กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมกราคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 16-01-2024, 18:16
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 500
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 24,997 ครั้ง ใน 988 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๗


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 16-01-2024, 23:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เป็นวันครูของบ้านเรา ปกติแล้ววันครู โบราณเขาถือเอาวันพฤหัสบดี เพราะว่าพระพรหมสร้างพระพฤหัสบดีขึ้นมาจากพระฤๅษี ๑๙ ตน บรรดาฤๅษีต่าง ๆ ถือว่าเป็นครูของสายวิชาการสารพัดสารเพ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาถึงได้ถือว่าวันพฤหัสบดีเป็นวันครู ก็คือมาจากพ่อครูปู่พระฤๅษีนั่นเอง แต่ว่าของเรามากำหนดเอาวันครู เป็นวันที่ ๑๖ ของเดือนมกราคมของทุกปี

คำว่า ครู นั้นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากมาแต่โบราณ โดยที่มีคำกล่าวว่า แม่เป็นครูคนแรก พ่อเป็นครูคนที่สอง คุณครูที่โรงเรียนเป็นครูคนที่สาม เหล่านี้เป็นต้น ดังนั้น..เวลานักเรียนร้องเพลง "พระคุณที่สาม" ขอให้ทราบว่ามีที่มาจากครูนี่เอง

ครูเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้แก่เรา ถ้าหากว่าย้อนไปว่า
พ่อแม่เป็นผู้ที่ให้กำเนิดชีวิต ครูก็เป็นผู้ให้ความรู้ เพื่อที่เราจะได้อาศัยเป็นศิลปศาสตร์ในการทำมาหาเลี้ยงชีพของตน แต่ว่าพ่อแม่หลายรายก็เป็นครูสอนศิลปศาสตร์ไปด้วย บางทีก็ปู่ย่าตายายนั่นแหละ ที่เป็นครูผู้สอน อย่างในวรรณคดีขุนช้างขุนแผนที่กล่าวถึงพลายงามตอนศึกษาวิชาการว่า

"ฯลฯ..อันเรื่องราวกล่าวความพลายงามน้อย
ค่อยเรียบร้อยเรียนรู้ครูทองประศรี
ทั้งขอมไทยได้สิ้นก็ยินดี
เรียนคัมภีร์พุทธเพทพระเวทมนต์..ฯลฯ"

เราท่านทั้งหลาย ถ้าไปนึกถึงสมัยนั้นว่าระหว่างสุพรรณบุรีกับกาญจนบุรีนั้นคือป่าดงดิบมหึมา หรือป่าเสือป่าช้างเลย สมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำการบริหารจัดการวัด ยังต้องไปซื้อไม้ที่อำเภออู่ทอง แล้วเรามาคิดว่า จากอำเภออู่ทอง กว่าจะทะลุไปถึงกาญจนบุรีนั้น ถ้าเป็นระยะทางรถในปัจจุบัน ก็ ๖๐ กว่ากิโลเมตร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2024 เมื่อ 00:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 16-01-2024, 23:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ในสมัยก่อนนั้น ผู้หญิงม่ายคนหนึ่งกระเซอะกระเซิง อุ้มลูกชายหนีราชภัยกลับไปอยู่กับตระกูลของตนเอง ต้องบุกป่าฝ่าดงเป็นเวลากี่วัน ? อะไรที่ทำให้ผู้หญิงคนนั้นโชคดี ถึงขนาดพาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไปได้ตลอดรอดฝั่ง ซ้ำยังท้ายสุดชุบเลี้ยงจนกระทั่งกลับมากลายเป็นเจ้าพระยากาญจนบุรี หรืออีกนามหนึ่งที่ทุกคนรู้จักก็คือ "ขุนแผนแสนสะท้าน หลานขุนไกร"

เมื่อมาอ่านถึงประวัติของพลายงาม ก็ได้รู้ชัดเจน

"ฯลฯ..ค่อยเรียบร้อยเรียนรู้ครูทองประศรี
ทั้งขอมไทยได้สิ้นก็ยินดี
เรียนคัมภีร์พุทธเพทพระเวทมนต์..ฯลฯ"

แปลว่าท่านย่าทองประศรีนั่นแหละเป็นสุดยอดของวิชาการเลย แล้วเป็นผู้หญิงที่แหกคอกแหกเหล่าของสมัยนั้นด้วย..! เพราะว่าสมัยก่อนผู้หญิงเขาก็จะเรียนรู้วิชาในครัว ศึกษาเกี่ยวกับเสน่ห์ปลายจวัก การเป็นแม่บ้านแม่เรือน ทำอย่างไรที่จะเลี้ยงลูกเลี้ยงผัวให้มีความสุข ไม่จำเป็นที่จะต้องศึกษาหาความรู้ด้วยการเรียนหนังสือ

แต่ท่านย่าทองประศรีนอกจากที่จะศึกษาเรียนรู้หนังสือแล้ว ยังศึกษาสารพัดตำรา ใช้คำว่า "พุทธเพทพระเวทมนต์" ก็คือในลักษณะของพุทธาคม นอกจากเรียนแล้วยังต้องทำได้อีกต่างหาก ไม่อย่างนั้นแล้วจะมาสอนหลานคือพลายงามได้อย่างไร ? เนื่องเพราะว่าถ้าตัวครูผู้สอนทำไม่ได้ แล้วจะทำให้ลูกศิษย์ทำได้นั้น แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย..!

ดังนั้น..ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายอ่านตำราแล้วรู้จักคิด หรือว่าค่อนข้างจะฟุ้งซ่านอย่างกระผม/อาตมภาพ ก็จะได้อะไรต่อมิอะไรเพิ่มขึ้นมาอีกเยอะมาก อย่างเช่นที่กระผม/อาตมภาพตั้งคำถามกับลูกศิษย์เกี่ยวกับม้ากัณฐกะว่า "เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะให้นายฉันนะนำม้ากัณฐกะกับเครื่องทรง กลับคืนไปยังกบิลพัสดุ์ ม้าม้ากัณฐกะเหลียวมองเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารด้วยความอาลัย พอลับสายตาก็ล้มลง หัวใจสลาย" กระผม/อาตมภาพตั้งคำถามกับลูกศิษย์ว่า "ม้ากัณฐกะอาลัยเจ้าชายสิทธัตถะถึงขนาดหัวใจสลายเลยหรือ ? ไม่ใช่เหนื่อยตายแน่นะ..!"

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าม้ากัณฐกะพาเจ้าชายสิทธัตถะวิ่งจากเมืองกบิลพัสดุ์ ผ่านแคว้นโกศลทั้งแคว้น ผ่านแค้วนมคธทั้งแคว้น ไปจนถึงแคว้นกาสี ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องวิ่งข้าม ๓ ประเทศ ต่อให้ไม่ใช่ประเทศที่ใหญ่นัก ตีเสียว่าวิ่งข้าม ๓ จังหวัดก็แล้วกัน แล้วก็เป็นจังหวัดใหญ่ ๆ ประมาณกาญจนบุรี เชียงใหม่เสีย ๒ จังหวัด จังหวัดเล็ก ๆ ประมาณนนทบุรีหรือนครปฐมอีก ๑ จังหวัด ภายในคืนเดียว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2024 เมื่อ 00:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 17-01-2024, 00:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อย่าลืมว่าม้าไม่ใช่รถยนต์ รถยนต์วิ่งกันทีหลายร้อยกิโลเมตร ยังต้องมีการหยุดพักเครื่อง แล้วที่ร้ายไปยิ่งกว่านั้น ม้ากัณฐกะเป็นสหชาติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบรรพชา หรือออกมหาภิเนษกรมณ์ ตอนอายุ ๒๙ ปี แปลว่าม้ากัณฐกะก็อายุ ๒๙ ปีเช่นกัน เป็นม้าที่แก่มากแล้ว ต่อให้เก่งกล้าสุดยอดขนาดไหน คืนเดียววิ่งข้าม ๓ จังหวัดใหญ่ ๆ คิดว่าจะไหวหรือไม่ไหว ?

กระผม/อาตมภาพจึงคิดว่า ม้ากัณฐกะน่าจะอยู่ในอาการเหนื่อยตายมากกว่า อาการนี้เป็นอาการเดียวกันบุคคลที่ทรงอยู่ด้วยมโนสัญเจตนา ก็คือมุ่งมั่นต่อการงานของตน ทำให้มีแรงฮึด มีลูกอึด ลูกถึก ลูกทน เมื่อถึงเวลางานเสร็จ ตัวเองก็พับไปกับงานด้วย..!

แต่ด้วยความที่แก่มากอย่างหนึ่ง ต้องวิ่งเป็นระยะทางไกลขนาดนั้นภายในคืนเดียวอีกอย่างหนึ่ง จึงทำให้ม้ากัณฐกะ เมื่อหมดมโนสัญเจตนา คือความมุ่งมั่นว่าส่งพระลูกเจ้าของตนไปสู่จุดมุ่งหมายแล้ว กำลังที่จะประคองกายก็ไม่เหลือแล้ว จึงได้ล้มลง หัวใจวายตายเพราะความเหนื่อยอย่างหนึ่ง เพราะรู้สึกว่าหมดภาระแล้วอีกอย่างหนึ่ง

เหมือนกับที่นักข่าววิ่งส่งข่าวการศึกระหว่างกรีกกับโรมัน เมื่อส่งข่าวเสร็จ ก็ล้มลงสิ้นใจตาย จนกระทั่งก่อให้เกิดการวิ่งมาราธอน ๔๒ กิโลเมตรเศษมาจนทุกวันนี้ นั่นก็เป็นอาการเดียวกัน ดังนั้น..ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายอ่านหนังสือ อ่านตำราแล้ว รู้จักคิด รู้จักตรอง หรือหัดฟุ้งซ่านเสียหน่อย ก็จะได้รสชาติของตำราขึ้นอีกมาก

บางท่านก็ว่ากระผม/อาตมภาพทำได้อย่างไร อ่านพระไตรปิฎกไปแล้ว ๗ - ๘ จบ ขอบอกว่าถ้าเป็นคำสั่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านสั่งว่า "ถ้าเป็นไปได้..ให้แกอ่านพระไตรปิฎกปีละจบ" แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าบวชมาจะ ๔๐ ปีแล้ว เพิ่งอ่านไปได้แค่ ๗ - ๘ จบ..!

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าพอไปถึงพระอภิธรรมปิฎก ซึ่งเป็นเนื้อหาหลักธรรมล้วน ๆ ประมาณว่ากระดูกทั้งแท่ง ไม่มีเนื้อไม่มีน้ำเลย แล้วการที่ต้องไปแทะกระดูกอยู่ เมื่อไม่เสร็จหรือว่าไม่ทะลุปรุโปร่ง ก็ไม่อยากจะเลิก เมื่ออ่านไปถึงตรงไหนแล้วไม่มั่นใจ ก็ต้องพยายามสืบเสาะหาความรู้ให้ได้ ว่าจุดนี้เราเข้าใจถูกต้องแล้วหรือไม่ ? จึงทำให้การอ่านพระไตรปิฎกช่วงพระอภิธรรมปิฎกนั้นช้ามาก

ญาติโยมหลายคนที่เห็นในปัจจุบันนี้ กระผม/อาตมภาพอ่านหนังสือพ็อคเก็ตบุ้คประมาณ ๒๕๐ หน้าจบวันละ ๑ เล่ม แล้วก็บอกว่า "หลวงพ่ออ่านหนังสือเร็วมาก พระอาจารย์อ่านหนังสือเร็วมาก" รู้หรือไม่ว่ากระผม/อาตมภาพชะลอการอ่านลงมาแล้ว เพราะว่าโดยปกติแล้วสมัยก่อนอ่านวันละ ๔ - ๕ เล่ม..! แล้วก็ลดลงมาเหลือวันละ ๒ - ๓ เล่ม..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2024 เมื่อ 00:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 17-01-2024, 00:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ปัจจุบันนี้เหลือเล่มเดียวด้วย ๒ สาเหตุ สาเหตุแรกก็คือหนังสือออกให้อ่านไม่ทัน สาเหตุที่สองก็คือหนังสือราคาแพง กระผม/อาตมภาพพยายามจำกัดราคาหนังสือที่ตนเองซื้อหาในแต่ละเดือน ให้อยู่ในวงงบประมาณ ๓,๐๐๐ บาท แต่ว่าถ้าเดือนไหนมีสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ หรือว่าสัปดาห์หนังสือนานาชาติ บางทีก็วิ่งทะลุหมื่นเหมือนกัน..!

กระผม/อาตมภาพเคยไปยังร้านหนังสือ DK ก็คือ ร้านดวงกมล ที่ซีคอนสแควร์ ปรากฏว่าเข้าไปแค่มุมหนังสือต่างประเทศอย่างเดียว เงินสดติดตัวอยู่ ๗,๐๐๐ กว่าบาท เหลือกลับมาแค่เศษสตางค์ ไม่ถึง ๑๐ บาท ยังไม่ได้ขยับไปมุมอื่นเลย ตอนแรกที่ซื้อก็ด้วยความมั่นใจว่า นักเขียนต่างประเทศส่วนใหญ่แล้วก็จะเขียนหนังสือด้วยการหาข้อมูลอย่างมั่นใจแล้ว ถึงได้เขียนเป็นตำราออกมา แต่เมื่อเจอเรื่องเกี่ยวกับประเทศไทย มีคำว่า "ทะเลสาบ ลากูน" "แม่น้ำ ริเวอร์" กระผม/อาตมภาพก็นั่งเครียดแล้ว แปลว่า เอ็งหาข้อมูลก็จริง แต่เอ็งไม่เข้าใจ..!

พอถามเขาว่า "แม่น้ำนี้ชื่ออะไร ?" คราวนี้ด้วยความที่ถามเป็นภาษาต่างประเทศ คนไทยก็ตอบว่า "แม่น้ำ" พ่อเจ้าประคุณก็ลงไปว่า "แม่น้ำริเวอร์" พอถามว่า "ทะเลสาบนี้ชื่ออะไร ?" พอคนไทยตอบว่า "ทะเลสาบ" พ่อเจ้าประคุณก็ลงไปว่า "ทะเลสาบลากูน" เป็นอันว่าจบกัน..! กระผม/อาตมภาพก็เลยเลิกเห่อ เลิกบ้าตำราฝรั่งไป ไม่เช่นนั้นแล้วสมัยก่อนก็สะสมแต่หนังสืออ่านยากพวกนั้น

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง คือหลวงปู่มหาอำพัน - ท่านเจ้าคุณพระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน อาภรโณ บุญ-หลง) วัดเทพศิรินทราวาส ในกุฏิของท่านมีตำราทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษแน่นไปหมด บางทีท่านก็อ่านไปยันเที่ยงคืน ตี ๑ ตี ๒ เห็นกระผม/อาตมภาพนั่งหาวแล้วหาวอีก ท้ายที่สุดท่านก็สงสาร บอกว่า "วันนี้พอแค่นี้ก่อน แต่ว่าสวดมนต์ทำวัตรกันก่อนแล้วค่อยนอนนะ..!" กระผม/อาตมภาพก็เกือบจะสลบไปแล้วตอนทำวัตรกับท่าน..!

วันนี้ที่มาเล่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เพราะว่าเป็นวันครู กระผม/อาตมภาพเป็นบุคคลที่มีครูมาก เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเป็นผู้ที่ใฝ่รู้ ต้องการความรู้ทุกประเภท แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังมีผู้ปรารภ ที่กระผม/อาตมภาพกำลังรบราฆ่าฟันอยู่กับ "แอพพลิเคชั่นเสบียงบุญ" เนื่องเพราะว่าแอพพลิเคชั่นเสบียงบุญมักจะ "หลุด" อยู่เสมอ กำลังพยายามหาสาเหตุอยู่ว่าหลุดเพราะอะไร ? ถ้ามีโอกาสจะเล่าถึงการที่รบราฆ่าฟันกับ "แอพพลิเคชั่นเสบียงบุญ" ว่าสนุกสนานแบบเดียวกับที่รบกับกิเลสอย่างไรบ้าง ?

สำหรับวันนี้ก็ขออำนวยอวยพรต่อคุณครูทั้งหลาย ให้มีสุขภาพกาย สุขภาพใจที่แข็งแรงมั่นคง ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับศิษย์ทั้งหลายได้อย่างเต็มที่ เพื่อที่จะได้ช่วยกันเสริมสร้างประเทศชาติของเราให้เจริญมั่นคงสืบไป และขออุทิศส่วนกุศลที่ได้สร้างมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนาก็ดี แก่คุณครูทั้งหลายตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ ขอทุกท่านได้อนุโมทนา ประโยชน์ความสุขใดที่ศิษย์ผู้นี้จักพึงได้รับ ขอให้ครูทั้งหลายจงได้รับประโยชน์และความสุขนั้นเช่นเดียวกัน ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๑๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2024 เมื่อ 01:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:02



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว