#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ อยู่ในช่วงที่ฝนฟ้าตกหนัก แต่ว่าเมื่อเช้างานการตักบาตรตามโครงการ "วันเสาร์ใส่บาตรตลาดริมแคว ยลวิถีเมืองท่าขนุน" ก็ยังอุตส่าห์มีนักท่องเที่ยวมาร่วมตักบาตรกันหลายราย เนื่องเพราะว่าถ้าต้องการที่จะดูทะเลหมอก
ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่เหมาะมาก เนื่องจากว่าเป็นช่วงที่ใกล้จะปลายฝนต้นหนาว ถ้ามาถูกจังหวะ ก็จะเห็นทะเลหมอกที่งดงามมาก แต่ก็อยู่ในลักษณะที่ต้อง "เสี่ยงดวง" ก็คือมาแล้วอาจจะเจอฝนตกจนไปไหนไม่ได้เลย หรือไม่ก็อย่างเมื่อเช้า อุตส่าห์โชคดีที่ไม่เปียกฝน สำหรับช่วง ๓ - ๔ วันที่ผ่านมา มีข่าวของหลวงพ่อพระครูวิสุทธิ์วรญาณ อดีตเจ้าอาวาสวัดแม่โจ้ ทำอัตวินิบาตกรรม ก็คือผูกคอตนเองมรณภาพ ทิ้งจดหมายเอาไว้ว่าเครียดมาก เนื่องเพราะว่าทำบัญชีวัดไม่เป็น แม้กระทั่งทางคณะสงฆ์เปิดอบรมให้แล้วก็ยังทำไม่เป็น เรื่องพวกนี้ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ถ้าบุคคลที่ "หัวไม่ไป" จริง ๆ อย่างไรก็ไม่สามารถที่จะเรียนรู้สิ่งที่เกินความสามารถของปัญญาตนเองไปได้ ในช่วงที่กระผม/อาตมภาพทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกอยู่ มีการนัดเจอครูบาอาจารย์อาทิตย์ละ ๑ ครั้ง มีบางครั้งก็ไปพบกับนิสิตหลายรูปที่ใจเดียวกัน นัดในวันเวลาเดียวกัน หรืออาจจะเป็นเพราะว่าครูบาอาจารย์ท่านเห็นว่า รับนัดกระผม/อาตมภาพไปแล้ว ก็เลยรับนัดรับท่านอื่นไปด้วย แต่ก็มีนิสิตบางรูปที่ท่านอธิบายขยายความแล้ว ขยายความอีก ว่าต้องทำวิทยานิพนธ์ไปในแนวใด แล้วลูกศิษย์รับไม่ได้ ก็คือความคิดไปไม่ถึงตามแนวที่ท่านอาจารย์บอกทางเอาไว้ เมื่อขอให้ท่านอธิบายหลาย ๆ ครั้งเข้า ท่านอาจารย์ก็ผลักวิทยานิพนธ์ออกด้านข้างไป บอกว่า "ผมพูดไป ๖ - ๗ ครั้งแล้ว เสียเวลาท่านอื่นที่นั่งรออยู่..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:19 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
นั่นคือลักษณะของบุคคลที่ปัญญาไม่ถึง วิสัยทัศน์ไม่ถึง หรือที่กระผม/อาตมภาพใช้คำว่า "โหนไม่ถึง" ก็คือ รับรู้ รับฟัง แต่ไม่เข้าใจ มองไม่เห็นหนทางว่าจะทำอย่างไรต่อไปได้ ก็แบบเดียวกับหลวงพ่อพระครูวิสุทธิ์วรญาณ ที่ทางคณะสงฆ์จัดอบรมการทำบัญชีแล้ว ท่านก็ยังทำไม่ได้ แล้วทุกท่านอย่าไปคิดว่าคณะสงฆ์จัดอบรมแล้ว เขาจะมาอธิบายละเอียดทุกขั้นตอน แล้วปล่อยให้ซักถามทีละจุด เวลาของวิทยากรไม่ได้มากขนาดนั้น และวิทยากรบางท่านก็อธิบายตามที่ตนเองเข้าใจ ก็คือประมาณว่า "กูรู้แล้ว ในเมื่อบอกไป มึงก็ต้องรู้ด้วย..!"
จึงเกิดปัญหาขึ้นมาตรงจุดที่ว่า ถ้าหากว่าไม่ทำ ผู้บังคับบัญชาก็จะเล่นงานเอา เพราะถือว่าไม่สนองงานคณะสงฆ์ แล้วยังมีความผิดตามกฎหมาย ในฐานะเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องเพราะว่าเจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย หลวงพ่อท่านจึงเครียดจนหาทางออกไม่ได้ และอาจจะประกอบกับกรรมเก่าเข้ามาพอดี ก็เลยตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง หมดเรื่องหมดราวไป..! เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง ก็คือจางหายไปในเวลาอันรวดเร็ว เพราะว่าพระผู้บังคับบัญชาระดับสูงก็คงไม่มีใครยอมรับว่า ตนเองไปกดดันจนหลวงพ่อท่านต้องผูกคอตาย ญาติโยมที่รู้ข่าวหลายต่อหลายราย ก็เข้าไป "คอมเม้นท์" ในลักษณะที่ว่า "เป็นพระแล้วทำไมปล่อยวางไม่ได้ ?" "เรื่องแค่นี้ต้องเครียดจนผูกคอตายเลยหรือ ?" ต้องบอกว่าให้ไอ้คนพูดมาเจอด้วยตนเอง จะได้รู้ว่าเรื่องบางอย่างนั้นปล่อยวางไม่ได้จริง ๆ เนื่องเพราะว่าปัญญาไม่ถึง..! ดังนั้น..ญาติโยมหลายต่อหลายท่าน พอมาเล่าสถานการณ์ให้กระผม/อาตมภาพฟัง แล้วถามวิธีแก้ไข กระผม/อาตมภาพจึงได้บอกไปว่า "ไม่มีประโยชน์ที่จะมาถาม เพราะว่ากำลังใจไม่เท่ากัน" เรื่องที่กระผม/อาตมภาพเห็นว่าควรจะตัดทิ้งอย่างเด็ดขาด แต่โยมทำไม่ได้ ถามไปก็ไร้ประโยชน์ เนื่องเพราะว่าระดับกำลังใจไม่เท่ากัน การแก้ไขปัญหาจึงแตกต่างกัน ไม่ใช่ถึงเวลาเห็นท่านอับจนหนทาง แล้วเราก็จะไปตราหน้าว่า "เรื่องแค่นี้หลวงพ่อก็ต้องคิดสั้นด้วย" เชื่อกระผม/อาตมภาพเถอะ..ว่าท่านคิดยาวแล้ว และคิดมาหลายคืนแล้วด้วย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:22 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
เรื่องพวกนี้สำคัญที่สุดก็คือทางคณะสงฆ์ของเรา โดยเฉพาะผู้ที่สนองงานคณะสงฆ์ ก็คือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทำไมไปปล่อยให้บุคคลที่ไร้ศีลไร้ธรรมยังไม่พอ ยังขาดความเข้าใจเรื่องของคณะสงฆ์ มาออกกฎบีบคั้นจนกระทั่งพระภิกษุสามเณรจะอยู่กันไม่ได้ ? แล้วก็พอกันทีกับไอ้คำพูดชุ่ย ๆ ประเภทที่ว่า "ถ้าไม่ผิดแล้วจะกลัวอะไร" เพราะว่าพระท่านไม่ผิดมาตั้งแต่ต้น แต่พวกมึงนั่นแหละ..ที่ไปบีบคั้นท่านให้ผิด..!
ปัจจัยไทยธรรมต่าง ๆ พระได้มาจากญาติโยมด้วยความศรัทธาเป็นการส่วนตัว ไม่ใช่งบประมาณแผ่นดินจากภาษีอากร ที่จะมาจ้องจับผิดกันว่ามีการโกงการกินหรือเปล่า ? วิธีที่ดีที่สุดก็คือแยกแยะให้ชัดเจนว่า อะไรเป็นเรื่องส่วนตัว อะไรเป็นเรื่องของสงฆ์ อย่างที่กระผม/อาตมภาพทำอยู่เสมอ ก็คือถ้าไม่ชัดเจนเมื่อไรก็ผลักเข้ากองกลางเป็นของสงฆ์ไปหมด ยกเว้นที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าถวายเป็นการส่วนตัว จึงจะเอาเข้าบัญชีส่วนตัว แล้วทุกวันนี้ ท่านทั้งหลายก็จะเห็นว่าบัญชีวัดท่าขนุนติดลบทุกปี แล้วเอาที่ไหนมาติดลบ ? ก็เอามาจากเงินส่วนตัว ก็แปลว่าทุกวันนี้ กระผม/อาตมภาพต้องควักกระเป๋าตัวเอง เพื่อไปโปะในกิจการคณะสงฆ์จนนับไม่ถ้วนแล้ว อยากจะถามว่าไอ้คนที่ออกกฎเกณฑ์มาเพื่อให้พระปฏิบัติ เคยทำแบบนี้บ้างหรือไม่ ? แม้แต่บาทเดียวเคยควักกระเป๋าเพื่อส่วนรวมหรือไม่ ? เห็นแต่เบิกทุกอย่าง ไม่ว่าจะเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง เงินค่ายานพาหนะ เบี้ยประชุม แล้วยังทำหน้าที่แบบ "เช้าชามเย็นชาม" อีกต่างหาก..! ในส่วนนี้ถ้าจะตำหนิคณะสงฆ์ของเราก็ไม่ถนัดปาก ต้องตำหนิหน่วยงานที่เป็นกระบอกเสียงของคณะสงฆ์ ก็คือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ว่าปล่อยให้คนอื่นมาเหยียบหัวพวกคุณได้อย่างไร ? เพราะว่าเป็นคนละหน่วยงานกัน ทำไมไม่รู้จักออกปากแทนพระสงฆ์ของเราบ้าง ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:25 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
แล้วถ้าจะตำหนิสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นจำเลยที่ ๑ มหาเถรสมาคมก็ต้องเป็นจำเลยที่ ๒ เพราะว่าตั้งแต่เกิดเรื่องมา บุคคลที่พอจะมีน้ำหนัก เอ่ยปากอะไรออกมาแล้วสังคมยอมรับ ทุกท่านเก็บตัวเป็น "เตมีย์ใบ้" รักษาสถานภาพตนเองเท่านั้น ใช้ภาษาชาวบ้านก็คือ "ไม่อยากเปลืองตัว" ปล่อยให้พระหนุ่มเณรน้อยออมาเต้นกันเอง กลายเป็นที่ดูถูกดูแคลนของศาสนาอื่นเขา แค่ LGBTQ ท่านหนึ่งไปด่าสาวต่างศาสนาเข้า ผู้คนของศาสนาเขาดาหน้ากันออกมาปกป้องคนของเขา เรียกร้องให้ขอโทษให้ได้ แม้ว่าจะโดนลงโทษให้ออกจากงานไปแล้วก็ตาม..!
ท่านทั้งหลายเคยเห็นบ้างหรือไม่ว่า พุทธศาสนิกชนของเราก็ดี หน่วยงานที่ทำหน้าที่แทนคณะสงฆ์ก็ดี แม้แต่รัฐมนตรีที่กำกับงานคณะสงฆ์ก็ดี มีใครออกมาปกป้องพระภิกษุสามเณรของเราบ้าง ? จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายจะพึ่งพาอาศัยคนอื่นไม่ได้ นอกจากต้องเคร่งครัดในพระธรรมวินัยให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วเรื่องพวกนี้ก็จะบีบคั้นมารอบด้าน จนกระทั่งอาจจะมีพระสังฆาธิการลาออกจากตำแหน่งกันมากมายในภายหน้า แล้วพระพุทธศาสนาของเราก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะว่าเข้าไปเมื่อไร ก็แปลว่าจะเจอกับเรื่องแบบนี้ และ "โดนลอยแพ" ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม โดยไม่มีใครออกมาปกป้องดูแล จึงอยากจะบอกกล่าวกับท่านทั้งหลายว่า เรื่องอะไรที่เกิดขึ้น ต้องรู้จักวิเคราะห์แยกแยะด้วย ไม่ใช่ถึงเวลาก็เอาแต่ด่าเขาอย่างเดียว ต้องมีการแนะนำวิธีแก้ไขด้วย อย่างเช่นว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์และเจ้าอาวาส ต้องอบรมสั่งสอนพระภิกษุสามเณรของเราให้อยู่ในกรอบของพระธรรมวินัย ให้การศึกษาเพื่อให้ท่านรู้เท่าทันทางโลก ฉวยโอกาสที่วิกฤตศรัทธาเกิดขึ้น ทำตนให้น่าเลื่อมใสศรัทธา ไม่ใช่ว่าออกมาด่าอย่างเดียว โดยไม่ชี้ทางออกบอกทางถูกให้ ถ้าอย่างนั้นก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าเขาไม่ฟังเราอยู่แล้ว..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:27 |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|