กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 14-10-2023, 19:58
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 359
ได้ให้อนุโมทนา: 3,307
ได้รับอนุโมทนา 19,429 ครั้ง ใน 838 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๖


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 15-10-2023, 01:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,789
ได้ให้อนุโมทนา: 152,290
ได้รับอนุโมทนา 4,422,083 ครั้ง ใน 34,380 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ถ้าหากว่าย้อนหลังไป ๕๐ ปี เขาเรียกว่า "วันมหาวิปโยค" ใครเกิดไม่ทันก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ไป..!

ตอนนั้นกระผม/อาตมภาพเรียนชั้นมัธยมอยู่พอดี ทนเห็นรัฐบาลล้อมปราบนักศึกษาไม่ได้ พาเพื่อนเดินขบวนไปขออนุญาตครูใหญ่เข้ากรุงเทพฯ ครูใหญ่สั่งปิดโรงเรียนเดี๋ยวนั้นเลย..! เป็นการแก้ปัญหาที่เด็ดขาดและ "ทันฟืนทันไฟ" มาก เพราะว่าทันทีที่สั่งปิดเรียน พวก "เด็กเรียน" ก็หายกลับบ้านไปเกินครึ่งแล้ว ที่เหลือขาดแรงสนับสนุน ก็กลับบ้านไปแบบจ๋อย ๆ แต่โดยดี..!

ต้องบอกว่าครูบาอาจารย์สมัยนั้นห่วงลูกศิษย์อย่างชนิดที่เหมือนกับลูกของตัวเอง ไม่อยากให้ไปเดือดร้อน โดยเฉพาะวัยรุ่นระดับมัธยม หรือมหาวิทยาลัย กำลังอยู่ใน "วัยวิกฤต" ก็คือฮอร์โมนกำลังพลุ่งพล่าน "คิดบวก" อย่างเดียว..! เรื่องอื่นไม่ค่อยจะคิด

คราวนี้เราจะเห็นว่า รัฐบาลใดก็ตาม ถ้าหากว่าไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชน ต่อให้มีอำนาจล้นฟ้าก็อยู่ไม่ได้ รัฐบาลสมัยนั้นก็เช่นกัน พอคนแห่ออกมามาก ๆ เข้า ท้ายสุดก็ต้องเดินทางออกนอกประเทศ แล้วภายหลังก็มีการเดินทางกลับมาในสถานภาพของนักบวช แต่ว่าไม่เป็นที่ยอมรับ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ขึ้นอีกรอบหนึ่ง..!

บ้านเราเมืองเราต้องบอกว่า "ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน" ที่อยู่ยั้งยืนยงมาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลัก แม้แต่ต่างประเทศเขาก็ไม่เชื่อ อย่างเช่นว่าเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ" เดือนพฤษภาคม ปี ๒๕๓๕ ปะทะกันระหว่างรัฐบาลกับผู้ประท้วงจะเป็นจะตาย ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เรียกทั้ง ๒ ฝ่ายเข้ามา บอกว่า "ถ้าจะเอาแพ้เอาชนะกัน คนที่แพ้หนักที่สุดคือประเทศไทย..!" เท่านั้นเอง..ทุกอย่างจบหมด..!

ดังนั้น..ในเรื่องของสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นที่จะต้องอยู่คู่สังคมไทย บ้านเราเมืองเรา สถาบันศาสนาเป็นหลัก เป็นเครื่องยึดโยงใจบุคคลที่มีความเชื่อถือศรัทธาในสิ่งเดียวกัน เข้ามารวมกันเป็นปึกแผ่น องค์พระมหากษัตริย์เล็งเห็นดังนั้น จึงให้การสนับสนุนศาสนาในฐานะองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก

ในเมื่อชาวบ้านทั่วไป เห็นว่าพระองค์ท่านให้การสนับสนุนสถาบันที่เขาศรัทธาและเชื่อถือ ก็ถือว่าเป็นพวกเดียวกัน จึงให้การสนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อมีการสนับสนุนในลักษณะอย่างนั้น สถาบันชาติจึงเป็นปึกแผ่นแน่นหนามั่นคงขึ้นมา

ดังนั้น..คำว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ของบ้านเรา จึงแยกออกจากกันไม่ได้ เหมือนกับเก้าอี้สามขา ขาดไปขาหนึ่งเมื่อไร ก็ล้มเมื่อนั้น..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-10-2023 เมื่อ 02:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 15-10-2023, 01:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,789
ได้ให้อนุโมทนา: 152,290
ได้รับอนุโมทนา 4,422,083 ครั้ง ใน 34,380 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมัยที่มีการปะทะกันทางความคิด จนกระทั่งกลายเป็นการใช้อาวุธ มีทั้งฝ่ายที่อยู่ในป่าและฝ่ายที่อยู่ในเมือง ฝ่ายที่อยู่ในป่าเขาทำวิจัยแล้วว่า สามสถาบันนี้ ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง ประเทศไทยก็อยู่ไม่ได้ ก็เลยมีการปล่อยข่าว "ยุแยงตะแคงรั่ว" เพื่อที่จะล้มสถาบันพระมหากษัตริย์..!

แต่ด้วยคุณงามความดีที่สถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะในหลวงรัชกาลที่ ๙ และองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ที่ประพฤติปฏิบัติให้ชาวบ้านเห็นเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน จึงไม่มีใครเสื่อมคลายศรัทธาจากสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่เขาต้องการ

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงเปลี่ยนเป้ามาทำลายสถาบันศาสนาแทน อย่างเช่นว่า ปล่อยข่าวให้ร้ายบ้าง จ้างคนเข้ามาบวช แล้วก็ให้ทำชั่วจนปรากฏเป็นข่าว ทำให้คนเสื่อมศรัทธาบ้าง ส่งผู้หญิงเข้ามาอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นงานเป็นการ เพื่อทำลายท่านที่มีคุณงามความดีเป็นที่ปรากฏเชื่อถือของคนหมู่มาก แต่ว่ากำลังใจยังไม่หลุดพ้นในเรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง บ้าง

เรื่องพวกนี้เขาทำเป็นขบวนการตั้งแต่สมัยนั้นจนถึงสมัยนี้ เพียงแต่ว่าสมัยนั้นรุนแรงกว่า ก็คือมีการขึ้นบัญชีหลวงปู่หลวงพ่อที่เป็นหลักชัยของพระพุทธศาสนาในยุคนั้นเอาไว้ แล้วก็ส่งมือปืนไปเก็บ ต้องบอกว่ามือปืนเขาเก่งนะ อะไรที่รกหูรกตาเขา "เก็บ" ให้เรียบร้อยได้..! แต่ว่าบารมีของหลวงปู่หลวงพ่อแต่ละท่านนั้น ล้วนแล้วแต่ล้นเหลือ เพราะว่าสร้างคุณงามความดีโดยที่ไม่ได้หวังผลตอบแทนใด ๆ จนกระทั่งบรรดาผู้คิดร้ายก็แพ้ภัยไปเอง

ปัจจุบันนี้เลิกใช้วิธีแบบนั้น แต่หันมาใช้วิธีทำลายในลักษณะทำให้เกิดข่าวแล้วเสื่อมศรัทธา โดยจ้างบรรดาสำนักข่าวต่าง ๆ ช่วยกันกระพือ โดยเฉพาะช่วงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา อย่างเช่น วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา ใกล้วันเมื่อไร ข่าวพวกนี้จะปะทุขึ้นมาทันที บางข่าวหลายปีผ่านไปแล้ว ก็เอามาแชร์ใหม่จนบางคนคิดว่าเพิ่งจะเกิด..!

จะว่าไปแล้ว เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าพระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนาของเราประพฤติดีปฏิบัติชอบ ก็ไม่กระเทือนหรอก แต่คราวนี้มีบุคคลจำนวนหนึ่งที่ไป "เตะลูกเข้าทางตีน" เขา อย่างเมื่อไม่กี่วันก่อน ก็ไปเข้าบ่อนที่ประเทศพม่า เรื่องพวกนี้ทางด้านพม่าเขาไม่ถือสา

กระผม/อาตมภาพไปอยู่พม่าเพื่อสร้างวัดตั้ง ๕ - ๖ ปี งานวัดที่ไหนที่นั่นแหละ การพนันเพียบเลย โดยเฉพาะพวก น้ำเต้า ปู ปลา ทั้งพระทั้งเณรล้อมวงกันให้เหลืองไปหมด..! หรือแม้กระทั่งแข่งฟุตบอล พระเณรตั้งทีมแข่งกันเอง หรือว่าลงชกมวย แต่ชาวบ้านเขาไม่ตำหนิ เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าชาวบ้านเขาไม่ตำหนิก็จบเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-10-2023 เมื่อ 02:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 15-10-2023, 01:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,789
ได้ให้อนุโมทนา: 152,290
ได้รับอนุโมทนา 4,422,083 ครั้ง ใน 34,380 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แม้กระทั่งเรื่องของผู้หญิง ส่วนใหญ่พอลูกเริ่มโตเป็นสาวก็เอาไปฝากพระไว้ เพราะว่าทางเพื่อนบ้านของเรา รัฐบาลเขาไม่สนับสนุนการศึกษา ถ้าหากว่ามีการศึกษา โลกทัศน์เปิดกว้างเมื่อไร ก็มักจะไปเรียกร้องกับรัฐบาล..!

ในเมื่อขาดการศึกษา ส่วนใหญ่แล้วการศึกษาไปอยู่ในวัด พระเณรมีความรู้สูง ๆ ก็ส่งลูกสาวไปอยู่ด้วย พระเณรก็สอนให้ศึกษาเล่าเรียน ได้วิชาความรู้มา ถ้ารักชอบพอก็สึกออกไปแต่งงานกัน ส่วนใหญ่พระเณรก็มีฐานะดีกว่าชาวบ้านทั่วไป แม้กระทั่งกระผม/อาตมภาพไปอยู่พม่า ๖ ปี ยังมีลูกสาวชาวพม่างาม ๆ อยู่ ๒ คน เสียดายอย่างเดียวว่า
กระผม/อาตมภาพเห็นเป็น "เด็กกะโปโล" เพราะฉะนั้น..สวยแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์..!

ทางพม่าเขาตีความพระวินัยต่างกับของเรา อย่างเช่นว่า บ้านเราเข้าบ้านในเวลาวิกาล ถือว่าหลังพระอาทิตย์ตกดิน แต่ฉันอาหารในเวลาวิกาล เราถือเอาหลังเที่ยงไปแล้ว ส่วนของพม่าเขาตีความเท่ากันว่า วิกาลคือหลังพระอาทิตย์ตกดิน เพราะฉะนั้น..๕ - ๖ โมงเย็น พระพม่าเข้าร้านอาหาร สั่งอาหารกินกันตามปกติ ร้านอาหารหลายแห่งก็จัดอาหารสำหรับพระโดยเฉพาะด้วย มีรั้วรอบขอบชิด มีม่านกั้นให้อย่างดีเลย..!

เพียงแต่ว่าพระเณรพม่ารู้ว่าพระไทยไม่ฉันอาหารเย็น เพราะฉะนั้น..เมื่อถึงเวลาก็ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ อาตมภาพก็เลยใช้วิธีว่า ถ้า ๔ โมงเย็นไปแล้ว ก็จะไปกราบพระพุทธรูปสำคัญ หรือไปพระเจดีย์สำคัญที่อยู่นอกวัด สวดมนต์ ไหว้พระ เจริญภาวนาที่นั่น กลับมาอีกทีก็ทุ่มกว่าสองทุ่ม หมดเรื่องไป ก็คือให้เขากินกันให้สบายใจก่อน..!

ในเมื่อการตีความต่างกัน คนพม่าเขาไม่เห็นความต่างระหว่างพระกับฆราวาสในเรื่องผู้หญิง ก็คือไม่ถือสา ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไปอยู่นาน ๆ จะเห็นว่า พระพม่าถึงเวลาก็โอบบ่าผู้หญิง กางร่มให้ เดินไปด้วยกัน กระผม/อาตมภาพเองขึ้นรถเมล์ ก็โดนผู้หญิงนั่งตักมาแล้ว..! ขยับหนี..เขายังทำตาเขียวใส่ ประมาณว่า "นั่งแค่นี้ทำไมจะไม่ได้..!" ในเมื่อเขาไม่ถือสาหาความ โลกไม่ติเตียน ก็เหลืออยู่อย่างเดียวว่าพระเณรจะมีตบะในการต่อต้านได้แค่ไหน..!?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-10-2023 เมื่อ 02:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 15-10-2023, 01:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,789
ได้ให้อนุโมทนา: 152,290
ได้รับอนุโมทนา 4,422,083 ครั้ง ใน 34,380 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ต้องชื่นชมว่าญาติโยมชาวพม่ารู้บทบาทตัวเองชัดเจนมาก ก็คือ ถ้าหากว่าคุณบวชวันนั้น เขาก็กราบไหว้อย่างเต็มไม้เต็มมือ สึกออกมาวันนั้น ก็คลุกคลีตีโมง เล่นหัวกันไปเลย ไม่เหมือนกับบ้านเรา ถ้าหากว่าบวชสัก ๓ พรรษา ๔ พรรษา สึกออกมา กลายเป็นแปลกแยกจากสังคม ไม่ต้องไปพูดถึงที่บวช ๓๐ - ๔๐ พรรษาอย่างกระผม/อาตมภาพหรอก..!

ก็เลยทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คนพม่าเข้าใจบทบาทของความเป็นพุทธศาสนิกชนมากกว่าของเรา ก็คือรู้ว่าตอนไหนควรเคารพกราบไหว้ รู้ว่าตอนไหนคือเพื่อนกัน ดังนั้น..สังคมศาสนาในพม่า จึงค่อนข้างจะแปลก ๆ ในสายตาของเรา แต่ถ้าเข้าใจบริบทในสังคมของเขาแล้ว ก็จะเห็นว่าเป็นเรื่องปกตินั่นเอง

สรรพสิ่งทั้งหลายเดินไปสู่ความเสื่อมตลอดเวลาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าถ้าเราไม่ฝืนต่อต้านเอาไว้ ความเสื่อมนั้นจะมาถึงช้ากว่าปกติ ดังนั้น..การที่เราท่านทั้งหลายมาปฏิบัติธรรมอยู่ คือพยายามสร้างกำลังใจของเรา ให้เข้มแข็งพอที่จะต้านกระแสโลกได้ พอที่จะให้ความเสื่อมช้าลงบ้าง เพราะว่าการทำความดี แม้ว่าจะจำนวนน้อย แต่ว่ากระแสความเย็นที่มีก็เพียงพอที่จะดับร้อนในอาณาเขตบริเวณหนึ่งได้

ฉะนั้น..ถ้าหากว่ามีคนตั้งใจทำความดีกันเป็นจำนวนมาก บ้านเราเมืองเราก็จะสงบร่มเย็นมากกว่าส่งส่ายวุ่นวาย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.๑๐ จึงได้ประทานแอพพลิเคชั่น "เสบียงบุญ" มาให้ เพื่อที่พวกเราได้ปฏิบัติภาวนา สั่งสมบุญกุศลไปเรื่อย ต่ำสุด ๑๐ นาที สูงสุด ๒ ชั่วโมง หรือถ้าหากว่าคิดว่าตนเองนั่งสมาธิได้มากกว่านั้น ก็กดแบบไม่กำหนดเวลาไปเลย..!

กระผม/อาตมภาพเอง ระยะนี้สะสมมากหน่อย เพราะว่าอยู่ในช่วงปฏิบัติธรรมของเรา ถ้าวันปกติส่วนใหญ่ก็ปฏิบัติใหญ่ ๓ รอบเท่านั้น เรื่องพวกนี้เราต้องทำเอง ทำแทนกันไม่ได้ "ต่อให้เป็นแฟน ก็ทำแทนกันไม่ได้" ใครทำก็เป็นของคนนั้น

สำหรับวันนี้ก็เรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-10-2023 เมื่อ 02:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:10



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว