไปเป็นพายุไต้ฝุ่น ความเร็วลมเหนือศูนย์กลางเทียบเท่าเฮอร์ริเคนระดับ ๕ ก็แปลว่าถ้าศูนย์กลางอยู่บริเวณไหน ก็คงจะย่อยยับไปตาม ๆ กัน..!

เรื่องของภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นทุกวัน กระผม/อาตมภาพได้กล่าวไปแล้วว่าเกิดจากการกระทำของมนุษย์เราเอง โดยเฉพาะในส่วนของสงครามต่าง ๆ พูดถึงสงคราม กระผม/อาตมภาพก็รอวันรอคืนว่าจะถึงวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๘ นี้เมื่อไร เนื่องเพราะว่า
ในงานบวงสรวงไหว้ครูและเป่ายันต์เกราะเพชร ต้องอาศัยกำลังใจของญาติโยมส่วนมาก ในการที่จะไประงับเรื่องร้ายของบ้านเราเมืองเราให้เบาลง แต่ก็เกรงว่าจะไปไม่ถึง เนื่องเพราะว่าวาระกรรมของคนส่วนใหญ่มีผลมาก..!

ความดีความชั่วที่เราท่านทั้งหลายทำไม่ได้หายไปไหน แต่ว่ารวมตัวกันเป็นพลังงานทั้งด้านบวกและด้านลบ ที่มีสภาวะน่าสะพรึงกลัวมาก ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเห็น "ตาพายุ" รากาซา ในภาษาตากาล็อกที่แปลว่า "ลมกรรโชกแรง" แล้วลองเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทดู ก็จะอยู่ในลักษณะเดียวกับพลังงานฝ่ายไม่ดี ที่กำลังชักจูง ชักนำ บุคคลที่กำลังน้อย ก็คือ ขาดศีล สมาธิ ปัญญา ยิ่งขาดมากเท่าไร ก็โดนจูงให้ไหลตามไปได้ง่าย แล้วก็มีแต่จะ คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว แบบตั้งตัวไม่ได้ ประมาณว่า "ดีชั่วรู้หมด แต่อดไม่ได้" เพราะว่านอกจากกิเลสในใจของตนแล้ว ยังมีกำลังจากภายนอกมาหนุนเสริมอีกด้วย..!

ดังนั้น..
ยิ่งช่วงท้ายของศาสนามากเท่าไร บุคคลที่จะเข้าถึงมรรคถึงผล ก็จะน้อยลงมากเท่านั้น และเข้าถึงได้ยากมากเท่านั้น ก็เพราะว่ากำลังฝ่ายข้างไม่ดีมีมากกว่า หรือพูดง่าย ๆ ว่ามีกำลังสูงกว่า คอยที่จะดึงเราลงสู่ฝ่ายต่ำ แล้วสภาพจิตภายในใจของเราที่เต็มไปด้วยกิเลส ก็ยินดีที่จะคล้อยตามอยู่แล้ว

จึงกลายเป็นเรื่องที่ว่า ทำไมเมื่อพระอัญญาโกณฑัญญะมี "ดวงตาเห็นธรรม" ว่า "สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดแต่เหตุ ถ้าเหตุดับ สิ่งนั้นย่อมดับลงไปด้วย" แล้วทำให้บรรดาพรหมเทวดาทั้งหลายดีอกดีใจ ถึงขนาดแซ่ซ้องสาธุการ จนแผ่นดินไหวสะท้านสะเทือนไปเป็นหมื่นโลกธาตุ..!

ก็เพราะว่าโลกเรามืดมนมานาน เมื่อกระแสแห่งธรรมจุดติดขึ้นมา เหมือนกับตามประทีปในความมืด ให้บุคคลผู้มีตาดีมองเห็น บรรดาท่านที่รู้สึกว่า เมื่อไรจะถึงเวลานั้นเสียที เมื่อเห็นโอกาสนั้นปรากฏขึ้นจึงได้ดีใจกันมาก ก็คือนอกจากจะมีมุทิตาจิตยินดีในความดีของคนอื่นแล้ว ยังดีใจที่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ปรากฏขึ้นครบถ้วนสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-09-2025 เมื่อ 01:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 23-09-2025, 21:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,187
ได้ให้อนุโมทนา: 160,366
ได้รับอนุโมทนา 4,509,025 ครั้ง ใน 36,800 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติวัตรปฏิบัติธรรม ไม่ต้องมาก เอาแค่ทรงปฐมฌานละเอียดได้ก็พอ กำลังของปฐมฌานละเอียดที่กด รัก โลภ โกรธ หลง ในใจของเราให้ดับสนิทลงชั่วคราว จากบุคคลที่โดนไฟใหญ่ ๔ กอง ก็คือ รัก โลภ โกรธ หลง เผาอยู่ตลอดเวลา อยู่ ๆ ไฟเหล่านั้นดับลง ย่อมมีความสุขเยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน..!

ถ้าเรารู้จักใช้ปัญญาคิดต่อเพียงเล็กน้อยว่า แค่โลกียฌานเบื้องต้นเท่านั้น ยังสร้างความสุข ความเยือกเย็นใจแก่เราได้ขนาดนี้ แล้วบุคคลที่ทรงฌาน ๒ ก็ดี ฌาน ๓ ก็ดี ฌาน ๔ ก็ดี จะมีความสุขขนาดไหน ? เนื่องเพราะว่าถ้าสามารถทรงเอาไว้ได้ในระยะยาวนาน ถึงขนาดมีคนหลงผิดว่าเป็นพระอรหันต์ไปแล้วก็มี แล้วผู้ที่ทรงสมาบัติ ๘ ได้จะมีความสุขขนาดไหน ?

แต่ว่าฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ ก็ยังเป็นโลกียะ หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ สามารถที่จะพลัดลงสู่ทุคติได้ตลอดเวลา ดังนั้น..บุคคลที่ก้าวเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าเบื้องต้น คือพระโสดาบัน สามารถปิดอบายภูมิทั้ง ๔ ได้อย่างแน่นอนแล้ว ท่านจะมีความสุขขนาดไหน ? เพราะว่าไม่ต้องหวั่นเกรงว่าตนเองจะพลัดลงสู่อันตรายแบบนั้นอีก..!

แล้วจาก
พระโสดาบันที่ รัก โลภ โกรธ หลง ยังเหมือนกับคนปกติทั่วไป ยกเว้นว่ามีการระงับยับยั้งใจไม่ให้ละเมิดศีล มีความรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย พอก้าวขึ้นสู่ความเป็นพระสกทาคามี ซึ่งสามารถที่จะระงับ รัก โลภ โกรธ หลง ส่วนใหญ่ลงได้ โดยเฉพาะราคะกับโทสะ ส่งผลได้น้อยมาก ท่านจะมีความสุขขนาดไหน ?

แล้วบุคคลที่ทรงความเป็นพระอนาคามีได้
ตัดรัก ตัดโลภ ตัดโกรธ ได้อย่างเด็ดขาด ไม่ต้องลงมาเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิเบื้องต่ำอีก รอเวลาเข้าสู่พระนิพพานอยู่ที่สุทธาวาสพรหมเลย ท่านจะมีความสุขขนาดไหน ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-09-2025 เมื่อ 01:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 23-09-2025, 21:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,187
ได้ให้อนุโมทนา: 160,366
ได้รับอนุโมทนา 4,509,025 ครั้ง ใน 36,800 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แล้วบุคคลที่เข้าถึงอรหัตผล พ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงโดยสิ้นเชิง ไม่มีสิ่งร้อยรัดผูกพันท่านไว้ได้ ไม่มีธุลีกิเลสใด ๆ แปดเปื้อนใจของท่านได้ ท่านจะมีความสุขขนาดไหน ?

แล้วองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นครูของทั้งมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย เป็นผู้นำพาเขาทั้งหลายเหล่านั้นให้ล่วงพ้นจากกองทุกข์ได้ พระองค์ท่านจะมีความสุขขนาดไหน ?

ถ้าเรารู้จักใช้ปัญญาพินิจพิจารณาเพียงเล็กน้อยแค่นี้ ความเคารพมั่นคงในพระรัตนตรัยก็จะเกิดขึ้นแก่เราทันที เราก็จะเป็นผู้ที่ไม่ล่วงเกินต่อพระรัตนตรัยด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

ก็แค่เพิ่มความรู้สึกว่า
"เราจะต้องตาย" เข้าไปในใจของเราว่า ความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ถ้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออก..ถ้าไม่หายใจเข้าก็ตายอีกเช่นกัน แต่ว่าถ้าตายลงไปแล้ว ขึ้นชื่อว่าการเกิดใหม่สำหรับเราจะไม่มี เราไม่ปรารถนาร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์นี้อีก ไม่ปรารถนาในการเกิดมาบนโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนนี้อีก หากหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือเกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ จนถึงแก่ชีวิตก็ตาม เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว..!

ถ้าท่านทั้งหลายสามารถรักษากำลังใจแบบนี้เอาไว้ ช่วงเช้าสัก ๑๐ นาที ๑๕ นาที ก่อนนอน ๑๐ นาที ๑๕ นาที ถ้ารักษาไว้ได้มั่นคงทุกวัน ตายเมื่อไรท่านก็จะพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๒๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-09-2025 เมื่อ 01:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:48



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว