#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ สำหรับงานวันนี้ของกระผม/อาตมภาพ มีตั้งแต่ไปเยี่ยมห้องเรียนประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ของวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ ซึ่งมาเปิดห้องเรียนที่วัดปรังกาสี แล้วเข้าไปร่วมสังเกตการณ์การสอบปากคำพระภิกษุสามเณรต่างด้าว เพื่อที่จะออกบัตรประชาชนให้ ซึ่งตรงนี้เจ้าหน้าที่ของของเราร้อยละร้อยเลย ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นที่ของประเทศพม่า กระผม/อาตมภาพต้องเข้าไปช่วยแก้ไขให้หลายจุด
อย่างเช่น การสอบถามพระรูปหนึ่งว่าเกิดที่ไหน ท่านบอกว่าหนองบัว เจ้าหน้าที่ก็บันทึกลงไปว่าอำเภอหนองบัว กระผม/อาตมภาพต้องบอกว่า หนองบัวเป็นแค่หมู่บ้าน ถ้าจะเอาอำเภอต้องสองแคว ถ้าจังหวัดก็คือจะอีน อีกรายหนึ่งท่านก็ยืนยันว่าบ้านเกิดท่านอยู่ตรงข้ามกับบ้านอีต่อง ก็เล่นเอาเจ้าหน้าที่ "มึนตึ้บ" กระผม/อาตมภาพต้องบอกว่ากาเลอ่อง ในเมื่อขาดความเข้าใจเรื่องของเพื่อนบ้านจะลำบากมาก โดยเฉพาะการออกสำเนียงของพม่า พอมาเป็นภาษาไทยแล้วมักจะเพี้ยนอย่างแรง อย่างประวัติของท่านอาจารย์เตชะ (เตชะพละ) ที่ทางราชการบันทึกไว้ว่า พระอุปัชฌาย์ของท่านชื่อก่อซานล่า ความจริงพระอุปัชฌาย์ท่านก็คือพระกุสะละ แต่สำเนียงพม่าออกคำว่ากุสะละไม่ชัด เจ้าหน้าที่ก็บันทึกตามที่ได้ยินว่าก่อซานล่า จบกันพอดี หลังจากนั้นก็มาสังเกตการณ์การเซ็นข้อตกลงร่วม MOU ระหว่างคณะสงฆ์กับที่ว่าการอำเภอทองผาภูมิ ในการผลักดันโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา (หมู่บ้านรักษาศีล ๕) ขยายผลสู่โครงการหมู่บ้านศีลธรรม ที่ทางราชการต้องใช้คำว่าหมู่บ้านศีลธรรม เพราะว่าของเราไม่ได้มีศาสนาพุทธศาสนาอย่างเดียว แต่ว่ามีทั้ง พุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิกข์ แม้กระทั่งผู้ที่ประกาศตนว่าไม่นับถือศาสนาก็ยังมี หลังจากนั้นเมื่อกลับมาฉันเพลแล้ว ก็ไปทำพิธีเปิดการอบรมนักธรรมชั้นตรีสนามหลวง ที่วัดเขื่อนวชิราลงกรณ เมื่อเสร็จงานกลับมาว่าจะพักผ่อน เจอคำถามของโยมที่เดือดร้อนเพราะกระสือ เพราะว่าช่วงนี้ "กระสือลพบุรี" ดังมาก ซึ่งความจริง กระสือไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะว่าจัดอยู่ในประเภทอสุรกาย คำว่า อสุรกาย แปลว่า ผู้มีกายอันไม่กล้า อะ ก็คือ ไม่ สุระ คือ ความกล้า อสุระ ในเมื่อไม่กล้า เจอใครเขาก็หนีทั้งนั้น ดังนั้น..จึงไม่มีอะไรให้น่ากลัว แต่คนเราจะกลัวเสียอย่าง ท่านก็เลยถามมาว่า "ควรที่จะพกวัตถุมงคลอะไรติดตัว หรือว่าติดบ้านเอาไว้ป้องกันได้บ้าง ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-10-2023 เมื่อ 02:26 |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ถ้าสมัยที่กระผม/อาตมภาพเด็ก ๆ เขาไม่พกวัตถุมงคลกันหรอก เขาไปตัดเอาไม้หนามมาสะไว้แทน เพราะว่ากระสือเวลาลอยไป ไส้ก็ห้อยโตงเตง ถ้าโดนหนามเกี่ยวก็ไม่ต้องไปไหน..! นั่นก็คือวิธีแก้ไขแบบโบราณ
แต่ถ้าหากว่าเป็นวัตถุมงคล กระผม/อาตมภาพนึกแบบด่วน ๆ ได้แค่ ๒ อย่างก็คือมีดหมอและเบี้ยแก้ ถ้าหากว่ามีดหมอ แถวลพบุรีก็ต้องหลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอนเลย มีดหมอปราบไพรีของท่าน นอกจากขลังแล้ว ยังเหนียวเป็นมหาอุดอีกต่างหาก กระผม/อาตมภาพก็ยังมีติดรถประจำอยู่เล่มหนึ่ง หลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอน ศึกษาวิชาการทำมีดหมอตามตำราหลวงปู่ก๋ง วัดเขาสมอคอน ซึ่งต่างไปจากมีดหมอที่พวกเรารู้จัก มีดหมอที่พวกเราคุ้นเคยก็คือมีดหมอเทพศาสตรา หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ ซึ่งท่านศึกษามาจากหลวงพ่อขำ วัดเขาแก้ว หลวงปู่เงิน วัดพระปรางค์เหลือง หลวงปู่เทศ วัดสระทะเล แต่ตำราเล่มนี้ จริง ๆ แล้วเป็นตำราของหลวงพ่อขำ วัดเขาแก้ว ปรากฏว่าลูกผู้พี่ของท่าน ก็คือหลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล ศึกษาสำเร็จก่อน ระยะแรกหลวงพ่อเดิมก็เลยต้องเดินทางไป ๆ มา ๆ ระหว่างวัดหนองโพธิ์กับวัดหนองสีนวล เพื่อที่จะปรึกษาหารือในการหลอมโลหะ ตลอดจนกระทั่งลงอักขระเลขยันต์ และวิธีการเสก ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครเล่นมีดหมอมามาก ๆ จะเจอ "มีดหมอลูกครึ่ง" ก็คือลักษณะเนื้อโลหะเหมือนของหลวงพ่อรุ่ง วัดสีนวลทุกประการ แต่เป็นของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ คนนครสวรรค์เขามี "ม็อตโต้" ว่า "มีดหมอหลวงพ่อเดิมเอาไว้ขาย มีดหมอหลวงพ่อรุ่งเอาไว้ใช้" เรื่องของมีดหมอ ถือว่าเป็นอาวุธสำคัญ ถ้าหากว่าติดตัวติดบ้านเป็นมหาอำนาจ เภทภัยต่าง ๆ ไม่กล้ำกราย เพราะว่าอาศัยบารมีของเทวดาทั้ง ๕ ก็คือ อาศัยอำนาจวชิราวุธของพระอินทร์ของพระอินทร์ ดวงตาของพระยายมราช ผ้าโพกหัวของอาฬวกยักษ์ คฑาของท้าวเวสสุวรรณ แล้วก็กงจักรของพระนารายณ์ ซึ่งครูบาอาจารย์เก่า ๆ ท่านขอบารมีบรรดาจอมเทวดาเหล่านี้ในการอนุเคราะห์สงเคราะห์ได้ แต่มาถึงยุคเรา อาฬวกยักษ์ท่านเข้านิพพานไปแล้ว ก็เหลืออยู่อีกแค่ ๔ ราย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-10-2023 เมื่อ 02:31 |
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
คราวนี้ทางด้านหลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล ตามประวัติเล่าไว้ถ้าไม่ผิด ท่านสร้างมีดหมอไว้แค่ ๓ เล่มเท่านั้น กระผม/อาตมภาพเคยได้มาเล่มหนึ่ง ลงกระทู้จำหน่ายไปแล้ว..!
ส่วนหลวงพ่อเงิน วัดพระปรางค์เหลือง ส่วนใหญ่ท่านทำเป็นรูปพระขรรค์ เรื่องของพระขรรค์นี่สำคัญมาก เพราะว่าคนสร้างในอดีตชาติอย่างน้อยต้องเป็นพระเจ้าจักรพรรดิมา หรือเคยเกิดเป็นพรหม เป็นเทวดา ไม่อย่างนั้นสร้างอย่างไรก็ไม่สำเร็จ เพราะว่าพระขรรค์เป็นอาวุธคู่พระหัตถ์พระเจ้าจักรพรรดิ หรือว่าเป็นอาวุธที่พรหม เทวดาส่วนหนึ่งท่านใช้เป็นปกติ คราวนี้ถัดจากยุคครูบาอาจารย์อย่างหลวงพ่อเดิม หลวงพ่อรุ่งลงมา รุ่นลูกศิษย์ของท่านก็มีหลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม หลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร ถ้าหากว่าของใครต้องการมีดหมอทั้งหลายเหล่านี้ก็ไปเสาะหาเอา เพราะว่าถ้าเป็นของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ ราคา "จับไม่ติด" เลย กระผม/อาตมภาพเคยเจอมีดหมอปากกาสามกษัตริย์ของหลวงพ่อเดิมเล่มหนึ่ง เขาเปิดราคามาที่ ๗๕๐,๐๐๐ บาท..! เล่มแค่นิ้วเท่านั้น เพราะว่ามีดหมอส่วนใหญ่แล้วหาที่สมบูรณ์ยากมาก ส่วนใหญ่แล้วดูแลไม่ดี บางคนก็เปื่อยเหลือนิดเดียว จึงให้หาของบรรดาลูกศิษย์มาใช้แทน หรือถ้าหากว่าอยู่ใกล้ อย่างวัดกลางบางแก้ว วัดหนองบัว มีมีดหมอของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว แต่ว่าของหลวงปู่บุญ ถ้าเจอมีดหมอปลายหักนี่ ให้รีบคว้าไว้เลย เพราะว่าเป็นมีดหมดที่ท่านทำให้กับพระที่เป็นลูกศิษย์ แต่คราวนี้ด้วยความที่พระห้ามจับอาวุธ ท่านก็จะหักปลายมีดหมอทิ้ง ถือว่าไม่ใช่อาวุธแล้ว อย่างของหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว ถ้าหากว่าเป็นที่ท่านหลอมโลหะเอง เนื้อจะสวยมาก ก็คือเนื้อออกสีปีกแมลงภู่ เป็นสีน้ำเงินวาวเลย แต่ถ้าหากว่าเป็นฝีมือชาวบ้านทำให้ ก็หน้าตาดูไม่ได้ ที่ถวายเสด็จในกรมหลวงชุมพรไปแล้วท่านโยนทิ้งน้ำ เพราะว่าไม่สวย ปรากฏว่ามีดหมอว่ายทวนน้ำกลับไปวัดหนองบัว เสด็จในกรมก็เลยต้องนั่งเรือย้อนกลับไปกราบขอขมา แล้วขอคืนมาใหม่ หรือถ้าไกลกว่านั้น ลงไปสายใต้ก็หลวงพ่อทองเฒ่า วัดเขาอ้อ ส่วนใหญ่ท่านทำเป็นมีดหมอเทพศาสตามหาปราบ คราวนี้ถ้าอยู่ในบ้านเฉย ๆ ผีสางเทวดาก็เดือดร้อนหมด เมื่อจะนำเข้าบ้านก็บอกกล่าวให้ดีว่า ผู้ที่ทำประโยชน์ให้ก็ขอให้เข้าออกได้ตามปกติ แต่ถ้าใครคิดร้ายให้ขับไล่ออกไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-10-2023 เมื่อ 02:35 |
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ส่วนที่แยกออกมาต่างหากเลยก็คือหลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือ อันนั้นมีดหมอสะกดวิญญาณ เอาไว้ปราบผีโดยเฉพาะ กระผม/อาตมภาพมอบให้สัปเหร่ออ๊อด (พระพีระวิทย์ ชิตมาโร) ของเราไปเล่มหนึ่ง เอาไว้ติดตัวเพื่อทำหน้าที่จัดการศพ
หรือไม่ก็ที่แยกออกไปต่างหากอีก ซึ่งเป็นคนละตำรากันก็อย่างหลวงพ่อทบ วัดชนแดน ท่านทำมีดหมอด้วยตะปูตอกโลงผี หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ มีทั้งที่เป็นมีดหมอ และมีทั้งที่เป็นพระขรรค์ มีทั้งที่ทำด้วยโลหะ แล้วก็มีทั้งที่เป็นไม้พญางิ้วดำ ครูบาอาจารย์สมัยก่อนแต่ละท่าน มักจะสร้างมีดหมอเอาไว้ใช้เองเล่มเดียว อย่างหลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล เห็นโลหะมีเหลือก็ทำต่อจนได้ ๓ เล่ม ก็เลยมีน้อย มารุ่นหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ที่บรรดาช่างที่พยุหะคีรีมีอาชีพทำมีดหมอเลย เพราะว่าคนนิยมกันมากเพราะว่า "ดีจริง ขลังจัง" ถ้าถามว่านิยมแค่ไหน ? ต้องถามผู้การเรวัช (พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร) อดีตผู้บังคับการกองปราบปรามยาเสพติด ออกปะทะกับผู้ร้ายเมื่อไร ก็ต้องมีมีดหมอหลวงพ่อเดิมติดตัวไปทุกครั้ง เพราะว่านอกจากป้องกันอันตรายได้แล้ว ถ้าเจอพวกไอ้เสือหนังเหนียว ยังสามารถใช้มีดหมอเข้าสู้ได้ด้วย..! แต่ท่านบอกว่าท่านต้องพก ๒ เล่ม ก็คือพกมีดหมอหลวงพ่อกันอีกเล่มหนึ่ง เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าหลวงพ่อเดิมท่านห้ามลูกศิษย์ฆ่ากันเอง ถ้าเกิดอีกฝ่ายหนึ่งพกมีดหมอหลวงพ่อเดิมด้วย เราก็ผิดคำสั่งครูบาอาจารย์ จะเดือดร้อนทีหลัง ท่านก็เลยพกมีดหมอหลวงพ่อกันด้วย ประมาณว่า ถ้าหากว่าเจอหน้าไอ้พวกหนังเหนียว ก็ใช้มีดหมอหลวงพ่อกันเป็นหลัก เสียดายว่ามีดหมอหลวงพ่อกันเล่มที่สวยที่สุด กระผม/อาตมภาพให้ไปออกลงในเว็บไปแล้ว ตั้งราคาไว้สูงเพื่อที่จะไม่ขาย ดันมีคนกล้าสู้ราคาเสียนี่..! ส่วนอีกอย่างหนึ่งก็คือเบี้ยแก้ ที่มีอานุภาพในการป้องกัน เพราะว่าบรรจุปรอท โดยเฉพาะปรอทป่า ถ้าเอาตามตำนานเลยก็หลวงปู่รอด วัดนายโรง ซึ่งเป็นรุ่นไล่เลี่ยกับหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ศึกษามาคนละสายคนละที่กัน แต่จริง ๆ แล้วเหมือนกันทุกประการ คาดว่าจุดเชื่อมก็คือหลวงปู่ทอง วัดตุ๊กตา เพราะว่าท่านธุดงค์ไปมาอยู่ระหว่างฝั่งธนกับนครชัยศรี คงจะเอาวิชาไปเผยแผ่ให้ ทางด้านสายวัดกลางบางแก้วถือว่าดังที่สุด เพราะว่าหลวงปู่รอด วัดนายโรง ไม่มีใครสืบต่อมาที่พอเป็นหลักเป็นฐานได้ ทางด้านของหลวงปู่แขก วัดบางบำหรุ ยังมีหลวงพ่อทัต วัดคฤหบดีสืบทอดมา แล้วท้ายสุดก็สูญไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-10-2023 เมื่อ 02:39 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
ทางวัดกลางบางแก้ว ต่อจากหลวงปู่บุญ ยังมาเป็นหลวงปู่เพิ่ม หลวงพ่อใบ หลวงปู่เจือ ของหลวงปู่เจือถ้าหากว่าใครจะเล่นก็เอาที่ชัดเจนเลย ก็คือรุ่นเก่าที่พอกรักหนา กระผม/อาตมภาพไปถึงกุฏิ เห็นหน้ากุฏิตั้งตู้จำหน่ายเบี้ยแก้อยู่ หลวงปู่เจือบอกว่า "ท่านอย่าไปเอาที่นั่น มาเอาที่ผมนี่..!" บอกให้รู้เลยว่าไอ้พวกนั้นทำขายเองทั้งนั้น..!
หรือถ้าหากว่ามาทางด้านสายเพชรบุรี ก็เบี้ยแก้พอกครั่ง หลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง นั่นก็เครื่องรางในตำนาน "ครั่งเหลือร้าย วัดโตนดหลวง" อีกรายหนึ่งที่ศึกษามาจากหลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ก็คือหลวงพ่อกา วัดแค นครชัยศรี ใครเจอเบี้ยแก้ที่มีหูเดียว แล้วที่หุ้มอยู่เป็นผ้าเหมือนมุ้ง ขอยืนยันว่ามุ้งจริง ๆ นะ..! แต่เป็นมุ้งที่หุ้มแล้วชุบรัก หลวงพ่อกาก็มาเป็น "เบี้ยแก้สายเหนียว" เหมือนกัน ถ้าหากว่าสายอ่างทอง ก็มีหลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ ที่โด่งดังที่สุด รองลงมาก็หลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน หลวงพ่อโปร่ง วัดท่าช้าง หลวงพ่อโปร่ง หลวงพ่อนุ่ม หลวงพ่อคำนี่ ตัวเบี้ยรุ่นเดียวกัน คล้ายคลึงกันหมด มีสัญลักษณ์แยกได้ชัดที่สุดก็คือ ของหลวงพ่อคำ เวลาเขย่าจะมีเสียงดัง เหมือนมีทรายอยู่ข้างใน เพราะท่านใส่ปรอทสำเร็จที่เป็นตัวแล้วลงไปด้วย ถ้าหากว่าเป็นของหลวงพ่อโปร่ง วัดท่าช้าง มักจะปิดทองทับชันโรง ถ้าหากว่าเป็นของหลวงพ่อนุ่ม วัดนางในก็จะสอดแผ่นโลหะจารเอาไว้ด้วย ถ้าหากเจอเบี้ยแก้ที่มีแผ่นโลหะจารก็ลองเขย่าดู ถ้าเสียงเหมือนทรายก็หลวงพ่อคำ ถ้าไม่มีเสียงก็หลวงพ่อนุ่ม ส่วนของหลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ ไม่ต้องไปหาหรอก แพงหูดับเลย..! มีอีกท่านหนึ่งที่แหกคอกไปเลยก็คือหลวงพ่อไพล วัดบางแคกลาง อัมพวา สมุทรสงคราม ปกติทางเส้นแม่กลองนั้นไม่มีใครเล่นเบี้ยแก้กัน แต่ว่าท่านทำจนโด่งดัง สร้างวัดได้ใหญ่โต วัตถุมงคลรุ่นใหม่ ๆ นี่อย่าเพิ่งเชื่อถือ หารุ่นของครูบาอาจารย์ไว้ก่อน แล้วก็อย่าเที่ยวไปอยู่ในลักษณะที่ว่าหวาดกลัวอะไรง่าย ๆ ถ้าเราภาวนาจนกระทั่งกำลังใจของเราทรงตัว แม้กระทั่งความกลัว หรือกิเลสต่าง ๆ ก็เข้ามาหาเราไม่ได้ ภาวนาบ่อย ๆ ความเข้มแข็งของกำลังใจมีมาก ผีเล็กผีน้อยไม่กล้าเข้าใกล้หรอก เพราะว่ากำลังของเรา ถ้าทรงฌานได้ก็เท่ากับเป็นพรหม ผีที่ไหนจะกล้าเข้าใกล้ ไอ้ที่มาส่วนใหญ่เป็นผีปลอมทั้งนั้น..! สำหรับวันนี้ก็เรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-10-2023 เมื่อ 02:44 |
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|