กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนสิงหาคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 12-08-2024, 20:02
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 500
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 24,997 ครั้ง ใน 988 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๗


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 13-08-2024, 00:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ พวกเราก็ได้ทำบุญวันแม่แห่งชาติไปแล้ว ซึ่งถ้าเป็นก่อนหน้าที่เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ จะระบาด กระผม/อาตมภาพจะนิมนต์เพื่อนฝูงที่เป็นนักปฏิบัติธรรม มาให้ท่านทั้งหลายได้ทำบุญกัน

แต่ด้วยความที่ว่าปี ๒๕๖๓, ๒๕๖๔ และ ๒๕๖๕ ต้องงดจัดงานไป เพราะเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ยังระบาดรุนแรงอยู่ พอมาปี ๒๕๖๖ และปี ๒๕๖๗ นี้
กระผม/อาตมภาพก็มาติดงานเป็นกรรมการตรวจประเมิน โครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ด้วยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา (หมู่บ้านรักษาศีล ๕) จึงทำให้ไม่สามารถที่จะจัดงานได้ เนื่องเพราะว่าไม่มีเวลาที่จะไปดูแลพรรคพวกเพื่อนฝูงที่จะมาก่อนเวลา หรือว่ามาในวันงาน

อย่างวันนี้ท่านทั้งหลายก็จะเห็นว่า กว่าที่กระผม/อาตมภาพเดินทางมาถึงวัดก็ตี ๔ ไปแล้ว แล้วก็ยังมีกิจกรรมต่อเนื่องมาจนกระทั่งก่อนทำวัตรเย็น ก็เพิ่งจะประชุมติดตามแบบของสะพานเฉลิมพระเกียรติ ๗๒ พรรษา ทสมราชาธิราช ซึ่งต้องบอกว่าแต่ละโครงการนั้น น่าทุบหัวไอ้คนประมาณการราคาก่อนออกแบบ..!

ศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายหลังนี้ ก่อนออกแบบเขาบอกว่าประมาณ ๔๐ ล้านบาท ทำเข้าไปจริง ๆ เจอไป ๘๓ ล้านบาท..! พิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุน ตอนแรกก็อยู่ในประมาณการใกล้เคียงกัน แต่พอทำจริง ๆ ๑๕๕ ล้านบาท..! สะพานเฉลิมพระเกียรติแห่งนี้ ตอนแรกที่คำนวณไว้อยู่ที่ ๓๘ ล้านบาท แต่วันนี้ตัวเลขออกมาที่ ๑๔๖ ล้านบาท..! ต้องบอกว่าวัดท่าขนุนน่าจะร่ำรวยมาก ทำอะไรก็มักจะเกินงบประมาณการไปหลาย ๆ เท่าตัว..!

คราวนี้ในเรื่องของการก่อสร้างนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าหนักใจ เนื่องเพราะว่า
ถ้าจำเป็นต้องใช้เงิน เงินก็จะมาเอง แต่สำคัญอยู่ตรงที่ว่า ระยะนี้ภาวะของบ้านเมืองและโลกเราไม่ปกติ อันดับแรกเลยก็คือจะหาบริษัทรับเหมามาก่อสร้างได้หรือไม่ ? อันดับที่สองก็คือในราคาที่ตกลงเซ็นสัญญากันเอาไว้ ถ้าถึงเวลาแล้วมีการเปลี่ยนแปลงราคาวัสดุก่อสร้าง เขาจะทิ้งงานของเราหรือไม่ ?

กระผม/อาตมภาพเจอมาด้วยตัวเอง ก็คือการก่อสร้างมีอยู่ระยะหนึ่งที่เหล็กขึ้นราคากิโลกรัมละ ๗ บาท ฟังดูไม่มาก แต่เราต้องเข้าใจว่าขึ้นตันละ ๗,๐๐๐ บาท..! แม้กระทั่งตอนที่สร้างศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายหลังนี้ก็ตาม เหล็กข้ออ้อยที่เอามาทำโครงสร้าง มัดหนึ่งไม่ถึงโอบ มัดหนึ่ง ๔ - ๕ แสนบาท..!

แต่ว่าเรื่องพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะมากังวลล่วงหน้ากันไป เนื่องเพราะว่าปัญหามีไว้แก้ไข ไม่ใช่มีไว้เครียด เรื่องของการแก้ไขปัญหาหน้างานเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเรื่องนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านเคยบอกเอาไว้นานแล้วว่า การทำงานก่อสร้างนั้น ถ้าหากว่าเราทำใจได้จะเข้าถึงมรรคผลได้เร็ว เนื่องเพราะว่าสารพันปัญหาจะประดังกันเข้ามา พูดง่าย ๆ ว่ามีให้ปวดหัวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อย่างที่คณะกรรมการตรวจรับงานก่อสร้างพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนพบเห็นอยู่ ก็คือบางวันแทบอยากจะลุกขึ้นไปฆ่าคน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-08-2024 เมื่อ 02:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 13-08-2024, 00:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้ถ้าหากว่าเราทำใจได้ ปล่อยวางได้ สิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติธรรมมา แปลว่า "มีผลอย่างที่เราต้องการ" ก็คือในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ต้องมีการทดสอบกับของจริงเท่านั้น ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่า สิ่งที่เราทำไปนั้น เวลาเจอการทดสอบจริง ๆ แล้วจะเป็นอย่างไร ดังนั้น..นักปฏิบัติธรรมหลายท่าน ถ้าหากว่าอยู่ในป่าช้า อยู่ในป่าชัฏ ออกธุดงค์ ภาวนาแล้วจิตใจสงบดีมาก แค่ก้าวเข้ามาในเขตบ้านเขตเมืองเท่านั้นก็แกว่งไม่เป็นท่าแล้ว เนื่องเพราะว่าเจอแรงกระทบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบด้าน..!

บุคคลใดถ้าหากว่าอยู่กับผู้คนแล้ว สามารถที่จะรักษากำลังใจให้สงบระงับได้ นั่นถึงจะเรียกว่าของแท้ เพราะว่าผ่านการพิสูจน์ด้วยบทเรียนต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าเราปลีกตัวออกจากสังคม แล้วไปประพฤติปฏิบัติอยู่คนเดียว ถ้าไม่ใช่เข้าถึงมรรคถึงผลอย่างแท้จริง ยังจัดอยู่ในระดับโลกิยฌานแล้ว กระทบเมื่อไรก็พังเมื่อนั้น จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องระมัดระวังตัวเองเป็นอย่างสูง

เนื่องเพราะว่าฌานโลกีย์นั้น ถ้าหากว่าทรงตัวมั่นคงจริง ๆ กิเลสต่าง ๆ จะโดนกดให้ดับลงชั่วคราว ทำให้มีคนหลงเข้าใจผิดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ไปแล้วมากต่อมากด้วยกัน แม้กระทั่งเด็กที่กระผม/อาตมภาพดูแลอยู่ ก็ยังมา "เถียงคำไม่ตกฟาก" "หลวงพ่อบอกว่าถ้าหากว่าเป็นพระอรหันต์จะต้องตายภายใน ๗ วัน นี่หนูอยู่มาตั้งหลายเดือนแล้วไม่เห็นจะตายเลย..!" ปัจจุบันนี้ไอ้คนเถียงมีลูกไป ๕ คนแล้ว..!

นั่นก็คือพระอรหันต์ที่เข้าใจผิด เพราะว่าตัวเองกิเลสสงบระงับด้วยกำลังของสมาธิ แล้วไปคิดว่าใช่ กำลังสมาธิที่เข้มข้นจริง ๆ ระดับฌาน ๔ หรือว่าสมาบัติ ๘ สามารถกดกิเลสให้ดับลงอย่างชนิดที่เหมือนกับหมดเชื้อ แต่ความจริงแล้วไม่หมด เหมือนกับหินที่ทับหญ้าเอาไว้ ถึงเวลาขยับเขยื้อนหินออกเมื่อไร หญ้าก็งอกงามใหม่

แล้วคนอีกจำนวนมากด้วยกัน ที่เมื่อเข้าถึงสมาธิแล้วก็ไปติดอยู่แค่ตรงนั้น เพราะว่ากำลังใจที่ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง ชั่วคราวนั้น มีความสุขเยือกเย็นจนบอกไม่ถูก ปฏิบัติเมื่อไรก็ต้องการอยู่แค่นั้น จึงทำให้บุคคลจำนวนหนึ่งที่นำไปกล่าวว่า สมาธิทำให้ขี้เกียจและหลงยึดติดอยู่ในนั้น ก็แปลว่า ของดีไม่ได้ดีสำหรับทุกคน

แต่ว่าดีสำหรับคนที่ใช้ถูกต้อง ก็คือเมื่อกดกิเลสให้สงบระงับลงได้แล้ว เราต้องรีบพิจารณาวิปัสสนาญาณต่อไปเลย อาศัยกำลังของสมาธิในการช่วยตัดละ ถ้าหากว่ากำลังพอเพียง ก็จะตัดละได้ตามวาสนาบารมีของตนเอง ถ้ากำลังไม่พอเพียงก็เป็นแค่หินทับหญ้าอยู่ต่อไป เจอแรงกระทบขยับเขยื้อนออกจากจุดเดิมเมื่อไร กิเลสก็งอกงามใหม่ทันที..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-08-2024 เมื่อ 02:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 13-08-2024, 00:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลายต่อหลายคนก็เลยเกิดอาการที่ว่า "ตบะแตก จิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก" เหล่านี้เป็นต้น ก็เพราะว่าสภาพจิตของเรามีความดิ้นรนเป็นปกติ ถ้าเราเผลอตัวเมื่อไร กิเลสก็จะตีกลับ แล้วทำให้ รัก โลภ โกรธ หลง ที่โดนเก็บกดไว้นั้น ทะลักทลายมาอย่างชนิดที่ห้ามไม่ไหว ทำให้กำลังใจตก พังไปเป็นเดือน ๆ บางคนก็พังไปหลายปี..!

เราต้องเข้าใจว่าธรรมดาของจิตเป็นอย่างนั้น อยากจะพังเราก็เริ่มต้นใหม่ อย่าเสียเวลาไปโอดครวญเสียดายกับสิ่งที่เคยผ่านมาแล้ว เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่เดี๋ยวนั้นทันทีว่า "ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์" ประคับประคองรักษาสมาธิของเราต่อไป ถ้าสามารถทำเช่นนั้นได้ จิตใจของเราก็จะหวั่นไหวกับสิ่งผิดพลาดน้อยลงไปเรื่อย ๆ แล้วท้ายที่สุดก็เห็นเป็นธรรมดา วางอุเบกขาลงได้ กำลังใจของเราตกเท่าไรก็จะไม่ต่ำไปกว่านี้ ก็คือเหมือนกับมีพื้นไว้รองรับ เมื่อถึงเวลาตกก็อยู่แค่พื้น แล้วก็ลุกขึ้นยืน ก้าวต่อขึ้นเบื้องสูงต่อไป

ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมจึงเป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านเล่าให้ฟังว่า ขนาดท่านทรงสมาบัติ ๘ คล่องตัวแล้ว มีอยู่วันหนึ่ง ไม่ทราบว่าเผลอตอนไหน หลุดออกมาเหลือแค่อุปจารสมาธิ ท่านบอกว่าบ้านหลังใหญ่ที่มีเสา ๘ ต้นช่วยกันค้ำ อยู่ ๆ เสาเหลือแค่ครึ่งต้น รสชาติแบบนั้นหนักหนาสาหัสแค่ไหน ก็ลองไปเดากันเอาเอง..!

กระผม/อาตมภาพเองเคยทรงสมาธิ ทั้งกลางวันกลางคืนต่อเนื่องกันทุกลมหายใจเข้าออก มีสติรู้ตัวอยู่ตลอด ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเผลอตอนไหน ผ่านไป ๒ เดือนกว่าหลุดเอาดื้อ ๆ ของพวกเรานี่ทรงได้ต่อเนื่องกันสักครึ่งชั่วโมงแล้วหลุด ก็น่าจะดีมากแล้ว

เรื่องเหล่านี้เป็นบทเรียนในการปฏิบัติของเราว่า ถ้ากำลังใจตก อย่าเสียเวลาไปคร่ำครวญอยู่ตรงนั้น ให้ทิ้งความเสียดายความดีเก่า ๆ ที่เคยทำได้ แล้วเริ่มต้นตะเกียกตะกายทำใหม่เดี๋ยวนั้นเลย โอกาสที่เราจะดึงกำลังใจกลับมาให้เท่าเดิมก็จะมีมากขึ้น แต่ถ้ามัวแต่ไปคร่ำครวญอยู่ตรงนั้นเมื่อไร ก็จะเสียเวลาไปหลายวัน บางทีก็หลายเดือน อีกหลายคนก็เจอเป็นหลายปี ตายตอนนั้นจะขาดทุนเสียเปล่า ๆ

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-08-2024 เมื่อ 02:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:39



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว