กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า เมื่อวานนี้, 19:48
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 537
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 26,317 ครั้ง ใน 1,025 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๘


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
กมลโกศลจิต​ (เมื่อวานนี้), กฤษฎากร (เมื่อวานนี้), ไก่เถื่อน (เมื่อวานนี้), เถรี (เมื่อวานนี้), นะมะพะทะ (เมื่อวานนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (เมื่อวานนี้), พุทธภูมิ (เมื่อวานนี้), รัตตัญญู (เมื่อวานนี้), ลุงยามธรรมดา (เมื่อวานนี้)
  #2  
เก่า เมื่อวานนี้, 22:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,760
ได้ให้อนุโมทนา: 158,775
ได้รับอนุโมทนา 4,492,812 ครั้ง ใน 36,370 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เห็นญาติโยมทั้งหลาย ตลอดจนกระทั่งเพื่อนสหธรรมิก มาแสดงความยินดีในการที่กระผม/อาตมภาพได้รับพระราชทานเลื่อนเป็นพระครูสัญญาบัตรเทียบเจ้าคณะอำเภอชั้นพิเศษ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ก็รู้สึกแปลก ๆ อยู่เหมือนกัน เพราะว่าโดยปกติแล้วเป็นคนที่ตายด้านกับเรื่องพวกนี้ ไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดจากการปฏิบัติธรรมมากเกินไปหรือเปล่า

เพราะว่าในเรื่องของลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ที่เขาเรียกว่าโลกธรรม ๘ ก็คือเป็นหลักธรรมที่เป็นธรรมดาของโลกว่าจะต้องมีแบบนี้ ซึ่งมีแต่จะสร้างความหวั่นไหวให้กับบุคคล ก็คือในส่วนที่ดีก็หวั่นว่าจะเสียไป ในส่วนที่ไม่ดีก็ทำให้ไหวสะเทือนเมื่อกระทบเข้า ซึ่งทั้งสองอย่าง ถ้าเรายินดียินร้าย ก็ล้วนแล้วแต่ก่อทุกข์ให้ทั้งสิ้น

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น อาจจะเกิดจากการฝึกปฏิบัติธรรมกรรมฐานมาตั้งแต่วัยรุ่น เมื่อมาถึงตรงนี้จึงรู้สึกเฉย ๆ กับสารพัดเรื่อง แต่ก็ดีตรงที่ว่า พอเราไม่ยินดียินร้าย กำลังใจอยู่ในลักษณะกลาง ๆ ก็ไม่สุขไม่ทุกข์กับอะไรง่าย ๆ

จะว่าไปแล้ว ก็เป็นเรื่องที่พวกเราทุกคนจะต้องพยายามทำให้ถึงตรงนี้เป็นอย่างน้อย เพราะว่าถ้าทำถึงแล้ว ทุกข์ของเราก็จะน้อยลง เหลือเพียงทุกข์ตามสภาพของร่างกายนี้เท่านั้น แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ต้องใช้ความพยายามและระยะเวลา ในการที่จะค่อย ๆ พิจารณาตัดละไปเรื่อย ไม่ใช่เรื่องที่เราท่านจะทำได้ทำถึงภายในครั้งเดียว

เนื่องเพราะว่าบุคคลในปัจจุบันที่จะเป็นอุคฆฏิตัญญูนั้น มีน้อยยิ่งกว่าน้อย ประเภทฟังเพียงข้อหัวธรรมก็บรรลุมรรคบรรลุผลกันเลย บุคคลประเภทนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากวาดไปเกือบหมดแล้ว ส่วนที่เหลือก็นาน ๆ จะโผล่มาสักครั้งหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 3 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
กฤษฎากร (เมื่อวานนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (เมื่อวานนี้), พุทธภูมิ (เมื่อวานนี้)
  #3  
เก่า เมื่อวานนี้, 22:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,760
ได้ให้อนุโมทนา: 158,775
ได้รับอนุโมทนา 4,492,812 ครั้ง ใน 36,370 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องของวิปจิตัญญู เป็นบุคคลที่ถ้าอธิบายขยายความ ก็จะเข้าใจและเข้าถึงธรรมนั้นได้ ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเรา

ส่วนใหญ่แล้วพวกเราอยู่ในระดับเนยยะ ก็คือผู้สามารถบรรลุธรรมได้ แต่ไปเหนื่อยที่ครูบาอาจารย์ต้องจ้ำจี้จ้ำไช ปากเปียกปากแฉะอยู่ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นหันหลังไปสามก้าวก็ลืมแล้ว

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การที่จะฝึกฝนตนเองให้เข้าถึงหลักธรรมต่าง ๆ จึงต้องใช้ความเพียรพยายามมาก แต่โอกาสสำเร็จมีน้อย เรียกง่าย ๆ ว่าจัดอยู่ในประเภททุกขาปฏิปทา ก็คือปฏิบัติก็ลำบาก ทันธาภิญญา บรรลุก็ยาก แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะท้อถอย

พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านสอนว่า คนเราเกิดมาก็มี ๑๐ นิ้วเท่ากัน ยกเว้นคนพิเศษบางท่าน ในเมื่อ ๑๐ นิ้วเท่ากัน คนอื่นทำได้ เราต้องทำได้ หรือถ้าคนอื่นทำได้ เราต้องทำได้ดียิ่งกว่านั้น เนื่องเพราะว่ากำลังใจของบุคคลที่ต้องการมรรคต้องการผล อย่างน้อย ๆ ต้องสูงกว่าบุคคลทั่วไป ๔ เท่า ก็คือถ้าคนทั่วไปใช้ความพยายามเพียง ๑ เราต้องใช้ความพยายามถึง ๔ โดยที่ท่านพูดในลักษณะล้อเล่นว่า แกต้องบ้ากว่าคนทั่วไป ๔ เท่า ถึงจะเข้ามรรคเข้าผลได้

คราวนี้เราท่านทั้งหลายพอฟังครูบาอาจารย์ ก็มักจะเกิดอาการไฟไหม้ฟาง ก็คือกระตือรือร้น คึกคักอยากจะปฏิบัติธรรมให้ได้แบบนั้น แต่อยู่ได้พักเดียว ประมาณว่าไหม้วูบเดียวก็หมดไป

พวกเราทั้งหลายจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาคำตอบให้ได้ ว่าทำไมเราถึงทำไม่ได้ ทำไม่สำเร็จเสียที จะว่าไปแล้ว สาเหตุง่าย ๆ ก็มีแค่ ๒ อย่าง อย่างที่ ๑ ก็คือทำเกิน อย่างที่ ๒ ก็คือทำขาด การทำเกินในสมัยปัจจุบันนี้ไม่ต้องไปหา มีแต่ทำขาดเท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 3 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
กฤษฎากร (เมื่อวานนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (เมื่อวานนี้), พุทธภูมิ (เมื่อวานนี้)
  #4  
เก่า เมื่อวานนี้, 22:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,760
ได้ให้อนุโมทนา: 158,775
ได้รับอนุโมทนา 4,492,812 ครั้ง ใน 36,370 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แม้กระทั่งในสมัยพุทธกาล ตัวอย่างบุคคลที่ทำเกินมีเพียงรายเดียว คือพระโสณโกฬิวิสะเถระ ด้วยความที่ท่านเป็นลูกมหาเศรษฐี ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี ที่เขาใช้คำว่าสุขุมาลชาติประมาณว่าละเอียดอ่อนชนิดลมพัดกระทบก็อาจจะผิวแตกได้

แต่ว่าเมื่อท่านบวชเข้าไปแล้ว ทุ่มเทชีวิตให้กับการปฏิบัติธรรม เดินจงกรมจนเท้าแตก เดินต่อไปไม่ไหว ท่านก็ใช้วิธีคลานไป คลานจนกระทั่งมือและหัวเข่าแตกหมด ท่านก็เอาตัวนาบพื้น แล้วใช้คางเกาะพื้นไป องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นดังนั้น จึงตรัสว่าพระโสณโกฬิวิสะเถระ ใช้ความเพียรในการปฏิบัติธรรมมากเกินไป ต้องลดลงมาให้อยู่ในจุดที่พอดี จึงจะได้มรรคได้ผล

ในปัจจุบันบุคคลประเภทนี้ไม่ต้องไปหา กระผม/อาตมภาพเกิดมา ๖๐ กว่า จะ ๗๐ ปีแล้ว ยังไม่เจอเลย ก็แปลว่าที่เหลือ พวกเราก็คือทำขาด ถ้าถามว่าขาดอย่างไร ? ก็คือเราท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรมแล้วรักษาอารมณ์ไม่เป็น

ส่วนใหญ่ตอนนั่งอยู่อารมณ์ทรงตัว แต่พอลุกขึ้นก็ทิ้งหมด เหมือนอย่างกับว่าเราสั่งสมกำลัง หรือว่าสั่งสมเงินทองเพื่อซื้อสิ่งของ แต่เราเอาไปละลายในเรื่องอื่นจนหมดทุกครั้ง


ถ้าถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าเอากำลังในการปฏิบัติธรรมไปละลายทิ้งทุกครั้ง ? ก็แค่วันนี้ช่วงบ่าย เราเดินจงกรม ๑ ชั่วโมง ภาวนา ๑ ชั่วโมง จากช่วงบ่ายมาถึงตอนนี้ เราฟุ้งซ่านไปแล้วกี่ชั่วโมง ? แล้วเวลาที่ผ่านมา เราฟุ้งซ่านไปแล้วกี่ชั่วโมง ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 3 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
กฤษฎากร (เมื่อวานนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (เมื่อวานนี้), พุทธภูมิ (เมื่อวานนี้)
  #5  
เก่า เมื่อวานนี้, 22:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,760
ได้ให้อนุโมทนา: 158,775
ได้รับอนุโมทนา 4,492,812 ครั้ง ใน 36,370 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การปฏิบัติธรรมเหมือนกับการว่ายทวนน้ำ เราว่ายทวนน้ำมา ๒ ชั่วโมง แล้วที่เหลือก็ปล่อยให้ลอยน้ำไป จนกระทั่งถึงเวลาปฏิบัติธรรม เราก็มาว่ายทวนน้ำกันใหม่ พอเลิกปฏิบัติธรรมก็ปล่อยลอยน้ำไปอีก แล้วเราว่ายทวนน้ำ ๒ ชั่วโมง ที่เหลือ ๒๒ กว่าชั่วโมงปล่อยลอยน้ำไป ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเอาดีไม่ได้

ดังนั้น การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เลิกแล้วเลิกเลย หากแต่ว่าเลิกแล้วต้องประคับประคอง รักษาอารมณ์ไว้ให้เป็น ให้ความสงบระงับจากรัก โลภ โกรธ หลงอยู่กับเราให้นานที่สุด

แรก ๆ ได้สักนาที ๒ นาทีก็พังแล้ว แต่ถ้าเพียรพยายามมากเข้าก็ได้สัก ๕ นาที ๑๐ นาที ๒๐ นาที เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามความเพียรของเรา ท้ายที่สุดก็ได้เป็นครึ่งวัน ได้เป็น ๑ วัน และถ้าหากว่าระมัดระวัง ไม่ทอดทิ้ง ทำได้ต่อเนื่อง ก็จะเป็น ๒ วัน ๓ วัน ๔ วัน ๕ วัน ได้เป็นอาทิตย์ ได้เป็นเดือน ได้เป็นปี

ลักษณะอย่างนี้ การปฏิบัติของเราจึงจะมีความก้าวหน้า ไม่เช่นนั้นแล้วทำเท่าไรก็ไม่พอกินไม่พอใช้ ไม่สามารถที่จะสู้กับรัก โลภ โกรธ หลง ได้เสียที ไม่สามารถที่จะต้านทานโลกธรรมได้เสียที ก็เพราะว่าเราทำขาด ก็คือรักษาอารมณ์ใจไม่เป็น

จึงขอฝากเป็นการบ้านสำหรับนักปฏิบัติทุกคน ว่าการปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าสามารถรักษาอารมณ์ใจไว้ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงยิ่งดี ไม่ใช่นั่งไป ๓๐ นาทีแล้วก็ปล่อยทิ้งไปทั้งวัน ถึงเวลาค่อยมานั่งอีกสัก ๓๐ นาที ถ้าแบบนี้ชาตินี้ก็คงเอาดีได้ยาก

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้



พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๑๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 4 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
กฤษฎากร (เมื่อวานนี้), เทิด (เมื่อวานนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (เมื่อวานนี้), พุทธภูมิ (เมื่อวานนี้)
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:46



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว