#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพเกือบจะไข้จับตาย เนื่องเพราะว่าอยู่ ๆ ฝนก็หยุดตก อากาศกลายเป็นฤดูหนาว แดดเปรี้ยงเลย..!
อำเภอทองผาภูมินั้นอากาศร้อนจัด หนาวจัดสุดขั้วอยู่เสมอ ฝนหยุดเมื่อไรก็จะออกอาการหนาวทันที โดยเฉพาะระยะหลังประมาณ ๗ - ๘ ปีมานี้ เมื่อฝนหยุด อากาศก็เหมือนกับฤดูหนาว ทำให้ต้นไม้ภายในวัดหลายต้นที่ไวต่ออากาศก็รีบทิ้งใบ เพราะเข้าใจว่าเข้าฤดูหนาวแล้วจริง ๆ แต่ปรากฏว่าจากที่เคยทิ้งใบเฉพาะฤดูหนาว ก็กลายเป็นทิ้งใบปีละ ๗ - ๘ ครั้ง ไม่ทราบเหมือนกันว่าต้นไม้ป่วยได้เหมือนคนหรือเปล่า ? แต่คนอย่างกระผม/อาตมภาพจะป่วยตาย เพราะอากาศแบบนี้นี่เอง..! เมื่อนำพระภิกษุสามเณรออกบิณฑบาตและฉันเช้าเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็เดินทางไปยังสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี หมู่ที่ ๕ ตำบลสหกรณ์นิคม อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อทำการบวงสรวงบูชาพระรัตนตรัย และบอกกล่าวถึงการรับตำแหน่งเจ้าสำนักของพระมหาชลธี ธมฺมวโร ป.ธ. ๓ ซึ่งมาเป็นเจ้าสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษีรูปล่าสุด เรื่องของเกาะพระฤๅษีนั้นเกิดจากการที่กระผม/อาตมภาพ ออกจากวัดท่าซุงมา หลังจากที่จัดงานถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ตลอด ๑๐๐ วันแล้ว เมื่ออัญเชิญสังขารของท่านขึ้นสู่มณฑปในวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร กระผม/อาตมภาพก็ขอลากับหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ (พระราชภาวนาโกศล วิ.) หรือว่า พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณในสมัยนั้นว่า "ขออนุญาตออกจากวัด เนื่องเพราะว่าถ้าอยู่ต่อ ก็จะเป็นสาเหตุให้เขากระทบกระทั่งกันไม่รู้จบ" เนื่องเพราะว่ามีบุคคลที่ต้องการจะเป็นเจ้าอาวาส พยายามไปขุดคุ้ย ประมาณว่า "ฟื้นฝอยหาตะเข็บ" ว่า เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันนี้มีข้อผิดพลาดอะไรที่ไม่สมควรบ้าง โดยที่พยายามดึงกระผม/อาตมภาพเข้าไปเป็นพวก เนื่องเพราะว่าในยุคนั้น กระผม/อาตมภาพเองถวายการรับใช้พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ด้วยชีวิต อะไรที่คนอื่นไม่กล้าทำ กระผม/อาตมภาพก็กล้าทำ ไม่ว่าจะการลงไปตีกับชาวบ้านที่มาหาปลาจนถึงแพหน้าวัด หรือว่าการล้างทุจริตภายในวัดหลายต่อหลายแห่ง จนกระทั่ง ๔ พรรษาสุดท้าย พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านคงเห็นว่า ทำงานได้เด็ดขาดเหมือนอย่างใจของท่าน จึงเรียกใช้อยู่คนเดียว ทำให้เกิด "เครดิต" ขึ้นมาในสายตาพระพี่พระน้องทั้งหลาย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2025 เมื่อ 01:53 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ในช่วงนั้นพระวัดท่าซุงมีอยู่ประมาณ ๔๐ รูปเศษ ถ้ากระผม/อาตมภาพบอกว่า "ซ้ายหัน..ขวาหัน" ก็น่าจะหันตามมาประมาณ ๓๐ รูป..! จึงมีการตั้งใจดึงกระผม/อาตมภาพเข้าไปเป็นพวก เพราะหวังกำลังหนุนตรงนี้ กระผม/อาตมภาพเห็นว่า "ถ้าอยู่ต่อเขาก็ทะเลาะกันไม่เลิก แต่ถ้าออกมาเสียก็หมดเรื่องไป เพราะว่าบุคคลที่เขาหวังให้ช่วยไม่อยู่แล้ว..!"
แม้ว่าหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ในขณะนั้นจะบอกว่า "ให้อยู่ช่วยกันก่อน" กระผม/อาตมภาพก็รับปากแค่ว่าจะมาช่วยประคับประคองให้ไม่เกิน ๓ ปี ที่เหลืออย่างไรท่านก็ต้องเดินด้วยตนเอง แล้วกระผม/อาตมภาพก็ออกจากวัดไป โดยที่เรียนกับท่านว่า "ให้ตั้งข้อหาว่ากระผมผิดระเบียบวัดอะไรก็ได้ และโดนขับไล่ออกจากวัดไปแล้ว" อีกฝ่ายจะได้หมดหวังที่กระผม/อาตมภาพไม่อยู่แล้ว เมื่อหมดหวังก็จะได้เลิกตอแยเจ้าอาวาสเสียที..! เมื่อออกจากวัดไปแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ได้ไปอาศัยอยู่ที่บริเวณที่แห่งนี้ ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีชื่อว่าสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี เป็นสถานที่ซึ่งอยู่ข้างเคียงกับหน่วยจัดการต้นน้ำผาตาด ซึ่งภายหลังพัฒนาขึ้นมาเป็นศูนย์จัดการต้นน้ำที่ ๑๖ เมื่อไปถึงก็ได้ผูกมิตรกับบรรดาเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย และท้ายที่สุดก็ทราบว่าพื้นที่นี้ติดอยู่กับเขตป่าสงวนเขาพระฤๅษี - เขาบ่อแร่ แปลงที่ ๒ จึงได้ตั้งชื่อว่าที่พักสงฆ์เกาะพระฤๅษี เนื่องเพราะว่ามีพื้นที่ประมาณ ๒ ไร่เศษ มีลำห้วยไหลล้อมรอบอยู่ มาภายหลังเมื่อไปขอตั้งเป็นสำนักสงฆ์ ผู้ใหญ่บ้านได้ยินแล้วก็ยังงงอยู่ บอกว่า "ถ้ารู้ว่าเป็นพื้นที่ไม่มีเจ้าของ ผมก็เอาเองไปตั้งนานแล้ว..!" เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า เมื่อกระผม/อาตมภาพไปติดต่อกับทางป่าสงวนเขาพระฤๅษี - เขาบ่อแร่ แปลงที่ ๒ เขาบอกว่าพื้นที่ของเขาแค่ลำห้วยด้านหลังเท่านั้น ส่วนนี้น่าจะเป็นของอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ เมื่อกระผม/อาตมภาพไปติดต่อกับอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ อีกฝ่ายก็บอกว่า พื้นที่ของตนอยู่แค่ลำห้วยด้านหน้าเท่านั้น และเมื่อมีถนนสายเหมืองสองท่อ - สหกรณ์นิคมทองผาภูมิตัดผ่าน ก็ไปยึดแนวถนนเป็นเขตอุทยานแทน ที่ตรงนี้จึงกลายเป็นที่หลงสำรวจ ไม่มีเจ้าของ แม้กระทั่งพื้นที่ก็มีไม่ถึงตามที่กำหนดเอาไว้ในการจัดตั้งสำนักสงฆ์หรือว่าวัด เนื่องเพราะว่าต้องมีพื้นที่อย่างน้อย ๖ ไร่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2025 เมื่อ 01:57 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
กระผม/อาตมภาพจึงได้จัดตั้งขึ้นมาเป็นที่พักสงฆ์เกาะพระฤๅษีก่อน โดยการทำการก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านสั่ง ซึ่งมีทั้งศาลา ทั้งอาคารแทนโบสถ์ ทั้งหอฉันและกุฏิที่พัก เหล่านั้นเป็นต้น ตั้งแต่วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๖ ใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณปีเดียวก็เสร็จสรรพเรียบร้อย
ในช่วงนั้นเรียกว่าทำงานกันจน "ตัวดำเป็นเหนี่ยง" เมื่อกลับไปเยี่ยมพระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ เพื่อปรึกษาหารือเรื่องต่าง ๆ ที่ท่านสอบถามว่าควรจัดการอย่างไร ? พอเอาจีวรออกนั่งคุยกัน ท่านยังตกใจ ถามว่า "คุณไปทำอะไรมา ถึงได้ไหม้จนหลังดำขนาดนั้น..!" กระผม/อาตมภาพก็เรียนถวายว่า "แค่ก่อสร้างวัดไปทั้งวัดเท่านั้น..!" หลังจากนั้นแล้ว เมื่อพระเดชพระคุณพระราชธรรมโสภณ ซึ่งภายหลังได้เลื่อนขึ้นมาเป็นพระเทพเมธากร (ณรงค์ ปริสุทโธ ป.ธ. ๔) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ท่านได้ส่งกระผม/อาตมภาพไปอยู่วัดโน้นบ้าง วัดนี้บ้าง ที่เห็นว่า "ไปไม่ไหว" เพื่อให้ช่วยในการพัฒนาวัดทั้งหลายเหล่านั้น กระผม/อาตมภาพก็ได้สามเณรกิตติวงษ์ ปิ่นประดับ คอยดูแลสถานที่ให้แทน จนกระทั่งมาภายหลัง เมื่อมาอยู่ที่วัดท่าขนุนอย่างเป็นทางการ และสามเณรกิตติวงษ์ ปิ่นประดับ ไปบวชเป็นพระธรรมยุต ซึ่งได้ข่าวว่าภายหลังท่านสึกมาและมีวัตรปฏิบัติแบบโยคีแทน กระผม/อาตมภาพก็มอบหมายให้พระครูธรรมธร แสงชัย กนฺตสีโล อดีตประธานสงฆ์สำนักสงฆ์ถ้ำทะลุช่วยดูแลเกาะพระฤๅษีแทน แต่ว่าท่านมีนิสัยอยู่ไม่ติดที่ ดูแลได้ไม่นานก็ออกธุดงค์แบบสนุกสนาน จึงได้ส่งพระสมุห์กำพร สุชาโต ไปดูแลแทน แล้วภายหลังเมื่อพระสมุห์กำพรได้สึกหาลาเพศไป ก็มอบหมายให้พระปลัดอาทิตย์ ชุตินฺธโร ไปเป็นเจ้าสำนักอยู่ระยะหนึ่ง เมื่อพระปลัดอาทิตย์ ท่านออกมาเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน และปัจจุบันนี้ก็คือเจ้าสำนักสงฆ์ห้วยน้ำริน จังหวัดเชียงใหม่ กระผม/อาตมภาพก็มอบหมายให้พระมหากวีศิลป์ วิสุทฺธิกุโล ไปเป็นประธานสงฆ์ในการบริหารจัดการสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษีแทน ซึ่งในยุคที่พระมหากวีศิลป์เป็นเจ้าสำนักนี้ ท่านได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและพัฒนาเกาะพระฤๅษีไปมาก จากที่กระผม/อาตมภาพรื้ออาคารไม้ ไม่ว่าจะเป็นเรือนสุมาลี เรือนสโรชา เรือนกนกวลี ไปตั้งอยู่ที่หมู่กุฏิไม้ประยุกต์วัดท่าขนุน ท่านก็มาบริหารจัดการปรับโน่น ปรุงนี่ จนกระทั่งเปลี่ยนแปลงไปแทบที่จะจำไม่ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2025 เมื่อ 02:00 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
มาภายหลังท่านต้องไปอยู่ที่เมืองโบราณ จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อดูแลวัดของที่นั่น กระผม/อาตมภาพก็มอบหมายให้พระวินัยธรจิตศิลป์ เหมรํสี, ดร. มาทำหน้าที่เจ้าสำนักสงฆ์อยู่ระยะหนึ่ง
เมื่อท่านไปเป็นพระธรรมทูตสายต่างประเทศ จึงได้มอบหมายให้พระมหาชลธี ธมฺมวโร ป.ธ.๓ มาดูแลสถานที่แทน ซึ่งพระมหาชลธีท่านก็ปฏิบัติตามแนวของครูบาอาจารย์ ก็คือไปอยู่ที่ไหนก็ให้ทำการบวงสรวงบอกกล่าวขอความอนุเคราะห์จากเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย เพื่อความอยู่สุขอยู่เย็น ตลอดจนกระทั่งการปลอดภัยจากอันตรายต่าง ๆ โดยเฉพาะเจ้าที่บริเวณเกาะพระฤๅษีนั้น เป็นอากาสเทวดา ไม่ใช่ภุมมเทวดา ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า "พ่อปู่ดำ" มีศาลอยู่ที่ก่อนจะถึงบริเวณที่ทำการสหกรณ์นิคมทองผาภูมิ ครั้งแรกที่ไปถึงและกระผม/อาตมภาพส่งจิตไปเพื่อที่จะติดต่อกับท่าน ท่านก็มาปรากฏตัวและบอกกล่าว ตลอดจนกระทั่งให้ไปพิสูจน์ทราบว่าศาลของท่านอยู่ตรงไหน ? กระผม/อาตมภาพจึงให้หัวหน้าประเดิมชัย แสงคู่วงษ์ ซึ่งตอนนั้นทำหน้าที่หัวหน้าหน่วยจัดการต้นน้ำผาตาด และหัวหน้าศูนย์จัดการต้นน้ำที่ ๑๖ ขับรถพาไปพิสูจน์ทราบดู ปรากฏว่ามีศาลตั้งอยู่และมีป้ายติดว่า "ศาลเจ้าพ่อปู่ดำ" จริง ๆ..! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงได้สอบถามท่านว่า "จะให้ตั้งศาลแบบไหน ?" ท่านบอกว่า "เอาศาล ๔ เสา หรือ ๖ เสาก็ได้ หลังคาออกสีเขียวทอง" กระผม/อาตมภาพนึกภาพไม่ออก จึงได้บอกกับท่านว่า "ถ้าผ่านสถานที่ไหนซึ่งมีศาลแบบนี้ ขอให้ช่วยสะกิดบอกหน่อยก็แล้วกัน" ปรากฏว่าผ่านไปหลายเดือน เมื่อวิ่งไปทางอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ท่านบอกว่า "ตรงนี้แหละ..มีศาลที่กระผมต้องการ" ครั้นแวะเข้าไปก็เห็นว่าเป็นศาล ๖ เสา ทำด้วยปูน หลังใหญ่มาก หลังคาเป็นสีเขียว แต่ว่ามีเหลือบสีบรอนซ์ทองจริง ๆ ถามราคาแล้วอยู่ที่หมื่นกว่าบาท แต่เมื่อเล่าเรื่องให้ฟังแล้ว ทางเจ้าของโรงงานเกิดศรัทธา จึงลดราคาให้เหลือ ๙,๐๐๐ บาท และขนไปส่งให้จนถึงเกาะพระฤๅษีเอง..! ดังนั้น..สถานที่แห่งนั้น ถ้านับวัดจัดตั้งก็คือวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๖ และอยู่ยั้งยืนยง ผ่านผู้ดูแลมาหลายต่อหลายรายดังที่ได้กล่าวมาแล้ว จนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน ผู้ที่รับเป็นเจ้าสำนักสงฆ์ดูแลอยู่ก็คือ พระมหาชลธี ธมฺมวโร ป.ธ. ๓ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนนั่นเอง สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2025 เมื่อ 02:03 |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|