#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ จากอากาศติดลบ ๘ องศาเซลเซียสมาเจออากาศ ๓๕ องศาเซลเซียสเมื่อคืนนี้ สุ้มเสียงของกระผม/อาตมภาพจึงออกอาการอย่างที่ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังกันอยู่
สำหรับวันนี้ขอกล่าวถึงปฐมเหตุว่าทำไมจึง "ไปหาที่ตายในชมพูทวีป" กัน ? เหตุก็เพราะว่าตัวกระผม/อาตมภาพนั้นเป็น "เด็กเส้น" ได้รับการ "ต่อวีซ่า" มาระยะหนึ่งแล้ว และ "วีซ่าหมดอายุ" จึงคิดว่าครั้งนี้คงจะกลับไปตายยังถิ่นเก่าของตนเอง แต่ปรากฏว่าไม่สามารถที่จะตายได้ จึงไปตรงกับภาษิตของโบราณที่กล่าวว่า "กลับมาตายรัง"..! สาเหตุที่เดินทางในครั้งนี้เกิดจากคุณนวลจันทร์ เพียรธรรม หรือที่พวกเราเรียกกันติดปากว่า "พี่นวล" ผู้ก่อตั้งเอ็นซีทัวร์ บริษัทท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมานานเกิน ๓๐ ปีแล้ว ทางพี่นวลมาชวนว่า "หลวงพ่อเจ้าขา ดิฉันอยากจะเดินทางจากศรีนาการ์ ขึ้นไปทางคาร์กิล แล้วก็ลงไปเลห์โดยทางรถยนต์ ตั้งแต่ทำทัวร์มายังไม่เคยเดินทางเลียบเทือกเขาหิมาลัยในลักษณะนี้เลย ถ้าหากว่าไม่ใช่นั่งเครื่องไปลงศรีนาการ์เลย ก็นั่งเครื่องไปลงที่เลห์เลย แล้วก็เที่ยวในเมืองบริเวณใกล้เคียง หลังจากนั้นก็นั่งเครื่องกลับ" กระผม/อาตมภาพได้รับปากว่า "ถ้าหากว่ามีคนยินดีจ่ายค่าทัวร์ให้ฟรีก็จะไปด้วย" ท้ายที่สุดทางบริษัทเอ็นซีทัวร์ จึงอาสาเป็นผู้จ่ายค่าทัวร์ให้กับกระผม/อาตมภาพเอง เมื่อพวกเรารวบรวมคณะได้แล้ว จึงได้เดินทางไปในครั้งนี้ เหตุที่เป็นเช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะคุณนวลจันทร์ได้ปรารภว่า "ถ้าหลวงพ่อจะไป ขอให้เร็วสักนิดหนึ่ง เพราะว่าพี่นวลอายุเกิน ๘๐ ปีแล้ว ถ้าอายุมากกว่านี้อาจจะไปไม่ไหว" ในเมื่อเห็นใจผู้เฒ่า ซึ่งรู้จักมักคุ้นและชอบอัธยาศัยกันมา จึงได้เดินทาง "ไปหาที่ตายในชมพูทวีป" แต่ปรากฏว่าการเดินทางไปหาที่ตายนั้น ไม่สามารถที่จะตายได้ ทั้ง ๆ ที่วันซึ่งติดอยู่บนช่องเขา Gardung La Pass ที่ความสูง ๕,๖๐๐ เมตรนั้น โดยปกติทั่วไปคนจากพื้นล่างจะอยู่ได้ไม่เกิน ๓๐ นาที แต่พวกเราติดอยู่ข้างบนเกิน ๒ ชั่วโมง..! ใช้ออกซิเจนถังใหญ่หมดไปถังกว่า แล้วยังมีออกซิเจนกระป๋องส่วนตัวของแต่ละคนด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงต้องยอมรับว่า ครั้งนี้เขายังไม่ยอมให้ "วีซ่าหมดอายุ" มีการ "ขยายอายุวีซ่า" ออกไปอีกครั้งแล้ว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-05-2023 เมื่อ 02:42 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เรื่องที่สองก็คือ การที่เราจะไปประเทศอินเดียนั้น ทุกคนต้องทำใจเลยว่า คนอินเดียนั้นมีทัศนคติในการทำงานไม่เหมือนกับเรา คนอินเดียจะปัดงานทุกอย่างตรงหน้าออกไปเป็นปัญหาของคนอื่นทั้งหมด ไม่ให้ปัญหานั้นตกอยู่ที่ตัวเอง คำพูดติดปากของคนอินเดียก็คือ "Tomorrow you come again." พรุ่งนี้คุณมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ยกเว้นว่าเราไปโวยวายชี้หน้าด่าว่า ถึงจะได้งานมาภายในวันนั้น โดยเฉพาะพวกเรา แม้ว่าจะรีบร้อนขนาดไหนก็ตาม ก็ต้องมาพบกับการทำงานแบบถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง "จะตกเครื่องบินก็เป็นเรื่องของคุณ แต่งานของผม ผมจะทำอย่างนี้..!"
ท่านต้องทำใจด้วยความอดทนอดกลั้นเป็นอย่างสูง ฝึกทั้งขันติบารมี ฝึกทั้งทมธรรม พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าเป็นปุถุชนผู้หนาไปด้วยกิเลส และไม่เคยชินกับการทำงานของคนอินเดียแล้ว นอกจากกัดฟันแล้วยังต้องกัดลิ้นไปด้วย..! ไม่เช่นนั้นก็จะอดโมโหไม่ไหว ดังนั้น..เรื่องทุกเรื่องที่พบเห็นนั้น จะเป็นประสบการณ์เวลาท่านไปเผชิญกับเรื่องราวต่าง ๆ ในโอกาสข้างหน้า แต่ขณะเดียวกัน พวกเราก็จะได้เจอบุคคลที่ดีงามเหลือเกิน อย่างเช่นคุณลุงเซอร์ริง โจลเดน พลขับผู้ยอดเยี่ยมของเรา นอกจากมีความเชี่ยวชาญในหน้าที่แล้ว น้ำใจของคุณลุงยังเหลือล้น ทุกวันคุณลุงจะปีนหลังคาแบกกระเป๋าของพวกเราขึ้นไปผูกมัดเป็นอย่างดี ดูแลพวกเราขึ้นรถจนครบถ้วน ปิดประตูให้เรียบร้อย ดูว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแล้วถึงจะสตาร์ทเครื่องออกรถ ขณะเดียวกันเมื่อเจอปัญหา ลุงโจลเดนก็ตรงไปแก้ไขให้คนอื่นเขาทันที โดยที่ไม่ได้คิดเลยว่าปัญหานั้นจะเกิดขึ้นกับตัวเองต่อไปหรือไม่ ? อย่างเช่นว่าไปเจอรถติดหล่มทราย ลุงโจลเดนก็ไปช่วยลากเขาขึ้นมาแบบไม่ต้องขอร้อง ไปเจอรถติด แย่งกันไปแย่งกันมา ในตอนที่อยู่บน Gardung La Pass ลุงโจลเดนก็วิ่งไปวิ่งมา โบกรถให้เขาเป็นชั่วโมง ๆ แบบไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย..! แม้กระทั่งรถที่วิ่งขึ้นมาโดยที่ไม่ได้คิดว่าจะเจอหิมะตกหนักขนาดนี้ จึงไม่ได้ใส่โซ่พันล้อมา ลุงโจลเดนก็เอาโซ่ของตัวเองไปให้เขายืม โดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้คืนหรือไม่..!? เมื่อบริการคนอื่นจนกระทั่งครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ลุงค่อยมานึกถึงตัวเอง..! บุคคลที่ทำงานเพื่อส่วนรวมโดยไม่คิดถึงตนเองเลยแบบนี้ ขอยืนยันว่าเป็นพระโพธิสัตว์อย่างแน่นอน ดังนั้น..อานิสงส์ต่าง ๆ ที่เกิดจากการที่ลุงโจลเดนได้กระทำในการเดินทางด้วยกันครั้งนี้ คาดว่าคงจะทำให้ลุงเลื่อนจากพระโพธิสัตว์อุปบารมีขั้นปลาย ขึ้นไปเป็นพระโพธิสัตว์ปรมัตถบารมีขั้นต้นในเวลาอันไม่นานอย่างแน่นอน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-05-2023 เมื่อ 02:47 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ความเคารพในพระพุทธศาสนาของลุงโจลเดนนั้นเต็มหัวอกหัวใจ ทุกครั้งที่เจอพระสถูปเจดีย์ แม้ว่าจะมีทางดี ๆ ให้วิ่งไป ลุงโจลเดนก็ไม่วิ่ง แต่ลุงโจลเดนจะใช้วิธีทำความเคารพพระสถูปเจดีย์ ด้วยการขับรถวนทักษิณาวัตร ถวายเป็นพุทธบูชา ๑ รอบ ทำให้พวกเราพลอยได้บุญไปด้วย..!
ขณะเดียวกันเราก็จะได้เห็นว่า ในเรื่องของการศึกษานั้น ถ้าหากว่ากำลังใจของเราไม่ได้อยู่ในลักษณะผู้เข้าถึงธรรมแล้ว ก็จะออกอาการแบบ ดร.เทนซิน โซนัม ก็คืออยู่ในลักษณะที่ฝรั่งเรียกว่า look down แปลเป็นภาษาไทยว่าดูถูก แต่ความจริงอันนี้ก็คือมองคนอื่นต่ำกว่าตัวเอง โดยที่ลืมไปว่าตนเองอาสามาเป็นมัคคุเทศก์ท้องถิ่น หน้าที่ของมัคคุเทศก์ก็คือบริการคณะทัวร์ให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ ไม่ใช่ว่าบอกอะไร ถ้าเห็นว่าไม่ถูกใจก็ไม่ทำ ถ้าเห็นว่าไม่ตรงตามความเห็นของตนก็ไม่ทำ..! จึงมีพรรคพวกเพื่อนฝูงของกระผม/อาตมภาพหลายคนกล่าวว่า "ดร.เล็กมันเป็นคนอย่างไรวะ ? ทำไมเขาบอกว่าไอ้พวกจบปริญญาเอกแล้วคุยกับชาวบ้านเขาไม่รู้เรื่อง แต่ไม่เห็นมันจะเป็นแบบที่เขาว่าเลย" เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าพวกเราไม่ได้แบกเอาความรู้หรือว่ายศศักดิ์ไปด้วย ถ้าหาก ดร.เทนซิน รู้ว่าภายในรถของอาตมภาพคันนั้นมี พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. ที่เป็นดับเบิ้ลด็อกเตอร์ ก็คือปริญญาเอก ๒ ใบ มีพระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ดร. ที่กำลังศึกษาปริญญาเอกใบที่สอง มีผศ.ดร.สพญ.ชลาลัย เรืองหิรัญอยู่ด้วย ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ดร.เทนซิน แกจะทำหน้าอย่างไร ? เพราะว่าพวกเราไม่ได้ออกอาการยืด ๆ เบ่ง ๆ แบบแกเลยแม้แต่น้อย..! เรื่องพวกนี้จึงเป็นดาบสองคมตรงที่ว่า คนเราถ้าหากว่ามีความรู้ยิ่งมากเท่าไร ก็ยิ่งควรที่จะอ่อนน้อมถ่อมตนเท่านั้น เพราะว่าการที่รู้จริงในเรื่องของหลักธรรมว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราเลย ย่อมจะทำให้พวกเรารู้สึกตัวอยู่เสมอว่า "เราจะต้องตาย" แบกยศแบกศักดิ์ไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร ท้ายที่สุดก็ทิ้งร่างกายนี้ถมปฐพีเอาไว้ ไม่สามารถที่จะเอาความรู้นั้นช่วยให้ตนเองรอดจากความตายไปได้เลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-05-2023 เมื่อ 02:50 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ความรู้จึงเป็นดาบสองคมตรงที่ว่า ถ้าหากว่าเราใช้ในลักษณะของการช่วยเหลือและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นหรือว่าส่วนรวม ก็จัดว่าเป็นการใช้ความรู้ในทางที่ถูก แต่ถ้าหากว่าใช้ในการไต่เต้าเพื่อเหยียบหัวคนอื่นขึ้นไปสู่ที่สูง นั่นเป็นการใช้ความรู้ในทางที่ผิด..!
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ดร.เทนซิน แม้ว่าจะเป็นชาวทิเบต อยู่กับพระพุทธศาสนา แต่ว่าเข้าถึงธรรมน้อยกว่าลุงโจลเดน ซึ่งเป็นแค่คนขับรถรับจ้างทั่วไป กำลังใจของลุงโจลเดนกับกำลังใจของ ดร.เทนซิน ที่เป็นชาวทิเบตเหมือนกัน แสดงออกให้เราเห็นอย่างชัดเจนเลยว่า การเข้าถึงธรรมนั้นไม่เลือกบุคคล ไม่เลือกชั้นวรรณะ เป็นสิ่งที่เข้าถึงด้วยใจ ไม่ใช่เข้าถึงด้วยความรู้ทางโลก ๆ เลยแม้แต่น้อย อีกส่วนหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพต้องกราบขอบพระคุณและเจริญพรขอบพระคุณ ก็คือเรื่องของพระ ของพรหม ของเทวดา และครูบาอาจารย์ ที่เมตตาให้การอนุเคราะห์สงเคราะห์มาตลอดทาง โดยเฉพาะภาพสุดท้ายที่คุณนวลจันทร์ส่งมาให้ดู ก็คือพายุหิมะดำทะมึนจ่อเข้ามาถึงเมืองเลห์แล้ว ดีที่พวกเราขึ้นเครื่องและออกมาได้ทัน ทุกอย่างเป็นไปตามที่ "เจ้าแม่นภิสราเทวี" ซึ่งกระผม/อาตมภาพเรียกล้อเล่นกันแบบคนคุ้นเคยว่า "เจ้าแม่น้ำพริกสละ" ได้บอกกล่าวเอาไว้ก่อนทุกประการ เจ้าแม่และบริวารช่วยบริการให้ตั้งแต่ต้นจนจบ เจ้าที่เจ้าทางทั้งหลายที่ดูแลตลอดเส้นทางอยู่ก็เช่นกัน บางทีโผล่หน้ามาจนกระผม/อาตมภาพตกใจ เกรงว่าถ้าลุงโจลเดนเห็นเข้า อาจจะเกิดอุบัติเหตุตกเหวได้ เพราะว่าเจ้าประคุณยื่นหน้าออกมาจากภูเขาบ้าง จากกองหิมะบ้าง ก็คือภูเขาครึ่งค่อนลูกกลายเป็นหน้าคน..! หิมะครึ่งค่อนภูเขากลายเป็นหน้าคน..! มองอย่างไรก็เป็นหน้าคนชัด ๆ เลย..! จนต้องบอกว่าอย่าได้ทำอย่างนี้อีก กุศลบารมีอะไรที่ต้องการให้โมทนาเอา แล้วก็ช่วยอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยให้ก็พอ เขาทั้งหลายจึงได้หยุดแสดงอาการเหล่านั้นลงไปได้ สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-05-2023 เมื่อ 02:54 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|