#1
|
||||
|
||||
เทศน์วันวิสาขบูชา วันพุธที่ ๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
เทศน์วันวิสาขบูชา วันพุธที่ ๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ https://www.youtube.com/live/6zNXJ1bAvtg เทศน์เริ่มนาทีที่ ๔๖.๐๐ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถาติ ฯ บัดนี้ อาตมภาพจักแสดงพระธรรมเทศนาในอัปปมาทกถา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา เพิ่มพูนบารมี เสริมสร้างกุศลบุญราศีแก่ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ที่พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันวิสาขบูชา ณ วัดท่าขนุนแห่งนี้ ญาติโยมทั้งหลาย วันวิสาขบูชานั้น เป็นที่รู้ทั่วกันว่า เป็นวันประสูติ คือ วันเกิด วันตรัสรู้ คือ วันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรารู้ทั่วถ้วนถึงธรรมทั้งปวง และวันปรินิพพาน คือ วันที่พระองค์ท่านเสด็จดับขันธปรินิพพาน หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงไปแล้ว ญาติโยมทั้งหลาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น เป็น ๑ ใน ๔ สิ่งที่เกิดได้ยากที่สุดในโลกนี้ ก็คือ การเกิดมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ต้องบำเพ็ญบารมีมานับกัปกัลป์อนันตชาติ ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ มีปัญญามาก บรรลุธรรมได้เร็วที่สุด อย่างน้อยก็ต้องบำเพ็ญบารมีมา ๔ อสงไขย กับ ๑ แสนมหากัป ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานจนนับไม่ถ้วน แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-05-2024 เมื่อ 09:57 |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อประสูติจากท้องพระราชมารดา คือ นางสิริมหามายานั้น พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินไป ๗ ก้าว แล้วเปล่ง "อาสภิวาจา" คือ คำพูดที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ว่า...
"อะหัง อัคโคหะมัสมิ โลกัสสะ..เราเป็นผู้เลิศที่สุดในโลก" "เชฏโฐหะมัสมิ โลกัสสะ..เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก" "เสฏโฐหะมัสมิ โลกัสสะ..เป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุดในโลก" "อะยะมันติมา เม ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโว..ขึ้นชื่อว่าการเกิดใหม่ จักไม่มีสำหรับเราอีกต่อไปแล้ว" ญาติโยมทั้งหลาย เรื่องเหล่านี้บรรดานักวิทยาศาสตร์ถกเถียงกันมาเนิ่นนานเหลือเกินว่า อันดับแรก เด็กที่เกิดมาสามารถพูดได้หรือไม่ ? อันดับที่สอง เด็กที่เพิ่งเกิดมาสามารถเดินได้หรือไม่ ? จะว่าไปแล้วเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมี "ตถาคตโพธิสัทธา" คือ ความเชื่อในการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายก็จะไม่เสียเวลามาเถียงกัน เนื่องเพราะว่าองค์สมเด็จพระภควันต์ไม่ได้พูดได้เลยตั้งแต่เกิดมาในเฉพาะชาตินี้เท่านั้น ในชาติที่เป็นมโหสถกุมาร เกิดมาพร้อมกับกำเอาแท่งยามาในมือ แล้วก็กล่าวว่า "อะมะ..ข้าแต่แม่ ยานี้สำหรับรักษาโรคของบิดา" เนื่องเพราะว่าบิดาของมโหสถบัณฑิตนั้น เป็นโรคปวดหัวมาเนิ่นนาน เมื่อได้ยาที่ติดมือลูกออกมาจากครรภ์มารดา เมื่อเอาไปรักษาก็หายขาดจากโรคที่เป็นอยู่ ในชาติที่พระองค์ท่านเกิดมาเป็นพระเวสสันดร พอคลอดเคลื่อนจากท้องแม่ออกมา ก็กล่าวว่า "อะมะ..ข้าแต่แม่ ข้าอยากจะทำทาน" เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว สำหรับบุคคลทั่วไปนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับบุคคลที่สร้างบุญญาบารมีมานับชาติไม่ถ้วนนั้นกลับเป็นเรื่องปกติ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-05-2024 เมื่อ 10:00 |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสการเกิดของหมู่สัตว์เอาไว้ว่า..
สัตว์บางจำพวก..ขณะจุติรู้ตัวอยู่ เมื่อเคลื่อนไปไม่รู้ตัว เมื่อลงสู่ครรภ์มารดาไม่รู้ตัว เมื่ออยู่ในครรภ์มารดาไม่รู้ตัว ต่อเมื่อคลอดออกมาจึงรู้ตัว สัตว์บางจำพวก..ขณะจุติรู้ตัวอยู่ ขณะเคลื่อนไปรู้ตัวอยู่ เมื่อลงสู่ครรภ์มารดาไม่รู้ตัว ต่อเมื่อคลอดเคลื่อนออกจากครรภ์มารดาจึงรู้ตัว สัตว์บางจำพวก..ขณะจุติรู้ตัวอยู่ ขณะเคลื่อนไปรู้ตัวอยู่ ขณะอยู่ในครรภ์มารดารู้ตัวอยู่ ขณะคลอดเคลื่อนออกจากครรภ์มารดามารู้ตัวอยู่ จำพวกสุดท้ายนี้แหละที่เกิดมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ รู้อยู่ตลอด ไม่ขาดสติ ทำให้พัฒนาการต่าง ๆ ไม่ได้หยุดชะงักลงไป ดังนั้น..เกิดมาจึงสามารถพูดได้เลย เพราะความสามารถต่าง ๆ ยังมีเหมือนชาติก่อน ๆ แล้วขณะเดียวกันถ้าไม่ใช่กำลังของเด็กทารก อาจจะเดินได้เกินกว่า ๗ ก้าวด้วย เสียดายที่ว่าเป็นร่างของเด็กทารกที่กำลังน้อยจึงเดินได้แค่ ๗ ก้าว และกล่าววาจาแต่เพียงเท่านั้น ดังนั้น..ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายศึกษาในพระไตรปิฎก อรรถกถา หรือฎีกาต่าง ๆ แล้ว จะเห็นว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติของบุคคลที่บำเพ็ญบารมีมา แต่ว่าเหล่านักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่นั้น มักจะเอาเรื่องของบุคคลซึ่งต้องบอกว่า ปุถุชนผู้หนาไปด้วยกิเลส ไปเปรียบกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็กล่าวว่าปกติของคนทั่วไปทำไม่ได้ แล้วผู้ที่เกิดมาเพื่อตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทำได้อย่างไร ? เหมือนกับว่าถ้าเป็นบ้านเราก็บอกว่า คนทั่ว ๆ ไปก็ไม่สามารถที่จะซื้อลัมโบร์กีนีมาขี่เล่นได้ แล้วทำไมเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ หรือว่าเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี จะซื้อให้ลูกหลานขี่เล่นได้ทุกคน เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้..! ถ้าหากว่ารู้จักใช้หัวแม่เท้าตรองดูก็น่าจะรู้ถึงความต่างกันในฐานะ ในเมื่อไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ซ้ำยังดึงเอาสมเด็จพระบรมครูลงมาเทียบเท่ากับปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลสทั่ว ๆ ไป จึงไปกล่าวว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าในเมื่อท่านขาดความศรัทธา ก็ไม่ก้าวเข้ามาในพระพุทธศาสนา เมื่อไม่ก้าวเข้ามาโอกาสที่จะได้แนวทางในการปฏิบัติที่ถูกต้องก็ไม่มี แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-05-2024 เมื่อ 10:02 |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ลำดับต่อไป..วันวิสาขบูชานั้น เป็นวันที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สิ่งที่พระองค์ท่านรู้เรียกว่า "อริยสัจ ๔" คือ ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการด้วยกัน ซึ่งบรรดาคณาจารย์ต่าง ๆ ในยุคนั้นสมัยนั้นมีถึง ๖๒ สำนัก มีที่ยิ่งใหญ่เป็นที่เคารพนับถือกันทั่วชมพูทวีปอยู่ ๖ สำนัก แต่ไม่สามารถที่จะเข้าถึงตรงนี้ได้ เพราะว่ามีปัญญาไม่เพียงพอ
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วนำไปเผยแพร่ต่อ บุคคลที่มีกิเลสน้อย ยอมรับแนวความคิดของคนอี่น ก็ได้ประโยชน์ บรรลุมรรคบรรลุผลไปตาม ๆ กัน แต่บุคคลที่มีกิเลสมาก ยึดมั่นถือมั่นมาก ไม่ยอมเปลี่ยนแนวปฏิบัติของตนเอง ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร แม้กระทั่งทุกวันนี้ ประเทศอินเดียก็ยังมีบรรดาฤๅษี โยคีต่าง ๆ ทรมานตนกันสืบ ๆ มา ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า "อัตกิลมถานุโยค คือ การทรมานตนเองจนเกินไปประการหนึ่ง กามสุขัลลิกานุโยค คือ การที่คลุกคลีอยู่กับกาม ติดความสบายมากเกินไปอีกอย่างหนึ่ง ทั้งสองอย่างนี้เป็นส่วนสุด ก็คือหนทางที่ไปต่อไม่ได้ ทำให้ไม่ได้มรรคไม่ได้ผล ผู้ที่เป็นภิกษุไม่พึงไปข้องเกี่ยวเสวนาด้วย" หากแต่ว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" คือ "มรรค ๘" ย่อลงมาเป็น "ศีล สมาธิ และปัญญา" จึงเป็นหนทางที่นำพาให้เราหลุดพ้นได้อย่างแท้จริง สามารถที่จะปฏิบัติตามแล้วได้มรรคได้ผล ตามวาสนาบารมีของแต่ละคนที่สั่งสมมา แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-05-2024 เมื่อ 10:04 |
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นำเอาความรู้ใหม่นี้ไปเผยแพร่ท่ามกลางความยึดมั่นถือมั่นกับของเก่า แม้กระทั่งปัญจวัคคีย์ฤๅษีทั้ง ๕ ที่เคารพเลื่อมใสเจ้าชายสิทธัตถะตั้งแต่ต้น แรก ๆ ก็ยังไม่ยอมรับว่า องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ได้จริง ๆ
จนกระทั่งพระองค์ท่านตรัสว่า "ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาตถาคตเคยกล่าวอย่างนี้หรือไม่ ?" จึงระลึกได้ว่า เจ้าชายสิทธัตถะนั้นเป็นผู้พูดจริง ทำจริง ถ้าไม่ได้ตรัสรู้ก็คงไม่บอกว่าตนเองรู้ทั่วถึงธรรมแล้ว จึงได้ตั้งใจฟังธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แล้วอัญญาโกณฑัญญเถระก็เข้าถึงธรรม กลายเป็นปฐมสาวก คือ บุคคลผู้ยืนยันการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นรูปแรก หลังจากนั้นก็มีบุคคลที่ได้มรรคได้ผลมากขึ้น ๆ จนศาสนาพุทธแพร่หลายไปทั่วชมพูทวีป และยั่งยืนมาจนถึงปัจจุบันนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์ของเรา เกิดมาเพื่อโลกนี้ ตรัสรู้เพื่อโลกนี้ แล้วปรินิพพานหรือตายเพื่อโลกนี้หรือไม่ ? องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรินิพพานตามหลักธรรมของพระองค์ที่ว่า... "สัพเพ สังขารา อนิจจาติ..สังขารทั้งหลายนั้นไม่เที่ยง" "สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ..ธรรมทั้งหลายไม่สามารถยึดมั่นเป็นตัวตนได้ เพราะท้ายที่สุดก็ต้องเสื่อมสลายตายพังไปหมด" องค์สมเด็จพระบรมสุคตทรงยืนยันตามหลักธรรมที่พระองค์ท่านสอนด้วยตนเอง ก็คือ แม้แต่พระองค์ท่านก็ยังเสด็จดับขันธปรินิพพาน ดังนั้น..สิ่งที่พระองค์ท่านสอนมา เพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่น เพื่อประโยชน์ต่อตนเอง และเพื่อประโยชน์ต่อโลก พระองค์ท่านทรงยืนยันคำสอนนี้ด้วยพระองค์เอง คือ เสด็จปรินิพพานในวันวิสาขบูชา ก็คือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หลังจากการประสูติแล้ว ๘๐ ปี องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คงไม่ได้ตั้งใจจะเกิดในวันนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะตรัสรู้ในวันนี้ และก็ไม่ได้ตั้งใจจะปรินิพพานในวันนี้ หากแต่ว่าปลงอายุสังขารแล้วตรงกันพอดี องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ได้กำหนดว่าวันนี้จะต้องเป็นวันสำคัญ แต่ว่าพุทธศาสนิกชนรุ่นหลังนั้นมากำหนดกันเอง เพื่อที่จะได้เป็น "พุทธานุสติ" คือ การระลึกถึงคุณงามความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อที่เราทั้งหลายจะได้ปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ตามที่พระองค์ท่านชี้ทางออก บอกทางถูกให้ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-05-2024 เมื่อ 10:06 |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราทั้งหลายจึงได้มีประเพณีสืบ ๆ กันมา ก็คือ จะมีการทำบุญใส่บาตร ซึ่งเป็นการให้ทาน ตัดความโลภในจิตในใจของเรา มีการสมาทานรักษาศีล เพื่อเป็นการหักห้ามความโกรธในจิตในใจของเรา มีการฟังเทศน์ฟังธรรม น้อมนำเอาส่วนที่เหมาะที่ควรแก่กำลังใจของเราในตอนนั้น ไปประพฤติปฏิบัติให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง เป็นการสร้างเสริมปัญญาของเรา
ก็แปลว่า โบราณนั้นท่านกำหนดวันวิสาขบูชาขึ้นมา เพื่อที่ให้เราท่านทั้งหลายได้ปฏิบัติใน ศีล สมาธิ และปัญญา ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเอาไว้ โดยที่มีพระองค์ท่านเป็น "เนติ" คือ แบบอย่างที่ดีที่สุดว่า พระองค์ท่านก็ยังดับขันธปรินิพพาน ขึ้นชื่อว่าปุถุชนอย่างเราที่จะไม่ตายนั้นไม่มี ดังนั้น..เราทั้งหลาย ผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงควรที่จะยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ตามที่พระองค์ท่านตรัสเอาไว้เป็น "ปัจฉิมวาจา" คือ คำพูดสุดท้าย ที่ว่า "ขึ้นชื่อว่าสังขาร ย่อมมีการเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด" ญาติโยมทั้งหลายที่มาบำเพ็ญกุศล เนื่องในวันวิสาขบูชา ณ วัดท่าขนุนแห่งนี้ ท่านทั้งหลายก็ได้ปฏิบัติตามที่สมเด็จพระชินสีห์ได้เมตตาสั่งสอนเอาไว้ ๒,๕๖๗ ปีล่วงไปแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วดับขันธปรินิพพานในวันนี้ เราท่านทั้งหลายจะอยู่อีกกี่วันก็ไม่แน่ จึงควรที่จะสั่งสมคุณงามความดี ในศีล ในสมาธิ ในปัญญา ให้มากเข้าไว้ ถ้าวาสนาบารมีถึง เราจะได้ล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ถ้าตราบใดที่ยังไม่ถึงพระนิพพาน ก็ขอให้ทางแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของเราท่านทั้งหลายนั้น สั้นลงที่สุดเท่าที่จะสั้นได้ เพื่อที่เราจะได้พบกับความทุกข์น้อยที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-05-2024 เมื่อ 10:08 |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
รับหน้าที่วิสัชชนามาในอัปปมาทกถาเนื่องในวันวิสาขบูชา ก็พอสมควรแก่เวลา ท้ายสุดแห่งพระธรรมเทศนา อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะเป็นประธาน มีบารมีของหลวงปู่สาย อคฺควํโส อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนแห่งนี้เป็นที่สุด
ขอได้โปรดเมตตาดลบันดาลให้ญาติโยมทั้งหลาย ปลอดภัยในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ แม้ว่าประสงค์จำนงหมายสิ่งหนึ่งประการใด ที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมแล้วไซร้ ขอให้ความปรารถนาของท่าน สำเร็จสัมฤทธ์ผลสมดังมโนรถจงทุกประการ รับหน้าที่วิสัชนามาก็พอสมควรแก่เวลา จึงขอสมมติยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เทศน์วันวิสาขบูชา ณ วัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย) แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-05-2024 เมื่อ 10:08 |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|