|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔
ถาม : เวลาที่นั่งภาวนาอยู่ ภาวนาไปด้วยจับลมไปด้วย แล้วรู้สึกเพลินไปกับการภาวนา พอรู้สึกตัวอีกทีก็เหลือแต่คำภาวนาอย่างเดียว อันนี้คือหลุดมาจากการจับลมแล้วหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เกิดจากสองสาเหตุด้วยกันจ้ะ อย่างแรกก็คือกำลังใจเริ่มละเอียดขึ้น แต่คราวนี้สติตามไม่ทัน ก็เลยเหลือการรับรู้อยู่แค่อย่างเดียว อย่างที่สองหยาบกว่าอีก ก็คือหลุดจากคำภาวนามา เหลือลมหายใจอยู่แค่ประการเดียวเท่านั้น สรุปง่าย ๆ ว่าทั้งสองอย่างสำคัญตรงสติ สติตามไม่ทันจะเกิดอาการนั้นขึ้น ถาม : ขณะนั้นจิตว่าง ไม่ได้คิดอะไรนอกจากการภาวนา ? ตอบ : เอาแค่นั้น จะทำอย่างไรก็ได้ ถ้าหากว่านิวรณ์กินใจไม่ได้ ถือว่ากำลังใจมีคุณภาพดีกว่าปกติ ถาม : เวลานั่งนิ่ง ๆ แล้วมองอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะลืมไป สมมติมองกระจกเห็นหน้าตัวเอง ก็จะรู้สึกว่าไม่ใช่หน้าเรา เป็นอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่อะไรเลยค่ะ พักหลังจะเป็นบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ แล้วหนูก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ ตอบ : จิตที่หยุดการปรุงแต่งเพราะสมาธิเริ่มทรงตัว ไม่ต้องรู้หรอกจ้ะ จริง ๆ แล้วสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เราดูว่าคุณภาพของจิตใจเป็นอย่างไรจึงจะสำคัญที่สุด ตอนช่วงนั้นนิวรณ์กินใจเราได้ไหม ? ถ้านิวรณ์กินใจเราไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ก็เรียกว่า สภาพจิตสงัดจากสิ่งที่ไม่ดีชั่วครั้งชั่วคราว ถ้าทำให้สงัดจากสิ่งที่ไม่ดีได้นานขึ้น คุณภาพจิตใจของเราก็จะดีขึ้น เพราะฉะนั้น..สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ อะไรที่เกิดขึ้น ไม่ต้องไปเสียเวลาไปตามคิดว่าคืออะไร แต่ว่าให้ดูว่าได้ประโยชน์อย่างไร
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-07-2011 เมื่อ 02:06 |
สมาชิก 221 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ถาม : หนูก็จะถามอยู่ค่ะ ว่ามีประโยชน์อะไรหรือเปล่า ? แล้วต้องพยายามทรงต่อไปหรือเปล่า ? หรือว่าไม่ต้อง ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่ช่วยให้จิตใจสะอาดขึ้นก็ไม่ต้องไปใส่ใจ แต่ถ้าหากว่าทำแล้วสภาพจิตใจของเราสงบระงับจากนิวรณ์ ๕ ประการ จากราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ชั่วคราวก็ทำได้ ถาม : ตอนป่วยจิตจะไประลึกถึงความตายเองโดยอัตโนมัติ แล้วจิตก็จะนิ่ง ไม่แกว่งเหมือนตอนปกติ แต่จะมีปัญหาตรงที่รู้สึกรำคาญทุกขเวทนาที่เกิดทางกายอยู่ ตอบ : ถ้ายังใส่ใจกับกายอยู่จะเป็นอย่างนั้น อยู่กับลมหายใจเข้าออกแล้วจะลืมไปเอง เพราะลมหายใจเข้าออกเป็นตัวระงับเวทนา ถาม : มีปัญหาเกี่ยวกับพวกเสียงเพลง ซึ่งเราไม่ได้อยากจะฟังเลยแต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ตอนได้ยินก็ยังไม่เป็นปัญหาค่ะ แต่ว่าหลังจากนั้นช่วงที่เราภาวนาไป เสียงเพลงจะคอยรบกวนอยู่ตลอดเลย ยิ่งจะเอาออกยิ่งเอาออกไม่ได้ ตอบ : ให้สังเกตว่าจะมาเฉพาะเพลงที่เราชอบ เพลงที่เราไม่ชอบจะไม่มาติดอยู่ในใจของเรา ถ้าไปดิ้นรนเพื่อตัดออกก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ถาม : เป็นการเปิดวนซ้ำเรื่อย ๆ แล้วจะคอยมา... ตอบ : ใช่ แต่ว่าเป็นเพลงที่เราชอบ เพราะเพลงที่เราไม่เคยได้ยินมาเราจะไม่ใส่ใจ นั่นแสดงว่าสภาพจิตของเราปรุงแต่งในส่วนที่เราชอบเอาไว้ก่อน โดยการเอาสิ่งที่รับเข้าไปใหม่แต่เป็นส่วนที่ชอบนั่นแหละกลับมาฉายซ้ำ ถ้าเกิดว่าเผลอไปคิดตาม เราก็จะทิ้งความดีที่เราทำไว้ อันนี้ถือว่าอันตราย ต้องรีบสลัดออกไปไว ๆ แล้วมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกใหม่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-07-2011 เมื่อ 02:10 |
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ถาม : พวกนี้เป็นเพลงการ์ตูนของเด็กที่เรารู้สึกรำคาญค่ะ แล้วเราก็พยายามสลัดก็ไม่ออกด้วย
ตอบ : ไม่ต้องไปสลัด กลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกก็พอ ถาม : ปกติเวลาภาวนาคาถาจะไปกับเพลงคล้าย ๆ กับจิตบันทึกว่าคาถาเป็นอย่างนี้ แล้วเพลงจะต้องต่อมาด้วยอย่างนี้ กลายไปเป็นเนื้อเดียวกันเลยค่ะ ตอบ : ลองผสมผสานออกมาดูสิ เผื่อจะได้เพลงดังยอดนิยมใหม่ ๆ บ้าง ถาม : หลังจากที่ท่านแนะนำให้คิดเสมอว่าตายเมื่อไรเราจะไปพระนิพพาน หนูก็ระลึกถึงเรื่อย ๆ แล้วหนูก็รู้สึกว่ากลัวตายลดลงไปเยอะ แต่มีครั้งหนึ่งหนูฝันว่าพี่ชายหนูตายกะทันหัน ตอนนั้นหนูก็ตกใจมาก กลัวว่าพี่ชายตอนนั้นใจเขาเป็นอย่างไร ถ้าเกิดขึ้นกับเราจะเป็นอย่างไร กลายเป็นว่าจากที่กลัวตาย ตอนนี้เลยกลัวตายแล้วไม่ได้ไปพระนิพพาน ความกลัวแบบนี้ถ้ามีเยอะก็ฟุ้งซ่านเหมือนกัน ต้องทำอย่างไรดีคะ ? ตอบ : ไม่ต้องทำอะไรหรอกจ้ะ อย่าไปคิดว่าเราตายแล้วจะไปพระนิพพาน ฟังให้ดี ๆ นะ แต่ให้รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะตาย ถ้าเราตายแล้วเราจะไปพระนิพพาน ต่างกันอยู่นิดหนึ่ง ไปคิดว่าตายแล้วจะไปพระนิพพาน บางทีก็ไม่ได้คิดหรอกว่าความตายมาถึงเราอยู่ตลอดเวลา ถาม : อย่างกรณีที่ตายกะทันหันตอนนั้น โอกาสที่บุญจะมารวมตัว หรือโอกาสที่จะเกิดปัญญาช่วงนั้นพอดีนี่ก็ไม่มีเลยใช่ไหมคะ ? ตอบ : ทำให้มากเข้าไว้ เมื่อถึงวาระสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะเป็นไปเอง บังคับไม่ได้ ถ้ามัวแต่มานั่งกังวลอยู่ก็จะเสียเวลาปฏิบัติด้วย ถาม : ปกติหนูก็จะระลึกถึงความตายของตัวเอง แต่ว่าบางครั้งก็คิดว่า ถ้าคนนั้นคนนี้ตายเราจะรู้สึกอย่างไรด้วย แต่ก็รู้สึกว่าเหมือนไปแช่งเขา ตอบ : คิดถึงโดยเห็นตามสภาพความเป็นจริงว่าเขาหรือเราก็ตายเหมือนกัน ไม่ใช่ไปคิดว่าถ้าเขาตาย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-07-2011 เมื่อ 02:13 |
สมาชิก 221 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
วันอาทิตย์ตรงกับวันเลือกตั้ง พระอาจารย์ท่านเตือนให้โยมไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ท่านกล่าวว่า "ประเทศชาติจะเจริญได้ ประชาชนทุกคนต้องเข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตน อาตมาเสียดายวิชาการดี ๆ ของสมัยก่อน เมื่อก่อนพอขึ้นชั้นป.๒ จะมีวิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรมแล้ว สมัยนี้ ป.๒ ไม่มี
เรื่องของจิตสำนึกสาธารณะต้องวางพื้นฐานตั้งแต่เด็ก ๆ ระดับอนุบาลหรือก่อนอนุบาลได้เลยยิ่งดี อย่างเราไปประเทศญี่ปุ่น จะเห็นว่าคนญี่ปุ่นไม่แยแสสนใจใคร เดินฉับ ๆ ไปทำงานของเขาอย่างเดียว ถ้าใครเดินช้าหน่อยเขาก็ชนเลย แต่จิตสำนึกสาธารณะของเขาสูงกว่าเรามาก ขนาดเด็กอนุบาลเขาถือปิ่นโตกับกระเป๋าไปโรงเรียนเอง แต่บ้านเรานี่นอกจากพ่อแม่ต้องถือปิ่นโตกับกระเป๋าให้แล้ว ยังต้องอุ้มลูกไปโรงเรียนอีกด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-07-2011 เมื่อ 02:42 |
สมาชิก 216 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
"บ้านเรามีหลายคนที่ลูกเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว แต่ยังนั่งรถไปเองไม่เป็นเพราะทางบ้านไปส่งตลอด มีอยู่รายหนึ่งอายุ ๓๐ กว่าแล้ว ทำงานแล้ว แต่พ่อยังไปส่งที่ทำงานอยู่ทุกวัน พอเขาแต่งงานไปสามีก็ไปส่งต่ออีก คนทำบุญมาดีขนาดนี้ก็มี ไม่รู้เอาชีวิตรอดมาได้อย่างไร ?
เขาไม่รู้ว่าวัวกับควายต่างกันอย่างไร พี่ที่ไปด้วยกันทนไม่ไหว จึงบอกว่าส่วนใหญ่ควายจะมีสีดำ ส่วนวัวมีสีเหลือง แต่เขาก็ดันไปเจอวัวสีดำพอดี ไปยืนรำพึงรำพันว่า "ตัวนี้สีดำ ต้องเป็นควายแน่เลย" ยังดีที่วัวพูดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันคงหันมาค้อนว่า "แกนั่นแหละ..ควาย..!" มีเด็กคนหนึ่งเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งแล้ว ปิดเทอมจะช่วยพ่อแม่ด้วยการทำน้ำปั่นขายที่หน้าบ้าน อาตมาก็บอกว่า "ดี..หลวงพ่อจะไปกินด้วย" ปรากฏว่าโครงการนี้ล้ม พอถามว่าทำไม เขาบอกว่าทอนเงินไม่เป็น อาตมาก็ถามว่าปกติซื้อของทำอย่างไร เด็กเขาบอกว่า "เขาทอนให้มาเท่าไรก็เอาแค่นั้นแหละ" นี่ขนาดเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งแล้วยังทอนเงินไม่เป็นเลย..! อย่างอาตมาตั้งแต่เด็ก แม่ค้าเขาสอนวิธีทอนเงินที่ไม่พลาดให้ ก็คือ ให้นับต่อเลย สมมติว่าซื้อของ ๔๐ บาท ให้เงินไป ๑๐๐ เขาก็ทอนเงินให้โดยนับต่อจาก๔๐ เป็น ๕๐-๖๐-๗๐-๘๐-๙๐-๑๐๐ ครบร้อยก็เอาไปได้ ไม่ผิดแน่นอน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-07-2011 เมื่อ 02:45 |
สมาชิก 227 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เตือนโยมคนหนึ่งว่า "จำไว้ว่าอย่าอยากมากเกินไป มีอะไรก็พอใจแค่นั้นแล้วเราจะทุกข์น้อย และอย่าตั้งความหวังกับคนอื่น เขาจะเป็นอย่างไรช่างเขา ถ้าเราอยากให้เขาเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ เราก็จะทุกข์อีกเหมือนกัน
เอาแค่สองอย่างพอ อย่าอยากมาก และอย่าตั้งความหวังกับคนอื่น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2011 เมื่อ 13:41 |
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่เป็นพ่อแม่จะสบายใจได้ ก็ต่อเมื่อลูกมีวุฒิภาวะเพียงพอ รู้จักกาลเทศะ รู้จักระงับอารมณ์ตนเอง รู้ว่าอะไรควรไม่ควร
เราจะไม่รู้หรอกว่าคนที่เป็นพ่อแม่รักลูกมากแค่ไหน ? จนกว่าจะมีลูกเอง แบบพระเจ้าอชาตศัตรู ท่านจับพ่อก็คือ พระเจ้าพิมพิสารขังเอาไว้ในคุก ตั้งใจจะขังให้ตาย เพื่อเอาราชสมบัติ พระมเหสีแม่ของพระเจ้าอชาตศัตรูเข้าไปเยี่ยมพระเจ้าพิมพิสาร โดยเอาอาหารซ่อนไว้ในผ้าห่ม พระเจ้าพิมพิสารได้เสวยอาหารที่พระนางซ่อนมาจึงมีชีวิตรอด พอพระเจ้าอชาตศัตรูเห็นว่าหนึ่งอาทิตย์แล้วพ่อยังไม่เป็นอะไร ก็ไปสอบถามผู้คุม จึงทราบว่าแม่ของตนแอบซุกอาหารเข้ามา ครั้งต่อไปพระเจ้าอชาตศัตรูจึงสั่งให้ผู้คุมค้นตัว อย่าให้มีอาหารเข้าไป พระมเหสีจึงเปลี่ยนแผนใหม่ เอาพวกข้าว ถั่ว งา ตำจนละเอียดเป็นผง และทาตัวเข้าไป พระเจ้าพิมพิสารก็ได้อาศัยของเหล่านั้นเป็นอาหาร พระเจ้าอชาตศัตรูสอบถามผู้คุมจึงทราบว่าเป็นฝีมือแม่ของตนอีก พระเจ้าอชาตศัตรูจึงสั่งห้ามเยี่ยม เมื่อพระเจ้าพิมพิสารไม่มีอาหารจึงใช้วิธีเดินจงกรม สำหรับคุกที่ขังพระเจ้าพิมพิสารนั้นมีช่องเล็กอยู่ช่องหนึ่ง สามารถมองไปทางเขาคิชฌกูฏได้ ท่านก็มองไปทางด้านนั้นว่าเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า ตั้งใจน้อมจิตระลึกถึงด้วยความเคารพและเดินจงกรมภาวนา อยู่ด้วยธรรมปีติ จึงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ พระเจ้าอชาตศัตรูไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงสั่งช่างตัดผมให้เอามีดโกนไปกรีดฝ่าเท้าพระเจ้าพิมพิสาร จะได้เดินไม่ได้ พอกรีดฝ่าเท้าไม่สามารถเดินจงกรมได้ และบาดแผลอักเสบ พระเจ้าพิมพิสารก็ต้องนอนจมอยู่กับที่ ผ่านไปหลายวัน พระเจ้าอชาตศัตรูกำลังออกว่าการที่ท้องพระโรงอยู่ ทหารมารายงานว่าพระมเหสีของพระองค์คลอดแล้ว ทันทีที่รู้สึกว่าตัวเองมีลูก จึงเกิดความรู้สึกรักใจจะขาด ใจก็เลยนึกถึงว่า พ่อเราก็คงรักเราแบบนี้ จึงรีบเสด็จไปที่คุก ตั้งใจจะปล่อยพ่อออกมา ปรากฏว่าพ่อตายไปเสียก่อน พระเจ้าอชาตศัตรูจึงเกิดโทษอนันตริยกรรมเพราะฆ่าพ่อ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2011 เมื่อ 13:44 |
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
"บรรดาราชวงศ์หรือผู้ปกครองต่าง ๆ แทบทุกมุมโลก ก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ก็มีการฆ่าล้างผลาญกันเป็นปกติ แม้กระทั่งของไทยเรา ในช่วงกรุงศรีอุยธยาก็ยังฆ่ากันเป็นปกติ ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ราชวงศ์บ้านพลูหลวง ราชวงศ์ปราสาททอง ฆ่ากันแล้วฆ่ากันอีก จนบางช่วงแทบจะไม่มีคนรับราชการ คนดีคนเก่งโดนฆ่าทิ้งหมด เพราะว่าเป็นพวกของอีกฝ่ายหนึ่ง
เพิ่งจะมาสงบเรียบร้อยเมื่อสมัยรัตนโกสินทร์นี่เอง จะว่าสงบเรียบร้อยก็ไม่ใช่ อย่างสมัยรัชกาลที่ ๓ ขึ้นครองราชย์ ความจริงราชสมบัติต้องเป็นของรัชกาลที่ ๔ เพราะรัชกาลที่ ๔ เป็นสมเด็จเจ้าฟ้า ส่วนรัชกาลที่ ๓ แม่เป็นสามัญชน จึงเป็นแค่หม่อมเจ้า แต่รัชกาลที่ ๓ ท่านทำหน้าที่แทนรัชกาลที่ ๒ มาตลอด แม้กระทั่งการรบทัพจับศึกหรือค้าขาย ท่านเก่งทุกอย่าง ข้าราชการก็สนับสนุนให้ท่านขึ้นครองราชย์ รัชกาลที่ ๓ พิจารณาแล้วว่าถ้าไม่รับราชสมบัติไว้ รัชกาลที่ ๔ ไม่รอดแน่นอน เพราะถ้าท่านไม่ทำคนอื่นก็จะลงมือทำเอง รัชกาลที่ ๓ จึงรับราชสมบัติไว้ เป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์เดียวที่ทำพิธีบรมราชาภิเษกโดยไม่ได้สวมพระมหาพิชัยมงกุฎ พอราชปุโรหิตถวายพระมหาพิชัยมงกุฎ พระองค์ท่านรับและวางเอาไว้ด้านข้าง ตรัสว่า "เก็บเอาไว้ให้น้อง" เราจะเห็นว่าน่าจะมีการนองเลือดเกิดขึ้น แต่รัชกาลที่ ๓ ตรองถูก เลือกถูก ยอมโดนคนตราหน้าว่าแย่งสมบัติน้องดีกว่า ไม่อย่างนั้นน้องคงจะแย่แน่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-07-2011 เมื่อ 02:09 |
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
"กลายเป็นว่ารัตนโกสินทร์ของเราปลอดจากการแย่งชิงราชสมบัติมากว่า ๒๐๐ ปี มาถึงช่วงรัชกาลที่ ๗ โดนคณะราษฎร์ปฏิวัติชิงพระราชอำนาจ ช่วงนั้นจึงต้องหาบุคคลที่จะมาเป็นรัชกาลที่ ๘ เขาต้องดูจากการสืบสายสันตติวงศ์
ตอนนั้นสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ถือว่าอาวุโสสูงสุด แต่ทิวงคตเสียก่อน ก็ต้องมาดูลูกที่สืบสายของพระองค์ท่าน คือ หม่อมเจ้าจุลจักรพงษ์ แต่แม่ของท่านเป็นแหม่มรัสเซีย ก็เลยไม่สามารถที่จะสืบสายได้ องค์ต่อมาก็คือ สมด็จเจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ก็ทิวงคตอีก พอไปดูลูก ก็คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล(เสด็จพระองค์ชายใหญ่) พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลทิฆัมพร(เสด็จพระองค์ชายกลาง) พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรณ์มงคลการ(เสด็จพระองค์ชายเล็ก ) ทั้งสามท่านไม่มีใครกล้ารับ ขนาดในหลวงรัชกาลที่ ๗ เขายังไล่ออกจากราชบัลลังก์ แล้วคนอื่นจะเหลือหรือ ? ก็ต้องดูสายต่อมาก็คือ สมเด็จเจ้าฟ้ามหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ตอนนั้นท่านเป็นกรมหลวงสงขลานครินทร์ ปรากฏว่าทิวงคตเหมือนกัน ก็มาดูลูก มีพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล และพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช ความจริงท่านเกิดมาเป็นหม่อมเจ้าทั้งคู่ แต่ได้รับเลื่อนเป็นพระวรวงศ์เธอ สมเด็จย่าก็ยอมให้ในหลวงรัชกาลที่ ๘ มา แปลว่า รอดการนองเลือดไปได้ เพราะว่าต่างก็เกี่ยงกันเป็น เพราะสถานการณ์ไม่ให้เอื้ออำนวย กลัวคณะราษฎร์จะฆ่า"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-07-2011 เมื่อ 03:12 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
"พอรัชกาลที่ ๘ สวรรคต ก็ต้องไปไล่สายกันเหมือนเดิม พอมาถึงสายของกรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ทั้งสามพระองค์ยิ่งไม่เอาใหญ่เลย คราวที่แล้วไล่กษัตริย์ออก คราวนี้ฆ่าเลย ใครจะกล้าเป็น ? ก็ตกมาที่สมเด็จย่าอีก สมเด็จย่าต้องสละลูกคนเล็กให้ไปครองราชย์
ดังนั้น..สองร้อยกว่าปีที่ผ่านมา รัตนโกสินทร์ของเราในราชวงศ์จักรีไม่มีการแย่งชิงราชสมบัติ ต้องบอกว่าพระสยามเทวาธิราชปกปักรักษาไว้ ก็เลยเป็นแบบอย่างที่ดี อย่างราชวงศ์ทางยุโรปก็มีการแย่งชิง แต่พอมาระยะหลังเขาแก้ปัญหาตก โดยการแต่งงานไขว้กันไปไขว้กันมาจนเป็นญาติกันหมด ไม่รู้จะแย่งกันไปทำไม เพราะญาติตัวเองทั้งนั้น แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ของเราทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติอย่างมหาศาล ชาวบ้านก็ให้การเคารพนับถือ ขณะที่ต่างประเทศไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะว่ากษัตริย์จริง ๆ ก็คือ นักรบ ถึงเวลาไม่ได้รบเพื่อประชาชน คนเขาก็ไม่เห็นประโยชน์ ปัจจุบันอย่างสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธ พระบรมราชินีนาถของอังกฤษ พระองค์ยังเป็นสัญลักษณ์ของการปกครองระบอบกษัตริย์ที่ยังเข้มข้นอยู่มาก แต่คนให้ความสำคัญน้อยลงไปเรื่อย ๆ ปัจจุบันนี้กษัตริย์ของเขายังต้องเสียภาษีด้วย..! นึกถึงเรื่องที่เขาเล่าให้ฟัง ก็คือ พระเจ้าโบดวงขับรถเร็วเกินกำหนด ตำรวจเขาเรียกมาเขียนใบสั่ง ถามว่าชื่ออะไร ? "โบดวง" อาชีพอะไร ? "กษัตริย์" เขาไม่สนใจหรอก ออกใบสั่งให้ไปจ่ายค่าปรับเฉยเลย..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-07-2011 เมื่อ 03:15 |
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
"ดูอย่างสมเด็จพระเทพฯ ของพวกเรา เสด็จไปไหนชาวบ้านแทบจะถวายหัวให้อยู่แล้ว แต่ความจริงท่านจ่ายหนักกว่าเดิมทุกที สมมติไปกินข้าวเขามื้อหนึ่ง เรากินอย่างเก่งเต็มที่คงไม่เกินร้อยบาท แต่พระองค์ท่านอาจจะต้องให้เขาสองร้อยบาท เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก สรุปแล้วแทนที่จะสบาย กลับจ่ายหนักกว่าเราอีก..!
ที่บ้านจ่าตุ่มจะมีแบงก์ที่สมเด็จพระเทพฯ พระราชทานให้ เขาใส่กรอบไว้บูชา ตอนที่ท่านเสด็จไปอุทัยธานี เขาก็ไปเข้าเฝ้าถวายสิ่งของกัน บ้านจ่าตุ่มเขาทำแต่มีดก็เลยถวายมีด พระองค์ท่านรู้ว่าธรรมเนียมโบราณจะไปรับอาวุธของใครฟรี ๆ ไม่ได้ ก็เลยต้องทำเป็นซื้อ พระราชทานเงินให้เป็นค่ามีด เรื่องมีดเขาถือมาแต่โบราณว่า อย่าไปเอาของใครฟรี ๆ ถ้าได้ฟรีก็มีแต่ที่เขาเสียบมาให้เท่านั้น แปลว่าถึงตาย..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-07-2011 เมื่อ 13:22 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนไหนที่ยังแบ่งแยกขาวดำชัดเจน เล่นการเมืองไม่ได้หรอก เพราะการเมืองไม่มีมิตรแท้และไม่มีศัตรูถาวร
ถ้าจะเล่นการเมืองต้องเล่นอย่างในหลวง ในหลวงไม่ได้เล่นการเมืองแต่พระองค์ท่านทำเป็นตัวอย่าง ก็คือ ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม ไม่ได้สนใจว่าคุณจะเป็นฝ่ายไหน เป็นสีไหน เป็นสัญชาติไหน ทุกคนก็คือบุคคลที่พระองค์ท่านต้องปกครองดูแลทั้งหมด ใครที่ยังแบ่งแยกขาวดำชัดเจนเข้าไปเล่นการเมืองไม่ได้หรอก..เสียคนหมด ก็คือจะรับสภาพความสกปรกของการเมืองไม่ได้ เดี๋ยวก็ลาออก หรือถอดใจถอยไปเอง นักการเมืองน้ำดีเป็นจำนวนมากที่ไม่สามารถจะยืนหยัดในวงการได้ เพราะในนั้นมีวิชามารเยอะมาก ได้แต่หวังว่าบ้านเมืองเราจะเริ่มดีขึ้นสักที เพราะว่าในหลวงเราทุกวันนี้ประคับประคองพระวรกายก็เพื่อจะให้สถานการณ์ดีขึ้น ไม่อย่างนั้นถ้าพระองค์ปุบปับไปแล้ว จะยุ่งมาก คนอายุ ๘๐ กว่าแล้ว แต่หาเวลาพักผ่อนไม่ค่อยได้ กลอนเขาบอกว่า "จะพักเพียงสักวัน ยังหายากลำบากเกิน" เวลาจะพักสักวันยังไม่มีเลย ตอนนี้ก็ช่วยกันลุ้นให้พระองค์เสด็จพระราชดำเนินได้ ขนาดต้องไปรถเข็นพระองค์ท่านยังทรงงานไม่เลิกเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-07-2011 เมื่อ 13:23 |
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
พระอาจารย์แจ้งว่า "เดือนหน้าอาตมาจะมารับสังฆทานวันพฤหัสบดี-ศุกร์-เสาร์ นะจ๊ะ ขอเวลาวันอาทิตย์กลับไปจัดสถานที่วันหนึ่ง เพราะวันจันทร์ต้องจัดอบรมพระนวกะทั้งอำเภอที่วัดท่าขนุน พระทั้งอำเภอ ๔๐๐-๕๐๐ รูป จะต้องมารวมอยู่กันทั้งหมด ไม่เตรียมการให้ดีเดี๋ยวมีขายหน้าเขาแน่ ๆ..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-07-2011 เมื่อ 13:24 |
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องกำลังใจว่า "นักวิ่งมาราธอนคนแรกของโลก วิ่งระยะทาง ๔๒ กิโลเมตรเพื่อไปส่งข่าวว่ากรีกชนะแล้ว พอส่งข่าวเสร็จเป็นลมล้มตาย กำลังใจเขามุ่งมั่นว่าต้องทำหน้าที่นี้ให้สำเร็จ
มีนักวิ่งโอลิมปิกชาวเคนยาคนหนึ่ง เท้าเขาบาดเจ็บ วิ่งเหลืออีกกี่รอบสนามไม่รู้ แต่ก็ยังวิ่งกระโผลกกะเผลกไปเรื่อย จนกระทั่งคนรอบข้างตะโกนบอกให้เลิกเถอะ เพราะไม่มีใครเหลืออีกแล้ว แต่เขาก็ยังวิ่งไปเรื่อยจนกระทั่งครบตามระยะ นักข่าวไปสัมภาษณ์ว่าทำไมวิ่งไม่เลิก ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครแข่งด้วยแล้ว เขาบอกว่าประเทศส่งเขามาให้วิ่ง เพราะฉะนั้น..เขาต้องทำหน้าที่ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ กำลังใจเขามุ่งมั่นขนาดนั้น ถ้าเป็นเราโดนน็อกรอบก็ไม่วิ่งแล้ว กำลังใจยังไม่เด็ดขาดอย่างเขา ต้องเอาให้ได้อย่างหมาป่า หมาป่าติดกับดัก เห็นว่าดิ้นรนแล้วไม่หลุดแน่ ก็กัดขาตัวเองทิ้งเลย ถ้าทำอย่างนั้นได้เราตัดร่างกายได้แน่ แบบเดียวที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ให้สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ ให้สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ให้สละทั้งทรัพย์ อวัยวะและชีวิตเพื่อรักษาธรรม ต้องเหี้ยมหาญและเด็ดขาด กำลังใจแบบนั้นถึงจะรบกับกิเลสได้ เพราะกิเลสไม่เคยปรานีเรา ถ้าเรามัวแต่ไปรามือหย่อนมืออยู่ สู้เขาไม่ได้หรอก ประเภทอ่อนให้เขาครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ครั้งเดียวหรอก ต้องอ่อนให้เขาไปตลอดชีวิตเลย..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-07-2011 เมื่อ 13:26 |
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันก่อน ทางหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ คุณชนินทร เหตระกูล ถามมาว่า ถ้าจะขออนุญาตนำเรื่องในเว็บวัดท่าขนุนไปลงในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ จะต้องขออนุญาตจากใคร ? อาตมาจึงแจ้งเขาไปว่า ถ้าหากว่าเป็นเรื่องทั่วไปทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องที่ทางเว็บขออนุญาตที่อื่นนำมาลง สามารถนำไปลงได้เลยโดยไม่ต้องขออนุญาต
การเผยแผ่ธรรมะจริง ๆ ต้องกว้างไกล ถ้าหากว่ามีคนช่วยกันมากเท่าไรก็ดีเท่านั้น แต่ว่าหลายต่อหลายที่ต้องสงวนลิขสิทธิ์เพราะว่ามีบุคคลนำไปเป็นผลประโยชน์ทางการค้า อย่างหนังสือสมบัติพ่อให้ของวัดท่าซุง เขานำไปคัดลอกกันตรง ๆ เลย แล้วก็ไปเปลี่ยนหน้าปกใหม่ นำไปวางจำหน่ายตามท้องตลาด หรืออย่างหนังสือหลวงตามหาบัวก็เช่นกัน จนเขาต้องบอกว่าสงวนลิขสิทธิ์ ยกเว้นพิมพ์เพื่อเป็นธรรมทาน หนังสือของหลวงตาบัวถ้าพิมพ์เพื่อเป็นธรรมทานท่านให้ ส่วนของวัดท่าซุงนี่สงวนลิขสิทธิ์ด้วยประการทั้งปวง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-07-2011 เมื่อ 10:10 |
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
ถาม : เวลาที่ทำสมาธิแล้วจิตเราหลุดออกไป ต้องพิจารณาตัดร่างกายอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าออกไปนี่ไม่ต้องตัดแล้วพ่อคุณ เขาต้องตัดก่อนออกไป ถาม : แต่พอออกไปแล้วร่วงกลับที่เดิมทุกทีเลยครับ ตอบ : ถ้าร่วงกลับที่เดิมทุกทีแสดงว่าคุณพิจารณาร่างกายไม่ละเอียด จิตยังห่วงร่างกายอยู่ คุณต้องแยกแยะให้เห็นชัดเจนเลยว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างไร เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ สักแต่ให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราว ถ้าจิตเห็นชัด ไม่ห่วงร่างกายแล้วจึงจะออกไป แต่ถ้าคุณพิจารณาไม่ชัดจิตก็จะกลับทันที เพราะว่ายังห่วง หนักกว่านั้นอีกก็คือไม่ไปเลย ดังนั้น..พิจารณาตั้งแต่ก่อนไปนะจ๊ะ ไม่ใช่ไปแล้วค่อยพิจารณา ไปแล้วไม่มีเวลาพิจารณาหรอก พยายามไปดูให้เห็นให้ชัด ว่าร่างกายไม่เที่ยงอย่างไร ? เป็นทุกข์อย่างไร ? ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างไร ? จนสภาพจิตยอมรับแล้ว เราค่อยภาวนาไปตามแบบของเรา ถ้าหากว่าจิตยิ่งยอมรับมากเท่าไร ก็จะยิ่งไปง่ายเท่านั้น ไปเริ่มต้นใหม่..ความจริงทำถูกแล้ว แต่ยังถูกไม่หมด พิจารณาน้อยไปหน่อย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-07-2011 เมื่อ 10:11 |
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
ถาม : ลูกสาวไม่ค่อยมีความรับผิดชอบ ดูไม่ค่อยใส่ใจอะไรเลย ซึ่งอายุขนาดนี้ควรจะมีความรับผิดชอบมากกว่านี้แล้ว เราจะช่วยเขาได้อย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ไม้เรียวสิ..! มอบหมายงานให้เขาทำ อย่างเช่นว่าอาจจะเก็บเสื้อผ้า พับเสื้อผ้า จัดที่นอน ถ้าเขาไม่ทำก็ฟาดเลย ถ้าหากว่างานที่เขารับมอบหมายทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจะไปทำอะไรก็ตามใจเขา ส่วนใหญ่แล้วพ่อแม่มักจะทนไม่ได้ที่จะตีลูก โบราณเขาบอกอะไรไว้ไม่ผิดหรอก "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" รักวัวถ้าไม่ผูกไว้เดี๋ยวก็ทำความเสียหาย ไปกินข้าวนาชาวบ้านเขาบ้าง โดนขโมยไปบ้าง รักลูกให้ตี ถ้าไม่ตีนี่เอาดีได้ยาก พระพุทธเจ้าตรัสว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ไม่เกรงอาชญานั้นไม่มี คำว่าอาชญาก็คือการลงโทษ แต่คราวนี้เรื่องของเด็ก ๆ ต้องลงโทษให้เป็นเหตุเป็นผล ชี้แจงก่อน ถ้าไม่ทำตามแล้วค่อยตีเขา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-07-2011 เมื่อ 10:13 |
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
มีเด็ก ๆ หลายคนด้วยกัน ประเภทเริ่มวัยรุ่นแล้ว เรียนป. ๖ บ้าง ม. ๑ ม. ๒ บ้าง ไปอยู่ที่วัด อาตมาจะให้ทำวัตรเช้าเย็นด้วยกัน แล้วก็ซักผ้าของตัวเอง ล้างจานของตัวเอง ก็ทำได้ทุกคน โดยเฉพาะเขาเห็นเครื่องซักผ้าเป็นของสนุก บางทีชิ้นสองชิ้นก็โยนลงไปซักแล้ว สนุกสนานกันใหญ่
พอกลับบ้านไป พ่อแม่ก็ดีใจที่เด็กเก่งขึ้น ทำอะไรได้เยอะแยะ แต่พออยู่ไปสักอาทิตย์หนึ่ง ทุกอย่างแม่ทำเหมือนเดิม ก็แม่ไปแย่งเขาทำเอง คราวนี้พอมีคนทำเขาก็ไม่ทำสิ ไปเปิดโอกาสให้เขา เขาก็เลือกเอาที่สบาย พ่อแม่อยากทำใช่ไหม ? เอาไปเลย..เขาก็ไปเล่นของเขา ถาม : ใหม่ ๆ เขาจะสนุกค่ะ เหมือนกับได้เล่น แต่พอนาน ๆ ไปเข้าก็เบื่อ ตอบ : อยู่ที่นั่นเป็นเดือนไม่เห็นเขาเบื่อสักที เล่นได้ทุกวัน โดยเฉพาะเครื่องซักผ้าที่วัดนี่ใช้ง่ายมาก เพราะว่าจะซื้อระบบที่ง่ายที่สุด สำหรับคนที่โง่ที่สุดอย่างอาตมาใช้..! เด็กเขาจึงใช้เป็นทุกคน พวกประเภทต้องมาตั้งหลาย ๆ ระบบนี่อาตมาไม่เอาหรอก อาตมาเป็นคนมักง่าย อะไรที่ง่ายได้จะไม่ทำให้ยาก แม้กระทั่งการใช้คอมพิวเตอร์ก็เหมือนกัน ใช้ไปใช้มาก็มักจะหาทางใช้ให้ง่ายที่สุด โปรแกรมอันไหนที่ยุ่งยากก็โยนทิ้งไปเลย หลายต่อหลายคนที่เขาเคยสอนอาตมาให้ใช้เครื่อง พอกลับมาอาตมากลับต้องไปสอนเขา เขาก็งง ๆ ว่า ทำอย่างนี้ได้ด้วยหรือ ? อาตมาก็บอกว่าทำได้ เพราะอาตมาเป็นคนมักง่าย ชอบอะไรที่ง่าย ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-07-2011 เมื่อ 10:16 |
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
ถาม : คำว่า "โมทนา"กับ "อนุโมทนา" ต่างกันไหมคะ ?
ตอบ : เหมือนกัน เพียงแต่ว่าคำว่า "โมทนา" กร่อนมาจากคำว่า "อนุโมทนา" โมทนา คือ พลอยยินดี อนุ แปลว่า ตาม อนุในภาษาบาลีเป็นคำอุปสรรค(คำนำหน้า) ความหมายของก็คือ น้อย , ภายหลัง , ตาม ดังนั้น..คำว่า โมทนา ก็คือพลอยยินดีตามไปในบุญที่เขาทำด้วย คำที่ถูกต้องก็คือคำว่าอนุโมทนา แต่โมทนาเป็นคำที่พูดสั้น ๆ เพื่อให้ฟังง่ายเท่านั้น อุปสรรคของบาลี แปลว่า คำนำหน้า แต่อุปสรรคของพวกเราก็คือ สิ่งที่ขวางหน้า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-07-2011 เมื่อ 10:17 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวกับโยมผู้หญิงที่นุ่งสั้นว่า "ตั้งใจจะไปที่ไหนต่อหรือเปล่า ? ถ้าตั้งใจมาเฉพาะที่นี่ คราวหน้าแต่งตัวให้น่าหวาดเสียวน้อยกว่านี้หน่อย ผู้หญิงเราจะน่าสนใจต้องเหลืออะไรให้คนเขาค้นคว้าได้บ้าง ถ้าไม่เหลืออะไรไว้เลยคนเขาจะไม่สนใจหรอก
ช่วงเดือนที่แล้วไปงานฉลองประโยค ๙ ของสามเณรชวิน วัดปรังกาสี ไปงานนั้นแล้วทำให้รู้ว่าคนปัจจุบันนี้ มากต่อมากด้วยกันที่ไม่รู้กาลเทศะ เพราะว่างานนั้นโยมที่เป็นประธานเปิดงานนุ่งกางเกงขาสั้นมา แล้วญาติโยมผู้หญิงนุ่งกางเกงขาสั้นมา ๗-๘ คน เดินกระมิดกระเมี้ยนเข้ามา นั่นทั้ง ๆ ที่เขารู้อยู่ว่าเขาจะไปวัด แล้วก็ไปงานของพระด้วย ถ้าจำเป็นต้องพรางตัวออกมาไม่ให้ทางบ้านเขาสงสัย ก็หาชุดมาเปลี่ยนแล้วกัน ห้องน้ำที่นี่มีจ้ะ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-07-2011 เมื่อ 11:47 |
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|