|
ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน รวมประวัติ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพจากทั่วเมืองไทย |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
หลวงพ่อวิรัชเล่าถึงหลวงพ่อฤๅษี
เนื่องจากเนื้อหาในหนังสือปฐมธรรมยานได้กล่าวถึงเรื่องราวเกี่ยวกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีไว้หลายตอน และบันทึกคำสอนของหลวงพ่อไว้มากมาย เถรีจึงได้กราบเรียนขออนุญาตพระปลัดวิรัช โอภาโส แห่งสำนักสงฆ์ธรรมยาน จังหวัดเพชรบูรณ์ นำเรื่องราวบางส่วนในหนังสือ "ปฐมธรรมยาน (ลูกตามพ่อ)" มาเผยแพร่ในเว็บวัดท่าขนุน เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้อ่านเป็นธรรมนุสติและสังฆานุสติกัน
สำหรับพระปลัดวิรัช โอภาโส ( เถรีขออนุญาตเรียกว่า "หลวงพ่อวิรัช" ) ท่านเป็นพระที่เคยถวายการรับใช้และสนองงานพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีมาเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านดับขันธ์ หลังจากนั้นท่านจึงออกมาจากวัดท่าซุง จนกระทั่งมาสร้างสำนักสงฆ์ธรรมยาน ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เนื้อหาในหนังสือปฐมธรรมยานเล่มนี้มีหลายตอนด้วยกัน เถรีจึงคัดเลือกเอาเฉพาะตอนสมัยข้าพเจ้าอยู่วัดท่าซุงและตอนปกิณกะธรรม มาให้ทุกท่านได้อ่าน (เนื่องจากพิมพ์ทั้งเล่มไม่ไหว แฮ่ ๆ) สังเกตจากตอนปกิณกะธรรมแล้ว คาดว่าหลวงพ่อวิรัชคงได้มีการบันทึกจดคำสอนของหลวงพ่อฤาษีไว้ตั้งแต่สมัยที่ท่านอยู่ท่าซุง เพราะมีการระบุวันที่เอาไว้ด้วย ดังนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเข้าสู่เรื่องราวเกี่ยวกับปฐมธรรมยานกันเถอะค่ะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-06-2009 เมื่อ 20:30 |
สมาชิก 317 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
อุปสมบทที่วัดท่าซุง
อุปสมบทที่วัดท่าซุง
อาตมาอยู่สหรัฐอเมริกา ๑๓ ปี ตั้งใจกลับมาบวชที่วัดท่าซุง กลับมาเมืองไทยราว ๆ วันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๒๔ (กลับไปนอนค้างคืนที่บ้าน ๑ คืน เพื่อบอกบิดามารดา) แล้วก็มาอยู่วัดท่าซุงจนถึงวันอุปสมบท เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ ขณะนั้นอายุ ๓๓ ปี ช่วงอาตมาเป็นนาค หลวงพ่อเรียกอาตมาว่า "แป๊ะ" แล้วท่านถามอาตมาว่า "แป๊ะ" แปลว่าอะไรได้บ้าง ก็ตอบท่านว่า "คนแก่" แต่หลวงพ่อพูดว่า แปลว่า "ขาว"ก็ได้ เพราะตอนกลับมาจากสหรัฐฯ ตัวจะขาว ท่านเลยเรียก "แป๊ะ" ตั้งแต่แรกและตลอดมาจนติดปาก จึงภูมิใจที่หลวงพ่อท่านได้ตั้งชื่อนี้ให้ คล้ายกับหลวงปู่ปานที่เรียกหลวงพ่อแบบชื่อเล่นเช่นกัน (ที่คนทั่วไปรู้จักนามว่า หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ หลวงปู่ปานตั้งชื่อเล่นให้ "ลิงดำ") หลวงพ่อได้ถามว่า "จะบวชนานแค่ไหน" ตอบท่านว่า "ไม่ทราบครับ" เพราะไม่มั่นใจ ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจว่าจะมาบวชยาว พอมาอยู่วัดแล้วรู้เลยว่าการอยู่เป็นพระตลอดไปไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะช่วงนั้นพระที่บวชหลายพรรษากำลังจะสึกไล่เลี่ยกันหลายองค์เลย จึงต้องพิจารณาดูไปทีละวัน ท่านจึงบอกว่า "เอาอย่างนี้ ให้ตั้งใจบวช ๓ ปีก่อน พอครบ ๓ ปี ตั้งใจบวชอีก ๓ ปี พอครบอีก ๓ ปีตั้งใจบวชอีก ๓ ปี พอครบ ๙ ปี แกก็แก่แล้ว จะสึกไปทำไม ให้ตั้งใจอย่างนี้นะ" ก็ตอบท่านว่า "ครับ" ขณะเป็นนาคอยู่ที่วัด หลวงพ่อได้เมตตาอย่างมาก เวลาท่านรับแขกก็ขึ้นไปฟังท่านบนศาลานวราช พอเลิกรับแขกเวลา ๑๖.๐๐ น. ท่านชวนไปตรวจงานแถว ๆ พระจุฬามณี ฯ (ตอนนั้นสร้างห้องพักแถวตึกอำนวยการ ชวนไปนั่งคุยแถว ๆ นั้น จนเย็นจึงกลับที่พัก) เช้าวันหนึ่งใกล้วันบวช หลวงพ่อกำลังจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ พอเจออาตมาเดินมา หลวงพ่อก็สวดขึ้นมาดัง ๆ แบบสวดนาค โดยสวดว่า สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ แล้วถามว่า "สวดนาคคล่องหรือยัง" ตอบท่านว่า "พอได้แล้วครับ" "ไหนลองสวดให้ฟังหน่อย" ก็สวดว่า "เอสาหัง ภันเต" พอหลวงพ่อได้ยินเสียงที่อาตมาสวด ท่านพูดว่า "นี่มันทำนองเจ๊กนี่หว่า พระพุทธเจ้าเป็นแขก ต้องสวดให้เป็นเสียงแขก" แล้วก็สวดให้ฟังใหม่ ท่านก็ว่านี่มันทำนองเจ๊ก พวกตำรวจอยู่แถวหน้าตึกก็พากันหัวเราะ แล้วอาตมาก็ไปช่วยพระประเคนอาหารเช้า หลังจากอาตมาบวชแล้ว เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๒๔ เมื่อหลวงพ่อกลับจากกรุงเทพฯ ในตอนเย็น ลงทำวัตรสวดมนต์ นั่งกรรมฐานกันทั้งวัด หลวงพ่อนั่งเป็นประธาน พอเลิก หลวงน้าอรุณรองเจ้าอาวาสเตรียมพานธูปเทียนแพ ให้อาตมาถวายสังฆทานสักการะแก่หลวงพ่อ พอหลวงพ่อรับพานจากอาตมาแล้ว ท่านก็ใช้ฝ่ามือตบศีรษะอาตมาเต็มแรงพร้อมพูดว่า "ไอ้นี่มันใช้ได้" แล้วก็ตบอีกครั้งที่ ๒ เต็มแรง พูดว่า "ไอ้นี่มันใช้ได้" แล้วก็ตบอีกครั้งที่ ๓ เต็มแรง แล้วพูดว่า "ไอ้นี่มันใช้ได้" มือท่านหนักมาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-06-2009 เมื่อ 20:34 |
สมาชิก 341 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ท่านตบ ๓ ครั้ง พูด ๓ ครั้งว่า "ไอ้นี่มันใช้ได้" ทำให้ปลื้มใจมาก ตั้งแต่อาตมาบวชอยู่ที่วัดท่าซุง ยังไม่เคยเห็นพระองค์ไหนบวชแล้วเข้าไปถวายสักการะแล้วหลวงพ่อแสดงแบบนี้ ก็นับว่าแปลกดี
จากนั้นหลวงพ่อท่านลุกขึ้นยืน แล้วจับมือที่อาตมายังพนมมืออยู่ บีบ ๓ ที และถามว่า "แกกินข้าวเย็นหรือเปล่า" "เปล่าครับ" "เออดี ถ้าศีลบริสุทธิ์ จะไม่หิวข้าวเย็นนะ" แล้วหลวงพ่อก็กลับกุฏิ พวกเราก็ทยอยกลับที่พัก วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๒๔ เป็นวันวิสาขบูชา หลวงพ่อทำพิธีพุทธาภิเษกองค์แก้วสารพัดนึก พระภิกษุทั้งวัดได้เข้าร่วมพิธีในพระอุโบสถทุกองค์ พอเสร็จพิธีหลวงพ่อก็ออกมาจากโบสถ์ เดินรอบและสั่งให้อาตมาหิ้วของตามหลวงพ่อเดินรอบโบสถ์ และไปนั่งตรงหลังหลวงพ่อที่รับแขกที่ศาลาพระพินิจ (ช่วงทำพิธีอยู่ เกิดพระอาทิตย์ทรงกลด บิดามารดาของอาตมานั่งอยู่รอบโบสถ์ ร่างทรงศาลเจ้า ที่เพชรบูรณ์ก็มากับบิดา ได้บอกให้บิดากราบที่พื้น บอกว่าลื้อดูบนฟ้าพระอาทิตย์ทรงกลด พระพุทธเจ้าเสด็จมา บิดาตะโกนเสียงดัง ๆ ว่า "กวง ๆ " แปลว่า "สว่าง" ตั้งแต่นั้นมาบิดามารดาก็เลื่อมใสศรัทธาหลวงพ่อตลอดมา) ราว ๆ วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๒๕ อาตมาและหลวงพี่ชัยศรี ช่วยหลวงพ่อย้ายของอะไรบางอย่างในกุฏิหลวงพ่อ อยู่ ๆ หลวงพ่อก็พูดว่า "แป๊ะ ! นับจากวันนี้เป็นต้นไป แกหมดสิทธิ์สึกแล้วนะ" ก็ตอบท่านว่า "ครับ" ปีแรก ๆ หลวงพี่โอมาชวนอาตมาไปนวดหลวงพ่อบ่อย ก็เล่าเรื่องอเมริกาให้ฟังขณะนวดไป ได้เข้าไปอยู่ใกล้ชิดบ่อย ไม่เคยถูกดุ ก็รู้สึกว่าหลวงพ่อใจดี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-06-2009 เมื่อ 20:59 |
สมาชิก 346 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
หลวงพ่อแสดงอภิญญา
หลวงพ่อแสดงอภิญญา
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ปีที่อาตมาบวชปีแรก หลวงพ่อรับแขกที่ศาลานวราช ช่วงนั้นหลวงพ่อยังแข็งแรงหน่อย รับแขกตั้งแต่เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. มีพระติดตามเวลารับแขก ๓ รูป หลวงน้าอรุณ (ลาสิกขาแล้ว) หลวงพี่ไพโรจน์ (ลาสิกขาแล้ว) และหลวงพี่ชัยวัฒน์ (ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส) หลวงพี่ไพโรจน์มีหน้าที่กางร่มให้ ปรากฏว่าพอหลวงพ่อเลิกรับแขก หลวงพี่จะต้องไปทำอะไรนิดหน่อย ท่านบอกให้อาตมาซึ่งนั่งช่วยจำหน่ายวัตถุมงคลบนนั้นไปกางร่มแทน อาตมาก็ถือร่มเดินตามหลวงพ่อลงบันได มีอยู่ ๕-๖ ขั้น พอถึงขั้นพื้นดิน หลวงพ่อก็หายไปต่อหน้า อาตมาก็งง เลยพูดเสียงดัง ๆ ว่า "เอ๊ะ หลวงพ่อหายไปไหน ?" ปรากฏว่าประเดี๋ยวหนึ่ง เสียงหลวงพ่อพูดมาจากด้านข้างบันไดปูน ตรงฝาผนัง ยืนอยู่พูดว่า "หลวงพ่ออยู่นี่ไง แป๊ะไปหาหลวงพ่อที่ไหน ?" อาตมายืนงงอยู่ แล้วหลวงพี่ไพโรจน์ก็เปิดประตูลงมา หลวงพ่อยังยืนอยู่ที่เดิม ท่านพูดกับหลวงพี่ไพโรจน์ดัง ๆ ว่า "ไพโรจน์ หลวงพ่อยืนอยู่นี่ แป๊ะไปหาหลวงพ่อที่ไหนก็ไม่รู้" แล้วหลวงพ่อก็หัวเราะ พระติดตาม ๓ รูปก็เดินตามหลวงพ่อกลับกุฏิ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 340 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
เฝ้ายามฝั่งโบสถ์ (พบยักษ์)
เฝ้ายามฝั่งโบสถ์ (พบยักษ์)
พระที่วัดต้องอยู่เวรยาม หมุนเวียนองค์ละ ๑ วัน ตั้งแต่ ๖ โมงเย็นถึง ๖ โมงเช้า มีอยู่วันหนึ่งอาตมาอยู่เวรยาม พอกลางคืนปิดประตูหน้าแล้วก็ว่าจะนอน พอเอนกายลงนอน หลับตาลงจิตก็เห็นยักษ์ ตัวใหญ่กว่าป้อมยาม เขี้ยวโง้ง สูงใหญ่มาก เดินแทรกเข้ามาในป้อมยามตรงเข้ามาหา พอเห็นครั้งแรกตกใจ จึงท่อง "พุทโธ" ดัง ๆ พร้อมกับรีบลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว แล้วยักษ์ก็หายไป พอหายกลัวแล้วก็เอนตัวลง พอหลับตาลง ยักษ์ใหญ่กว่าป้อมก็เดินทะลุเข้ามายังตัวอาตมา อาตมาก็ท่อง "พุทโธ" ดัง ๆ แล้วรีบลุกขึ้นนั่ง เป็นอย่างนี้หลายรอบ ในคืนนั้นไม่กล้านอน จึงไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง ว่าผมเจอยักษ์ตัวใหญ่มาก นอนไม่หลับเลย หลวงพ่อถามว่า "ตอนนั้นแกทำอะไรอยู่?" "ผมอยู่เวรยามครับ" ท่านพูดว่า "อยู่เวรยาม ไปนอน ผิดระเบียบ ยักษ์ก็เล่นงานเอาซิ อยู่เวรยามแล้วไปนอนได้อย่างไร"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 20-06-2009 เมื่อ 21:38 |
สมาชิก 327 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
อย่ารับเงินจากโยมที่ทำตัวโตกว่าพระ
อย่ารับเงินจากโยมที่ทำตัวโตกว่าพระ
ตอนบวชได้พรรษาแรก ๆ (ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๕) หลวงพ่อได้รับกิจนิมนต์ไปฉันเพลบ้านเศรษฐีที่กรุงเทพฯ คราวนี้อาตมาและหลวงพี่อาจินต์ได้ติดตามหลวงพ่อไปฉันเพลที่บ้านนั้นด้วย พอฉันเพลเสร็จ เจ้าของบ้านนิมนต์หลวงพ่อเข้าไปข้างใน สักพักหนึ่งหลวงพ่อก็ออกมาเมื่อสมควรแก่เวลา ก็ลาเจ้าของบ้านกลับ โดยขึ้นรถตู้ อาตมาได้นั่งใกล้หลวงพ่อ หลวงพ่อก็พูดขึ้นว่า "แป๊ะ แกจำไว้เลยนะ ถ้าฆราวาสทำตัวโตกว่าพระแกอย่าไปรับเงินเขาโดยเด็ดขาด แม้เขาจะถวายแกเป็นเงินล้าน แกก็อย่ารับ เราเป็นพระ เงินทองไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก ที่เราก่อสร้างเพราะเขาถวายมา ไม่มีเราก็หยุดสร้าง เราเป็นพระเราก็อยู่ของเราอย่างนี้ เราไม่เดือดร้อนอะไร แกจำไว้นะไอ้แป๊ะ!" "ครับ" ขณะที่หลวงพ่อสอน หลวงพี่อาจินต์และทุก ๆ คนบนรถก็ได้ยินชัดเจนทั่วหน้ากัน ปรากฏว่าคำเตือนของหลวงพ่อนี้ เป็นคำเตือนที่มีคุณค่ามาก เหมือนกับว่าหลวงพ่อได้เล็งอนาคตังสญาณสำหรับอาตมาโดยเฉพาะจริง ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ชินเชาวน์ : 20-06-2009 เมื่อ 08:49 |
สมาชิก 331 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
หลวงพ่อทดสอบ - การตัดโลภะ
หลวงพ่อทดสอบ - การตัดโลภะ
ตอนไปสหรัฐฯ คราวแรก ๆ ไปแวะวัดฮาวาย วัดหลวงพ่อพระครูปลัดปรีชา ก็ทราบข่าวว่าท่านใช้กล้องถ่ายรูปอย่างดี ราคาเป็นแสน พอถึงฮาวาย หลวงพ่อพระครูปลัดปรีชาท่านก็มารับ ก็เอากล้องราคาเป็นแสนมาถ่ายรูป พอไปถึงวัดท่านก็ถ่ายรูปหลวงพ่อ ตอนหลวงพ่อพระครูปลัดปรีชาถือกล้องถ่ายอยู่นั้น หลวงพ่อพูดว่า " นั่นจะถวายผมหรือ " ท่านรีบถวายหลวงพ่อทันที " ครับ ๆ ผมถวายเลยครับ " หลวงพ่อก็หยิบมาดูไปมาอยู่นาน พอจะกลับที่พัก หลวงพ่อก็กล่าวว่า " เอ้า เอาคืนไป ฉันไม่เอาหรอก " ท่านวางไว้ แล้วก็ลุกไป หลวงพ่อพระครูปลัดปรีชา ก็บอกให้อาตมาหยิบไปถวาย ท่านย้ำกับอาตมาว่า " ผมถวายหลวงพ่อจริง ๆ ครับ " จึงหยิบตามหลวงพ่อไปถึงห้องพัก ก็ส่งกล้องให้หลวงพ่อ ท่านพูดว่า " แกเสือกเอามาได้อย่างไร ราคาเป็นแสน ข้าทดสอบกำลังใจเขาดูเท่านั้นเอง " " แต่ท่านย้ำให้ผมเอามานะครับ ท่านบอกว่า ท่านถวายแล้วครับ " หลวงพ่อจึงอธิบายให้อาตมาฟังว่า " ข้าจะทดสอบกำลังใจเขาดู ตอนที่เขาบอกว่า " ให้ " นั่นแหละ กำลังใจเขาตัดโลภะไปแล้ว เขาตัดโลภะขณะนั้นเป็นแสนทันที ต้องการทดสอบกำลังใจเขาเท่านั้น นี่แสดงว่ากำลังใจใช้ได้ทีเดียว " แล้วก็สั่งให้อาตมาเอาไปคืนอีกครั้ง ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า หลวงพ่อชอบแหย่โยมเสมอ ๆ ว่า " นั่นจะถวายฉันหรือ " ท่านทดสอบกำลังใจแต่ละคนในขณะนั้นว่า จะยอมตัดโลภะในสิ่งนั้น ๆ ในขณะนั้นได้ไหม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 327 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
อับอาย - ทำงานเอาหน้า
อับอาย - ทำงานเอาหน้า
ช่วงบวชใหม่ ๆ อาตมาทำงานแบบไม่เต็มที่ แต่ทำได้เรื่อย ๆ แล้วแต่เขาจะเรียกให้ไป เพราะคิดว่าหลวงพ่อคงไม่ว่าอะไร มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่อจะจัดงานที่ศาลา ๒ ไร่ อาตมาก็ไปช่วยที่นั่น พอหลวงพ่อมา ก็รีบขยัน และชอบพูดเสียงดัง ๆ ชวนพระมายกนั่น ยกนี่ เรียกว่าอาตมาทำเอาหน้า หลวงพ่อได้ยินเสียง ก็หันมามองดู แล้วท่านก็สะบัดหน้าไปทางอื่นอย่างเห็นได้ชัด แล้วไม่หันมาทางนี้อีกเลย อาตมารู้สึกอายในกิเลสที่อยากได้หน้า อายมาก นึกว่าเรานี่จิตใจกิเลสหยาบคายมาก ตั้งแต่นั้นก็พยายามทำไปตามหน้าที่ หลวงพ่อจะเห็นหรือไม่เห็นก็แล้วแต่ พอท่านมา ก็กลัวท่านจะทำหน้าหมั่นไส้เราแล้วสะบัดหน้าอีก ก็เลยต้องคอยหลบบ้าง หรือเสนอหน้าบ้าง แล้วแต่ความเหมาะสมของงาน สิ่งที่หลวงพ่อไม่ชอบมาก ๆ คือ พวกที่ชอบหลบงานส่วนรวม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 310 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
หลวงพ่อรู้ภาษาสัตว์
หลวงพ่อรู้ภาษาสัตว์
เรื่องสุนัข สุนัขของหลวงพ่อ ๒ ตัว โคล่า(แก่แล้ว) สิงห์ดอก (หนุ่มกว่า) ๒ ตัวนี้จะอยู่ใกล้ ๆ หลวงพ่อที่ตึกริมน้ำ วันหนึ่งหลังจากที่หลวงพ่อชวนอาตมา หลวงพี่บัญชาไปตรวจงาน กลับเข้ากุฏิ เปิดประตูเจอโคล่ากำลังยืนร้องหงิง ๆ เจ้าสิงห์ดอกเพิ่งเข้ามาตอนหลวงพ่อเข้ามา หลวงพ่อก็พูดกับเจ้าโคล่า ว่า “เราเป็นพี่ เราก็ต้องเสียสละสิ สิงห์ดอกเขาเป็นน้องก็ปล่อยเขาบ้าง” แล้วหลวงพ่อก็หันมาบอกพวกเราว่า “โคล่าฟ้องว่าสิงห์ดอกเอาเปรียบ หลวงพ่อไม่อยู่ปล่อยให้เขาเฝ้ายามตัวเดียว สิงห์ดอกไปเที่ยวเล่นข้างนอก” เรื่องแมว อีกครั้งหนึ่งหลังจากฉันเช้า อาตมานำเอกสารที่พระภิกษุจะไปต่างประเทศกับหลวงพ่อ เข้าไปให้ท่านเซ็นต์ มีแมวหลวงพ่อที่กุฏิริมน้ำตัวหนึ่ง เขาก็วิ่งออกไปตรงระเบียงด้านนอก แล้วปีนขึ้นมาบนหน้าต่างส่งเสียงร้อง หลวงพ่อนั่งอยู่บนเตียงกำลังสนทนากับอาตมาอยู่ ก็หยุดหันไปพูดกับแมวว่า “เออ รู้แล้ว ๆ ๆ” พอพูดจบแมวก็กระโดดลงมาแล้ววิ่งจากระเบียงเข้ามาในห้อง ซึ่งถ้าเป็นแมวทั่วไป ก็คงวิ่งเข้ามาหาแต่นี่มีมารยาทมากมันรู้ว่าหลวงพ่อมีธุระหรือเรื่องส่วนตัว มันไม่เข้าไปกวนเสียมารยาท หลวงพ่อพูดว่า “แมวเขามาบอกว่า เขามารายงานตัวให้ทราบแล้วนะ เขาจะทำอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน” เรื่องนก เรื่องนี้ครูเปี๊ยกมาเล่าให้ฟัง หลวงพ่อ พระติดตามและฆราวาสติดตาม เขาพาไปดูสวนนกจูล่ง ประเทศสิงคโปร์ ปรากฏว่าหลวงพ่อเดินผ่านกรงนกไป แล้วก็เดินกลับมาอีก ครูเปี๊ยกก็ถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อเดินไปแล้วทำไมต้องเดินย้อนกลับมาอีก หลวงพ่อพูดว่า "เมื่อกี้ข้าเดินมา นกมันก็ถามว่า หลวงพ่อจะไปไหนเจ้าคะ ข้าก็ไม่สนใจ ก็เดินผ่านไป พอเดินมาหน่อยนกมันก็พูดว่า พระองค์นี้แปลก ถามก็ไม่ตอบ ข้าก็เลยเดินกลับไปให้กำลังใจเขาหน่อย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-06-2009 เมื่อ 18:37 |
สมาชิก 312 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
รอยยิ้มครั้งสุดท้าย
รอยยิ้มครั้งสุดท้าย
มีอยู่คราวหนึ่ง เป็นงวดที่อาตมาติดตามหลวงพ่อไปบ้าน พล.อ.ท. ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์(กทม.) ไปทำหน้าที่ประจำเดือน โยมน้อย (กานดา อมาตยกุล) มาถามว่า " หลวงพี่แป๊ะ พระคำข้าวรุ่น ๑ ยังมีอีกหรือเปล่า? จ่าประมวลรับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อมานาน ยังไม่ได้เลย จะขอเช่าไปให้เขา " เดินมาถามหลายครั้ง อาตมาก็เดินหนีไม่ตอบสักครั้ง เพราะที่จำหน่ายหมดแล้ว แต่ที่เก็บไว้ในกรุของวัดยังมีอยู่ แกเลยไปเรียนถามหลวงพ่อ วันที่ ๑๒ ก.ค. ๒๕๓๓ หลวงพ่อก็ถามว่า " แป๊ะ แกเก็บพระคำข้าวไว้เท่าไหร่ " ตอบท่านว่า " ๕๐๐๐ องค์ครับ " (แต่ก่อนหลวงพ่อเคยสั่งว่า ถ้าจะเก็บเข้ากรุวัดเก็บแค่ ๒๐๐-๓๐๐ องค์ก็พอ) " ที่ผมเก็บไว้เยอะเพราะว่า หลวงพ่อเป็นโรคหัวใจ ผมไม่ไว้ใจครับ " หลวงพ่อพูดว่า " หนอยแน่! ข้าเป็นโรคหัวใจแค่นี้ แกคิดว่าข้าจะตายง่าย ๆ หรือไง ข้ายังไม่ตายง่ายหรอก " แล้วท่านก็หยิบพลูขึ้นมากัดแล้วโยนมาใส่มือพอดีดังพัวะ " เอ้า ปล่อยออกได้หรือยัง " พอรับพลูแล้วก็เลยยิ้ม ตอบท่านว่า " ครับ เย็นนี้ปล่อยเลยครับ " พอทำวัตรเย็น ก็บอกญาติโยมมาเช่าหมดภายในเวลารวดเร็ว ไม่เหลือเลย ตอนนั้นก็คิดว่า หลวงพ่อคงจะอยู่อีกนาน เพราะเดี๋ยวป่วย เดี๋ยวดีขึ้น ก็เชื่อตามหลวงพ่อ ครั้นวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ หลวงพ่อมรณภาพ ที่โรงพยาบาลศิริราช ก็เข้าไปกราบศพท่าน ก่อนจะกราบก็เข้าไปดูใบหน้าท่าน พร้อมกับทวงในใจว่า " ไหนหลวงพ่อเคยบอกว่า ข้าไม่ตายง่าย ๆ ไงครับ " ทันใดนั้น หลวงพ่อก็ยิ้มออกมา ริมฝีปากยืดมาจะจะเลย แล้วก็ยืดออกมาเรื่อย ๆ ๓ วาระจนสุดปาก คล้ายท่านขำ ๆ อะไรอยู่ เป็นรอยยิ้มอย่างมีความสุข ไม่มีทุกข์เจือปนอีกเลย เหมือนกับจะตะโกนบอกให้อาตมาทราบว่า " ในที่สุด แกก็เสียท่าฉันแล้ว ฉันก็หนีแกไปก่อน " แล้วท่านก็ยิ้มอย่างมีความสุขให้พวกเราดูเป็นครั้งสุดท้าย (ที่อาตมาเคยเขียนบันทึกในงาน ๑๐๐ วันมรณภาพหลวงพ่อถึงเรื่องที่ท่านยิ้ม ก็เพราะเหตุผลเรื่องนี้)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-06-2009 เมื่อ 18:39 |
สมาชิก 318 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
เรื่องปลาเน่า
เรื่องปลาเน่า
ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ก่อนงานเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งสุดท้าย ก่อนที่หลวงพ่อจะมรณภาพ ก็จะมีการพุทธาภิเษกมีดหมอด้วย พออาตมาและหลวงพี่บัญชาเข้าไปกุฏิหลวงพ่อ เพื่อรับหลวงพ่อมารับแขกที่ตึกรับแขกใหม่ อาจารย์โอ๋ (ที่จำหน่ายยาสมุนไพรในวัดท่าซุง) ก็เข้ามาถวายมีดหมอด้ามงา ด้ามเล็ก ด้ามงาช้าง แต่ปลอกทุกข้อทำด้วยทองคำแท้ทั้งหมด ๑ ด้าม มาถวายหลวงพ่อ ก่อนหลวงพ่อจะหยิบใส่ย่าม ท่านก็พูดขึ้นมาว่า "ต่อไปข้าตายเมื่อไร ไอ้แป๊ะมันเอาของข้าไปขายหมด ในวัดนี้ไม่มีใครเหมือนมัน มันค้นของข้า อะไรขายได้ มันขายหมด ต่อไปปลาเน่ามันก็ขายได้ มันเหมือนข้าสมัยอยู่กับหลวงพ่อปาน ท่านก็พูดกับข้าว่า ต่อไปปลาเน่าแกก็ขายได้" ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็พากันหัวเราะ แล้วหลวงพ่อก็เอามีดหมอใส่ย่าม แล้วก็พากันขึ้นรถไปยังตึกรับแขก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 306 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
สมเด็จวัดสามพระยาบอกหลวงพ่อไปนิพพาน
สมเด็จวัดสามพระยาบอกหลวงพ่อไปนิพพาน
วันครบรอบ ๑๐๐ วันมรณภาพหลวงพ่อ เมื่อมีพิธีแห่สรีระในโลงแก้ว ย้ายมาไว้ที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ในห้องกระจก โดยมีบุษบกที่สวยงามรองรับ ขณะนั้น อาตมาและท่านพระครูปลัดอนันต์ ท่านเจ้าอาวาสวัดท่าซุงนั่งกับพื้น ข้างเก้าอี้สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา หลวงปู่สมเด็จฯ ท่านยิ้มแล้วพูดว่า "ท่านเจ้าคุณ (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน) ท่านรู้ว่าท่านตายแล้วจะไปอยู่ที่ไหน ท่านจึงเตรียมที่ไว้แบบนั้น สมดังที่พระไตรปิฎกตรัสไว้ว่า เมืองแก้ว คือพระนิพพาน" แล้วท่านก็ชี้นิ้วไปที่ห้องกระจกที่ตั้งสรีระหลวงพ่อ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 27-03-2012 เมื่อ 10:43 |
สมาชิก 304 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
หลวงพ่อปรารภเรื่องการสร้างพระ
หลวงพ่อปรารภเรื่องการสร้างพระ
"การสร้างพระพุทธรูป ข้าจะไม่ยอมให้ท่านตากแดดตากฝนเด็ดขาด พระก็เหมือนพ่อแม่ แล้วเราจะยอมให้พ่อแม่เรานั่งตากแดดตากฝนทำไม?" "การสร้างพระพุทธรูปต้องมีตัวอาคาร ไม่ให้วางพระพุทธรูปกับพื้น ต้องมีฐานรองรับ" หลวงพ่อเดินตรวจงานสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ตรงอาคารที่กำแพงติดกับศาลา ๑๒ ไร่ เดินไปเห็นพระพุทธรูปหักชำรุดวางพิงกำแพงอยู่ ท่านยกมือไหว้และพูดว่า "ถ้าเดินไปเห็นกองทรายที่เขาเตรียมปั้นพระพุทธรูปกองอยู่ ไหว้ได้เลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-06-2009 เมื่อ 10:51 |
สมาชิก 313 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
ปกิณกะธรรม
ปกิณกะธรรมจากหลวงพ่อฤๅษี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 285 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
ปกิณกะธรรม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 282 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 280 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 271 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 272 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
มีร้านขายของชำร่วย พวกหุ่น ตุ๊กตาพื้นเมือง ติดกับร้านอาหาร หลวงพ่อถามอาตมาว่า "ร้านขายรูปปั้นตุ๊กตา เขาทุกข์ไหม?" ตอบว่า
"ทุกข์ครับ" "เขาทุกข์อย่างไร?" หลวงพ่อถาม "คนเข้าออกทั้งวัน เข้ามาดูแต่ไม่ซื้อ คนขายจึงทุกข์" หลวงพ่อจึงพูดว่า "นั่นมันทุกข์จร ขาจรเท่านั้น" ท่านบอกว่า "ทุกข์จริง ๆ มันเรื่องทุนจม ขายไม่ออก มันทุกข์ที่กู้เงิน ยืมเงิน ดอกเบี้ยธนาคารจะขึ้นเท่าไร ภาษี ค่าเช่าสถานที่ ค่าน้ำ ค่าไฟ โอ๊ย ! จิปาถะ" (๒๕ มิถุนายน ๒๕๓๑ ประเทศเยอรมัน)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 273 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-06-2009 เมื่อ 22:15 |
สมาชิก 285 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|