#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
|
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๗ เมื่อคืนกระผม/อาตมภาพเจอกรรมสนอง..! เนื่องเพราะว่าเกิดลมพิษขึ้นทั้งตัว ด้วยความที่โรคลมพิษนี้ ถ้าหากว่าเรายิ่งเกา ก็จะยิ่งอาการหนัก กระผม/อาตมภาพจึงต้องใช้ทำวิธี "ไม่รู้ไม่ชี้" ขนาดนั้นก็ยังตุ่มขึ้นจนหัวหูหน้าตาบวมไปหมด กว่าที่จะบรรเทาเบาบางลง ก็หลังเที่ยงคืนไปแล้ว
ดูจากสาเหตุทั้งหมดแล้ว น่าจะเกิดจากอาหารเพลเมื่อวานนี้ ซึ่งมีแกงส้มผักหวานป่าใส่ไข่มดแดง กระผม/อาตมภาพสงสัยตั้งแต่ตอนฉันแล้ว ว่าทำไมไข่มดแดงถึงสด ชนิดแตกเป๊ะอยู่ในปากเลย น่าจะเกิดจากคนทำใช้วิธีโรยไข่มดแดงลงไปหลังจากแกงเสร็จแล้ว แต่ด้วยความที่ไม่ใช่ขาประจำในการฉันไข่มดแดง นาน ๆ จะเจอทีหนึ่งเท่านั้น เพียงแต่กระผม/อาตมภาพนั้นเป็นบุคคลที่ไม่เคยรังเกียจอาหารประเภทใดเลย พูดง่าย ๆ ว่า "ถ้ามนุษย์กลืนลงไปได้ก็ส่งมาเถอะ..!" ขนาดไปต่างประเทศ ทางด้านคุณนวลจันทร์ เพียรธรรม เจ้าของบริษัทท่องเที่ยวเอ็น ซี ทัวร์ ซึ่งคร่ำหวอดอยู่ในวงการท่องเที่ยวมาเกินกว่า ๔๐ ปี ถึงขนาดออกปากว่า "หลวงพ่อเล็กเป็นพระที่ฉันง่ายที่สุดในโลก" เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพไม่เคยเรียกหาอาหารไทยแม้แต่ครั้งเดียว ไปที่ไหนก็ฉันแต่อาหารพื้นเมืองของที่นั่น แล้วบุคคลส่วนใหญ่ในคณะก็ทำตัวคล้าย ๆ กัน เนื่องเพราะว่าพยายามฝึกฝนในส่วนของ "อาหาเรปฏิกูลสัญญา" มานาน บรรดาลูกศิษย์ที่ร่วมทาง ก็มีส่วนในการฝึกฝนมาแบบนี้ด้วย จนทางคุณนวลจันทร์ต้องเอ่ยปากขอร้องว่าให้ช่วยกันกินอาหารไทยหน่อย ไม่ว่าจะเป็นหมูหยอง หมูแผ่น น้ำพริก ปลาทู สารพัดที่ขนไป เนื่องเพราะว่าจะต้องขนกลับมาหนักเปล่า ๆ แต่ก็ไม่ค่อยมีใครสนใจ ดังนั้น..ในเมื่ออาหารแปลก ๆ อย่างแกงส้มผักหวานป่าใส่ไข่มดแดงมา กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้รังเกียจ ตักใส่จานได้ก็ฉันไปตามปกติ ไม่นึกว่าการที่ฉันหนอน ซึ่งก็คือหนอนมดแดงนั่นแหละ จะทำให้เกิดอาการแพ้แล้วคันได้ขนาดนี้..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2024 เมื่อ 00:44 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เมื่อลองดูกรรมเก่าของตนเองแล้ว จะว่าขำก็ขำ จะว่าทุเรศก็ทุเรศ เนื่องเพราะว่าในอดีตชาติที่เคยเป็นทหารนั้น ส่วนใหญ่ก็ทำหน้าที่ในการก่อกวนข้าศึกไม่ให้หลับไม่ให้นอน เพื่อที่ถึงเวลาหมดสภาพแล้วฝ่ายเราจะได้เข้าตีได้ง่าย งานนั้นก็มีการขึ้นไปบนภูเขาเหนือลมที่ทางค่ายข้าศึกตั้งอยู่ แล้วก็เอาฝักหมามุ่ยไปเคาะให้ขนลอยตามลมเข้าไปในค่าย ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่า การตั้งค่ายในสมัยนั้นไม่ใช่ค่ายสมัยนี้ ค่ายในสมัยนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงไม้ปักเอาไว้รอบด้านเท่านั้น ไม่ได้มีเต็นท์เหมือนอย่างกับสมัยนี้ ยกเว้นแต่แม่ทัพ ก็อาจจะมีหลังคากันน้ำค้างไว้หน่อยหนึ่ง ในส่วนของทหารทั่วไป ก็นอนกลางดิน กินกลางทรายไปแบบนั้น
ในเมื่อลมพัดเอาขนหมามุ่ยปลิวเข้าไปในค่าย ก็ไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนกันแล้ว เกาคะเยอกันทั้งคืน ยิ่งเกาก็ยิ่งคัน ถึงขนาดถลอกปอกเปิก ยังโชคดีที่กระผม/อาตมภาพฝึกกรรมฐานเอาไว้มาก จึงสามารถทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สนใจได้ ถ้าหากว่าเกาไป รับประกันได้ว่าสามวันร่องรอยก็ยังอยู่..! สมัยที่ยังอยู่ที่เกาะพระฤๅษีนั้น ภายในเกาะมีต้นประดู่เลือด หรือว่าประดู่ส้มอยู่ด้วย ต้นไม้ชนิดนี้ถ้าเราไปถากเปลือก หรือว่าฟันเป็นบาดแผล ก็จะมียางไม้สีแดงเหมือนเลือดไหลออกมา ทำเอาคนไม่รู้จักตกใจตาเหลือกมามากแล้ว แต่ว่าต้นประดู่ส้มนั้น เมื่อแตกใบอ่อนจะเป็นอาหารสำคัญของผีเสื้อชนิดหนึ่งซึ่งมาวางไข่ เพื่อให้หนอนผีเสื้อได้กินใบอ่อนของประดู่ส้มเป็นอาหาร แต่หนอนผีเสื้อชนิดนี้เป็นหนอนคัน เมื่อถึงเวลาก็จะสลัดขนทิ้งเอาไว้ ปลิวไปทางไหนก็คันที่นั่น กระผม/อาตมภาพตอนแรกก็ไม่ได้ใส่ใจนัก จนกระทั่งแขกสำคัญผู้หนึ่ง คือคุณจิรา ลิ่วเฉลิมวงศ์ ถ้าหากว่าทุกคนไม่รู้จัก ก็ต้องนึกถึงน้องแบม (จณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์) ซึ่งเป็นญาติกัน ลูกสาวสองคนของคุณจิรา คือน้องปูกับน้องกุ้งนั้น ต้องบอกว่าติดกระผม/อาตมภาพหนุบหนับมาตั้งแต่สมัยก่อนบวช เพราะว่ากระผม/อาตมภาพในสมัยนั้น มีหน้าที่พาบรรดาน้อง ๆ ไปวัด เนื่องเพราะว่าแต่ละบ้านนั้นหาผู้ชายไม่ได้เลย ส่วนใหญ่ก็มีเฉพาะลูกผู้หญิง คนเดียวบ้าง สองคนบ้าง กระผม/อาตมภาพจึงต้องทำตัวเป็นหัวหน้าทีม พาบรรดาน้อง ๆ ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่บ้าง เพิ่งจะเรียนจบ ยังไม่ได้ทำงานบ้าง ไปวัดกันทีก็ ๘ คน ๑๐ คน..! จนกระทั่งเพื่อนฝูงบางท่าน อย่างหลวงพ่อสมคิด (พระครูบวรกาญจนธรรม) เจ้าคณะตำบลบ้านเก่าเขต ๒ เจ้าอาวาสวัดตะเคียนงาม ในสมัยนั้นท่านก็ยังไม่ได้บวช ถึงขนาดปรารภว่า "ผมว่าพี่เล็กคงไปไม่รอดแน่นอน..!" เนื่องเพราะเห็นว่ามีแต่สาว ๆ ล้อมรอบตัวเลย โดยที่หารู้ไม่ว่ากระผม/อาตมภาพทำหน้าที่สงเคราะห์บรรดาน้อง ๆ ลูก ๆ เท่านั้น ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยแม้แต่คนเดียว ถึงขนาดออกปากอย่างชัดเจนว่า "จะให้เป็นตำแหน่งอะไรก็ได้ เป็นพ่อก็ได้ เป็นพี่ก็ได้ เป็นเพื่อนก็ได้ เป็นน้องก็ได้ เป็นลูกก็ได้ แต่ไม่เป็นผัวของพวกเธอ..!" ในเมื่อบอกกล่าวอย่างชัดเจนแบบนี้ตั้งแต่ต้น จึงไม่ได้เกิดปัญหาอะไรขึ้น..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2024 เมื่อ 00:48 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
หลังจากที่ออกจากวัดท่าซุงมาอยู่ที่เกาะพระฤๅษีแล้ว ทางด้านแม่ของน้องปูกับน้องกุ้ง ก็คือคุณจิรา ลิ่วเฉลิมวงศ์ ก็ตามมาปฏิบัติธรรมด้วย แต่ว่าคุณจิรานั้นเป็นภูมิแพ้ค่อนข้างแรง เมื่อเจอขนบุ้งเข้าไป จึงเกิดอาการคอบวม ถึงขนาดหายใจไม่ออก..! ทำให้กระผม/อาตมภาพต้องตัดสินใจโค่นประดู่ส้มต้นนั้นลงมา แต่ด้วยความที่เป็นต้นไม้ใหญ่ จำเป็นที่จะต้องไปทอนกิ่งด้านบนลงมาเสียก่อน เพื่อไม่ให้ล้มลงไปทับอาคารอื่นเสียหาย จนกระทั่งกิ่งข้างบนหมดสิ้นแล้ว ถึงจะตัดโคนต้นลงไปได้
แต่ด้วยความที่ต้นประดู่ส้มนั้นมีแต่หนอนคัน จึงไม่มีใครกล้าขึ้นไป กระผม/อาตมภาพต้องเสียสละ เป็นผู้ปีนขึ้นไปตัดเอง แล้วก็ลงมาด้วยอาการบวมเห่อไปทั้งตัว ขนาดแทบจะลืมตาไม่ขึ้น ผิวหนังมีแต่ตุ่มหนาซ้อนกันเป็นชั้น ๆ เพราะว่าโดนเข้าไปหนักมาก แล้วก็เลยต้องอาศัยวิชาการที่ฝึกมา ก็คือวิชา "ไม่รู้ไม่ชี้" อะไรจะเกิดขึ้นกับร่างกายก็เรื่องของมัน ทำให้สามารถที่จะผ่านพ้นไปได้ ตอนนั้นทิดตู่ (นายชาญชัย อาจิระวัฒน์) ยังบวชเป็นสามเณรชาญชัยอยู่ กระผม/อาตมภาพก็ถ่ายทอดวิชาการต่าง ๆ ให้แบบไม่ปิดไม่บัง แต่ว่าทิดตู่ตอนเป็นสามเณรชาญชัย ถึงขนาดต้องถามว่า "หลวงพี่ทำได้อย่างไรครับ ? คันจนบวมไปทั้งตัวขนาดนี้แล้วยังไม่เกาได้" กระผม/อาตมภาพก็บอกว่า "เห็นโทษของการเกา ถ้าขืนเกามีหวังเลือดเข้าเลือดออก ลายไปทั้งตัวแน่นอน ก็เลยตัดสินใจว่าไม่เกา แล้วทำไม่รู้ไม่ชี้ไปก็แค่นั้น" ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อาการที่แพ้หนอนจากมดแดงเมื่อคืน จึงไม่ใช่เรื่องที่หนักหนาสาหัส เพียงแต่ทำไม่รู้ไม่ชี้ ตั้งสติไว้แม้ในยามหลับ บังคับตนเองว่าห้ามเกาอย่างเด็ดขาด เมื่อถึงเวลา ลุกขึ้นมาเจริญกรรมฐานตอนตี ๒ อาการต่าง ๆ ก็เบาลงเกือบจะเป็นปกติ นอกจากบริเวณขอบตา ยังมีคันยิบ ๆ อยู่เล็กน้อย ครั้นวันนี้เมื่อกระผม/อาตมภาพเดินทางไปเป็นเจ้าภาพในการถวายภัตตาหารเช้าและภัตตาหารเพล แก่พระภิกษุสามเณรผู้เข้าอบรมบาลีก่อนสอบที่วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) จึงไม่มีใครเห็นอาการผิดปกติ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2024 เมื่อ 00:51 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ครั้นทำหน้าที่จนครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ก็กราบลาท่านเจ้าคุณแย้ม - พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ และท่านเจ้าคุณปัญญา - พระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ.๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี รีบเดินทางกลับที่พัก เนื่องเพราะว่าพรุ่งนี้มีนัดกับหมอไว้ คงจะต้องเดินทางไปร่วมทำวัตรเช้ากับบรรดาผู้เข้ารับการอบรมที่วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ก่อน หลังจากนั้นจึงเดินทางไปหาหมอตามที่นัดกันไว้
ส่วนช่วงบ่ายซึ่งทางคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ร่วมใจกันที่จะถวายมุทิตาสักการะ เนื่องในวันเกิดของพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ก็คงต้องฝากเครื่องสักการะไปกับผู้อื่นแทน เนื่องเพราะว่าการนัดหมอนั้น ไม่ใช่ว่าต้องรอให้หมอว่าง แต่ว่าต้องรอให้กระผม/อาตมภาพว่าง..! ในเมื่อมีเวลาเพียงแค่นั้น แล้วมีงานสำคัญแทรกเข้ามาก็จริง แต่สุขภาพของชายชราอายุ ๖๕ ย่าง ๖๖ ปี ก็เป็นเรื่องสำคัญ ห่างหมอห่างยาเมื่อไรก็เป็นเรื่องอีก จึงจำเป็นที่จะต้องลำดับความสำคัญในการหาหมอขึ้นมาก่อน สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2024 เมื่อ 00:53 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|