|
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนธันวาคม ๒๕๖๔ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนธันวาคม ๒๕๖๔ |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๔
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๔
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ แต่เช้ามาก็มีข่าวที่น่าเสียใจในวงการสงฆ์ ก็คือพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺญมหาเถร) ป.ธ.๙ วัดปากน้ำภาษีเจริญ อดีตผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มรณภาพด้วยอายุ ๙๖ ปี ซึ่งต้องบอกว่าท่านมรณภาพแบบผู้มีบุญ ก็คือหลับไปเฉย ๆ
ปกติแล้วคนแก่อายุมาก ส่วนใหญ่ก็เข้าโรงพยาบาล เสียบสายโน่นสายนี่พะรุงพะรังไปหมด แต่ของหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่าน ต้องบอกว่าสมกับที่สร้างบุญมาอย่างมากมายมหาศาล หลับไปเฉย ๆ ไม่ต้องมีอะไรให้เป็นที่ลำบากกายลำบากใจ ผลงานของหลวงพ่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ที่มีต่อคณะสงฆ์ไทย ต้องบอกว่า "ท่วมฟ้าท่วมดิน" ส่วนที่นักเรียนบาลีทุกคนจะต้องนึกถึงก็คือ หลวงพ่อท่านเป็นแม่กองบาลีสนามหลวงมาก่อน จนกระทั่งชราภาพ..ไม่ไหวแล้ว ถึงได้สละตำแหน่งให้พระเดชพระคุณพระพรหมโมลี (สุชาติ ธมฺมรตโน) ป.ธ.๙ รับหน้าที่ต่อไป งานหลัก ๆ ที่เห็นก็คือสร้างวิหาร พระเจดีย์และพระไตรปิฎกหินอ่อนที่พุทธมณฑล หอประชุมสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ก็ที่พุทธมณฑล เรื่องของพระไตรปิฎกหินอ่อนต้องบอกว่าสำคัญมากนะครับ ในประเทศพม่านี่เป็นแหล่งเที่ยวสำคัญเลย ก็คือวัดซันดามุนีกับวัดมหาโลกมารชิน ซึ่งเป็นวัดที่อูคันตีมหาฤๅษีโพธิสัตว์สร้างพระไตรปิฎกหินอ่อนเอาไว้ กับเป็นที่พระเจ้ามินดงสร้างพระไตรปิฎกหินอ่อนเอาไว้ แต่ก็อย่างว่า ของไทยเราทำได้งดงาม อลังการและยิ่งใหญ่กว่า ต้องบอกว่านอกจากหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านทุ่มเทงบประมาณให้แบบไม่อั้นแล้ว การทำทีหลังมีโอกาสที่จะทำให้อลังการกว่าได้ด้วยประการทั้งปวง นอกจากนี้ก็ยังมีหอสมุดพระพุทธศาสนามหาสิรินาถ ที่สร้างถวายสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระเจดีย์ แล้วก็พระพุทธธรรมกายเทพมงคล ที่ต้องบอกว่าองค์พระกับเจดีย์ใหญ่เกือบจะเท่ากัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 17-12-2021 เมื่อ 23:06 |
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
นอกจากนี้ท่านยังสร้างวัดไว้อีกหลายวัด ไม่ว่าจะเป็นวัดมงคลเทพมุนีที่ฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา วัดปากน้ำญี่ปุ่น วัดปากน้ำออสเตรเลีย ในเมืองไทยของเราก็วัดพุทธานุภาพที่จังหวัดน่าน วัดธรรมานุภาพที่จังหวัดแพร่ วัดสังฆานุภาพที่จังหวัดกำแพงเพชร โดยเฉพาะวัดสังฆานุภาพ หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก น่าจะถึง ๔๐ เมตร..! ไม่ใช่ ๔๐ ศอกนะครับ ๔๐ เมตร ต้อง ๘๐ ศอก แล้วแต่ละปีท่านยังสนับสนุนการศึกษาเป็นจำนวนเงินที่นับกันไม่ถ้วน นี่ไม่ได้กล่าวถึงในเรื่องของการปฏิบัตินะครับ แค่กล่าวถึงผลงานทางโลก ๆ เท่านั้น
โดยเฉพาะในเรื่องความเมตตาของท่านที่มีต่อพระผู้น้อย ถ้าหากว่าไม่ใช่ป่วยจนกระทั่งต้องอยู่โรงพยาบาลจริง ๆ กระผม/อาตมภาพไปถึงเมื่อไร ท่านก็ออกรับ ไม่ว่าจะเป็นที่หอฉัน หรือว่าที่รับแขกของท่านที่หน้าหอเก็บสังขารหลวงปู่สด วัดปากน้ำ โดยเฉพาะในเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งจะว่าไปแล้วก็คือสมเด็จพระสังฆราชนั่นเอง หลวงพ่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ได้รับการยอมรับทั้งพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตและมหานิกายเป็นปกติ แม้กระทั่งมหาเถรสมาคมได้มีมติเป็นเอกฉันท์ทั้งฝ่ายธรรมยุตและมหานิกาย ให้ท่านขึ้นดำรงตำแหน่งต่อจาก สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่ตอนหลังได้รับพระราชทานเลื่อนขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร แต่ปรากฏว่าไปโดนพลิกโผกลางอากาศจนมีเรื่องวุ่นวายขึ้นมา แต่หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านก็สมกับเป็นบัณฑิต ก็คือใครจะทำอะไร ท่านก็เฉย ๆ ในเมื่อวุ่นวายมากนัก ท่านก็เก็บตัว แม้กระทั่งตำแหน่งแม่กองบาลีสนามหลวงก็ลาออก มอบหมายให้ผู้อื่นดำรงตำแหน่งแทน เรื่องลักษณะอย่างนี้ ท่านทั้งหลายที่เป็นพระภิกษุสามเณรต้องศึกษาและพยายามทำตามแบบอย่างนี้ให้ได้ ก็คือ "การนิ่ง" การนิ่งในที่นี้มี ๒ อย่างครับ อย่างแรกเลยก็คือเข้าถึงความเป็นธรรมดาของโลกธรรม ๘ เห็นชัดเจนว่าการมีลาภ เสื่อมลาภ การมียศ เสื่อมยศ ได้รับการสรรเสริญ โดนนินทา การได้รับความสุข มีความทุกข์เป็นเรื่องปกติธรรมดา ถ้าหากว่าเข้าถึงความเป็นธรรมดาของโลกธรรม ๘ ก็จะไม่หวั่นไหวอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายดีหรือว่าฝ่ายร้าย ก็สักแต่ว่ารับรู้ ไม่ได้ยินดียินร้ายไปด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2021 เมื่อ 03:12 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
อีกประการหนึ่งก็คือ การนิ่งแบบบัณฑิต นี้ก็คืออยู่ในลักษณะที่ว่า "พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง" ก็คือถ้าพูด อย่างเก่งก็ได้แค่สองไพหรือหนึ่งเบี้ย ซึ่งเป็นอัตราเงินที่เล็กมากครับ รุ่นของพวกท่านทั้งหลาย ไม่รู้ว่าได้ท่องมาตราเงินโบราณหรือเปล่า ?
สี่ไพเป็นหนึ่งเฟื้อง สองเฟื้องเป็นหนึ่งสลึง สี่สลึงเป็นหนึ่งบาท สี่บาทเป็นหนึ่งตำลึง ยี่สิบตำลึงเป็นหนึ่งชั่ง ห้าสิบชั่งเป็นหนึ่งหาบ เคยได้ยินแต่ท้าย ๆ ใช่ไหม ? ตอนต้นไม่รู้เรื่องเลย พูดไปสองไพเบี้ยก็คือพูดไปแล้วได้ประโยชน์นิดเดียว นิ่งเสียตำลึงทอง ก็คือถ้านิ่งเป็น มีคุณค่าเท่ากับทองคำเป็นตำลึง ยังดีนะที่เป็นตำลึงไทย แค่ ๔ บาท ถ้าเป็นตำลึงจีนนี่ครึ่งกิโลกรัม..! ครึ่งกิโลกรัมก็เป็นทองคำ ๓๐ กว่าบาท ในเมื่อหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านนิ่ง ก็มี ๒ อย่าง ถ้าไม่ใช่เห็นความธรรมดาของโลกธรรม ก็คือนิ่งแบบบัณฑิต แต่ว่าเวลาแขกไปใครมา ท่านเองก็ยังคงออกรับ ปกติก็ยิ้มก่อน ทักทายก่อนเสมอ คือลักษณะแบบนี้ ต้องบอกว่าเราต้องดูปฏิปทาและเลียนแบบให้ได้ เพราะว่ามีความเมตตาและเป็นกันเองกับทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งหมด ดังนั้น...การที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์มรณภาพ ก็ถือว่าเป็นการสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่ของวงการสงฆ์ไทย ขณะเดียวกัน เราต้องสังเกตว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ก็เพิ่งจะเสียชีวิตลง ซึ่งทางด้านเสถียรธรรมสถานใช้คำว่า "คืนสู่ธรรมชาติ" ก็แปลว่าทั้งพระทั้งแม่ชี ที่ได้รับการยอมรับจากทางคณะสงฆ์และสังคมไทย เสียชีวิตหรือมรณภาพไปติด ๆ กัน ลักษณะอย่างนี้แล้ว ส่วนใหญ่ก็คือ ถ้าหากมีเหตุไม่ดีเกิดขึ้นในประเทศชาติบ้านเมือง แต่มีความสูญเสียใหญ่แบบนี้ปรากฏขึ้นมาแทน ก็จะเป็นการผ่อนหนักให้เป็นเบาไปได้ เรื่องพวกนี้ท่านทั้งหลายก็ต้องหัดสังเกตกันเอาเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2021 เมื่อ 03:15 |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
วันนี้มีคำถาม ถ้าหากว่ารู้ว่าใครถาม จะโบกให้สักทีหนึ่ง...! ถามว่า "หลวงพ่อครับ คนที่บรรลุธรรมเข้ามรรค ๘ ผล ๘ พระพุทธเจ้าต้องเป็นผู้พยากรณ์ทุกคนไหมครับ ?" เอามาจากไหนวะ มรรค ๘ ผล ๘ ? แสดงว่าไปบัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ เพิ่มเติมในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เพิ่มเติม..ใช่ไหม ? ศึกษาแล้วต้องแม่นในตำราด้วย
นวโลกุตรธรรม ธรรมอันเป็นเหนือโลกมีอยู่ ๙ ประการ คือ มรรค ๔ ผล ๔ และพระนิพพาน ๑ มรรค ก็คือโสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตมรรค ผล ก็คือโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล และอรหัตผล ไม่ใช่ว่ามรรค ๘ ผล ๘ นั่นไปไกลเกิน ถ้าคุณเขียนเลขไทย กระผม/อาตมภาพยังว่าเขียนผิด หรือไม่ก็เขียนใกล้เคียงกันแล้วกระผม/อาตมภาพอ่านผิด นี่เขียนเป็นตัวหนังสือมาเลย แ-ป-ด เปลี่ยนเป็นสี่ไม่ได้แน่นอน ต่อไปอย่าพลาดแบบนี้อีก ผู้ที่บรรลุธรรม ถ้าหากว่าเป็นประเภทวิชชา ๓ อภิญญา ๖ หรือปฏิสัมภิทาญาณ ๔ สามารถที่จะรู้เห็นและติดต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ถ้าอย่างนั้นถึงจะได้รับการพยากรณ์จากพระองค์ท่าน แต่ถ้าหากว่าเป็นสุกขวิปัสสโก ถึงพระองค์ท่านจะพยากรณ์ให้ ก็คงไม่มีปัญญาที่จะรับรู้ ดังนั้น...ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า แต่ว่าการเข้าถึงมรรคผลนั้น พวกคุณดูในอนัตตลักขณสูตรที่สวดกันอยู่ทุกครั้งก็ได้ ญาณัง โหติ ขีณา ชาติ วุสิตัง ญาณคือเครื่องรู้เกิดขึ้น รู้ว่าการเกิดได้สิ้นสุดลงแล้ว พรัหมะจะริยัง กะตัง กะระณียัง นาปะรัง อิตถัตตายาติ ปะชานาตีติ รู้ว่าพรหมจรรย์นี้สิ้นสุดลงแล้ว ก็คือไม่ต้องเสียเวลาปฏิบัติให้เข้าถึงความบริสุทธิ์อีก แล้วบุคคลที่เป็นสุกขวิปัสสโกจะรู้ได้อย่างไร ? เหตุที่รู้ก็เพราะว่าผู้ที่เข้าถึงจริง ๆ นั้น เมื่อสัมผัสกระแสนิพพานได้ จะรู้ได้เลยว่าพระนิพพานไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย แต่อยู่ในทุกหนทุกแห่ง พูดไปนี่เดี๋ยวไม่ทันกระผม/อาตมภาพ ก็ได้เพี้ยนกันไปข้างหนึ่งอีก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2021 เมื่อ 03:19 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
บุคคลที่เข้าถึงตรงจุดนี้ จะสัมผัสกระแสพระนิพพานได้ จึงรู้ว่าพระนิพพานไม่ได้อยู่ที่ไหน นอกจากอยู่ที่ใจของเรา หรือจะบอกว่าอยู่ในทุกหนทุกแห่งก็ว่าได้
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บุคคลที่เป็นสุกขวิปัสสโก แม้ว่าจะไม่สามารถรู้เห็นหรือติดต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แต่มั่นใจในเรื่องพระนิพพานเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าพระนิพพานเต็มอยู่ในจิตในใจของท่านเอง เอาไว้เดี๋ยวทำถึงก็จะเข้าใจ ถ้าอธิบายเป็นคำพูดนี้ยากมาก สรุปว่าผู้ที่เข้าถึงมรรคถึงผล จะได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าก็ต่อเมื่อเป็นเตวิชโช ฉฬภิญโญ หรือปฏิสัมภิทัปปัตโตเท่านั้น ถ้าเป็นสุกขวิปัสสโกไม่ได้รับการพยากรณ์ แต่ญาณคือเครื่องรู้เกิดขึ้น ทำให้รู้ว่าตนเองเข้าถึงแล้ว แต่ด้วยความที่เป็นผู้ไม่ประมาท ก็จะไม่เชื่อว่าตนเองเข้าถึงจริง กฎเกณฑ์กติกาของความเป็นพระอริยเจ้ามีอย่างไร ก็พากเพียรทำไปเหมือนเดิม ไม่ใช่ว่าพยากรณ์ว่าได้แล้ว เราก็ขี้เกียจนอนทอดหุ่ย ไอ้นั่นเป็นไปตามกิเลสที่พวกคุณคิด แต่ว่าความจริงแล้ว ต่อให้เป็นพระอรหันต์ ก็ยังปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นอยู่เป็นปกติ ก็คือเป็นการไม่ประมาท ชำระจิตของตนให้สะอาดอยู่เสมออย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็คือ ทำตนเป็นแบบอย่างให้กับผู้อยู่ข้างหลัง ถึงเวลาเขาจะได้เดินตามรอยของตนเพื่อไปสู่พระนิพพานได้ ดังนั้น...ในเรื่องของพระนิพพาน ถ้าหากว่าพูดไป ยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าป่าเข้าดงเพราะว่าพระนิพพานไม่ใช่สมมติที่เราจะมาจับได้ต้องได้ แต่เป็นวิมุตติ ที่สัมผัสด้วยใจของบุคคลที่เข้าถึงเท่านั้น จึงขอเรียนถวายต่อทุกท่าน และบอกกล่าวแก่ญาติโยมให้ทราบแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2021 เมื่อ 03:21 |
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|