กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๔ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนธันวาคม ๒๕๖๔

Notices

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนธันวาคม ๒๕๖๔ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนธันวาคม ๒๕๖๔

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 08-12-2021, 20:44
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,599
ได้ให้อนุโมทนา: 219,376
ได้รับอนุโมทนา 766,675 ครั้ง ใน 37,529 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๔

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๔


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 08-12-2021, 23:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ อากาศช่วงนี้ก็ยังหนาวอยู่ สำหรับพวกเราที่เคยชินแล้วก็ไม่กระไรนัก ระดับ ๑๔-๑๕ องศาเซลเซียสเป็นของกำลังดี แต่คนที่มาเจอใหม่ ๆ ผ้าห่ม ๒ ผืนก็เอาไม่อยู่..!

ตั้งแต่ผมมาทองผาภูมิปี ๒๕๓๒ จนถึงป่านนี้ เคยเจออุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ ๒.๕ องศาเซลเซียส มือไม้แข็งหมด ม้วนจีวรไม่ได้ จะไปไหนได้แต่เอาจีวรคลุมไปเฉย ๆ แล้วช่วงที่เจอนานมากก็คืออยู่ในระดับ ๗-๘ องศาเซลเซียสเป็น ๑๐ ปี ขนาดญาติโยมจากกรุงเทพฯ ตั้งใจจะมาเล่นน้ำสงกรานต์ เจอช่วงสงกรานต์อากาศ ๑๓-๑๔ องศาเซลเซียส แทนที่จะได้เล่นน้ำก็ต้องมาแบกผ้าห่มกันแทน..!

ระยะนี้แสดงว่าธรรมชาติของเราค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมา เหตุสำคัญเลยก็คือทางราชการห้ามตัดไม้ไผ่ ไม้ไผ่กลายเป็นไม้หวงห้าม ไม่อย่างนั้นแล้วก่อนหน้า ๓๐ กว่าปีที่แล้วที่ผมมาทองผาภูมิ พี่น้องมอญพม่าที่เข้ามาเมืองไทย อันดับแรกเลยก็คือมาตัดไม้รวกขาย หน้าแล้งตัดไม้รวก ลำละ ๒ บาท หน้าหนาวหาหน่อไม้ กิโลกรัมละ ๕ บาท สรุปว่าไม้รวกไม้ไผ่โตไม่ทันให้ตัด ขึ้นเป็นหน่อมาก็โดนแซะหมด แก่เป็นต้นขึ้นมาโดนตัดหมด จนกระทั่งทางการเล็งเห็นว่าขืนให้ทำอย่างนี้ต่อไป ธรรมชาติบรรลัยหมดแน่นอน ถึงได้กำหนดห้ามการตัดไม้ไผ่ขึ้นมา

การตัดไม้ไผ่ ถ้าหากว่าเป็นสมัยที่ผมเด็ก ๆ อยู่ มีโอกาสใช้งานเยอะมาก เอาไปทำเป็นแพบ้าง เครื่องใช้ไม้สอยบ้าง ทำฟาก ทำเสื่อลำแพน สมัยหลังนี่การตัดไม้ไผ่เอาไปทำก้านธูปอย่างเดียว ตะเกียบยังไม่ทำเลย ทำแต่ก้านธูป ก็คือซอยให้เล็กที่สุดเท่าที่จะเล็กได้ เพื่อให้ใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด พอทางราชการห้ามขึ้นมา ทุกอย่างก็ค่อย ๆ ดีขึ้น อากาศก็เริ่มเย็นลง ไม่อย่างนั้นแล้ว หน้าหนาวที่ทองผาภูมิช่วงหลายปีที่ผ่านมา อุณหภูมิอย่างเก่งก็ได้แค่ ๑๘-๑๙ องศาเซลเซียส

คราวนี้การที่อากาศหนาวทำให้เป็นหวัดได้ง่าย เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ก็จะฉวยโอกาสลุกลามไปด้วย โดยเฉพาะเชื้อโอไมครอนเริ่มเข้าเมืองไทยมาแล้ว เข้ามาได้แบบสมควรเข้า เพราะว่าคนที่รับเชื้อมามีหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ ในเมื่อนักท่องเที่ยวติด มัคคุเทศก์ก็ติดไปด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-12-2021 เมื่อ 02:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 08-12-2021, 23:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ก็อย่างที่เคยบอกเอาไว้ก็คือว่า เชื้อไวรัสมาถึงเมืองไทยแล้วน่าสงสารมาก บ้านเรามีแต่ของเผ็ด ของเปรี้ยว ของร้อน กินอะไรลงไปเชื้อก็ตายหมด..! ใครรู้ตัวว่าติดเชื้อ กำลังไออยู่ สั่งแม่ค้าตำส้มตำเผ็ด ๆ กินลงไปสักครกหนึ่งก็หายแล้ว..!

จริง ๆ จะว่าไปแล้ว เรื่องของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ถ้าเราไม่ประสาทรับประทานจนเกินไป เป็นแล้วรักษาด้วยสมุนไพรหรืออาหารไทยก็พอแล้ว จะเป็นแกงส้ม ต้มยำ แกงเผ็ดอะไรก็ได้ รักษาได้ทั้งนั้น เชื้อพวกนี้อ่อนแอมาก ช่วงระยะเวลาที่อยู่ในลำคอของเรา เจอของเผ็ดของเปรี้ยวเข้าไปก็ตายหมด แต่ด้วยความที่ว่าทางราชการไปกำหนดกฎเกณฑ์ ให้ฉีดวัคซีนแล้วถึงจะทำอย่างโน้นได้ ฉีดวัคซีนแล้วถึงจะทำอย่างนี้ได้

แม้กระทั่งการรับปริญญาของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ปีนี้ยังกำหนดว่า นอกจากฉีดวัคซีนอย่างน้อย ๒ เข็มแล้ว ยังต้องมีผลตรวจ ATK ไม่เกิน ๗๒ ชั่วโมง กระผม/อาตมภาพก็เลยต้องติดต่อหมอนุ้ย (แพทย์หญิงนวลจันทร์ เวชสุวรรณมณี) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทองผาภูมิว่า พรุ่งนี้ให้มาทำการ "สวอบ" พระเณรที่จะไปรับปริญญาให้ด้วย โดยเฉพาะตัวผมเอง ไปในฐานะผู้บริหารก็โดนเหมือนกัน สรุปว่าตรวจแล้วตรวจอีกไม่เคยเจอเชื้อ แต่ก็จะเอาผลตรวจ

ล่าสุดนี้มีส่วนหนึ่งที่น่าตายมากก็คือ มีโยมท่านหนึ่ง แม่ป่วยเป็นโควิดตาย แล้วไปโพสต์ลงเฟซบุ๊กว่าตัวเองปลอดภัย เพราะมีวัตถุมงคลของวัดท่าขนุนอยู่ ตรวจไป ๓ ครั้งแล้วยังไม่เจอเชื้อ ที่บอกว่าน่าตายมากก็คือ อันดับแรก เอ็งกำลังโฆษณาเกินกว่าเหตุ..! เพราะว่าในเรื่องวาระบุญวาระกรรมของคนแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ถ้าบุญรักษาก็ยังรอดอยู่ กรรมสนองเมื่อไรก็อาจจะตาย..!

ประการที่สองก็คือ ตัวเองพกวัตถุมงคลแล้วรอด แต่ไม่ให้แม่พกด้วย มึงนี่สมควรตาย..! คือ คนอื่นอาจจะประเภทคิดว่า "เออ...เขาพกวัตถุมงคลแล้วรอด เราจะต้องไปหาวัตถุมงคลวัดท่าขนุนบ้าง" แต่
กระผม/อาตมภาพมองว่า "ไอ้นี่ลูกอกตัญญู มีของดีอยู่ แต่ไม่รู้จักแบ่งให้แม่ใช้"

ส่วนวันนี้ก็มีการเตรียมงาน ก็คือไล่นับวัตถุมงคลชุดที่พี่ณพ (พ.ต.อ.อรรณพ กอวัฒนา) ทำมาให้ ไม่ว่าจะเป็นพระพิมพ์หลวงพ่อโต วัดชีปะขาวหายย้อนยุค หรือว่าสมเด็จองค์ปฐมหลังยันต์เกราะเพชร พิมพ์ขุนแผนเคลือบ ปรากฏว่าน้องชายของพี่ณพ ก็คือลูกของอา ขอให้ส่งไปให้บ้าง เพราะว่าตัวเองทำมากับมือแต่ไม่มีสักองค์เดียว เพราะว่าพี่ณพเองแกจ่ายทุนเสร็จก็ลืมนึกถึงคนทำว่าอยากได้เหมือนกัน จึงขนมาให้
กระผม/อาตมภาพเสียเกลี้ยงเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 17-12-2021 เมื่อ 23:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 08-12-2021, 23:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้บรรดาญาติโยมต้องไปนั่งคัดเลือกกัน องค์ไหนมีรอยถลอกนิดถลอกหน่อยก็คัดออกหมด กระผม/อาตมภาพเห็นแล้วรำคาญ..ก็เลยจารหลัง แล้วบอกว่า "เอาไปขายให้แพงกว่าเดิม" ก็คือบางทีจมูกมีรอยนิดหนึ่งก็คัดเอาออกแล้ว อะไรจะละเอียดปานนั้น ?? ในเมื่อเอาออกมาก็ดี อะไรที่เหลือเพราะคัดมาถือว่าพิเศษ ยกเว้นบางองค์ที่รอยอุดด้านหลังหลุด หรือว่าไม่ได้บรรจุ ถ้าอย่างนั้นผมก็จาร ๒ จุด ๓ จุดเพิ่มให้เลย

ในเรื่องของวัตถุมงคล ต่อให้แตกหักอย่างไร ก็สามารถใช้งานได้ตามปกติ แต่พวกเรามักจะรู้สึกไม่ดี จึงเลยกลายเป็นว่าพอของแตกของหักแล้วก็ไม่นิยมกัน ต้องลองไปนึกถึงสมเด็จวัดระฆัง แตก ๆ หัก ๆ ชิ้นหนึ่งเจ็ดแปดแสนบาทดู

ตอนที่กระผม/อาตมภาพยังเรียนปริญญาตรีอยู่ ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระราชปริยัติโมลี (โสภา เขมสรโณ ป.ธ.๙) อดีตรองเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม อดีตเจ้าอาวาสวัดพระงามพระอารามหลวง เดินหน้าเหี่ยวเข้ามา
กระผม/อาตมภาพถามว่า "เจ้าคุณอาจารย์ เจออะไรเข้าครับ ?" "อ๋อ..มีคนเอาพระสมเด็จแตกชิ้นหนึ่งมาขายให้ ผมก็อยากจะเอาไว้ดูเนื้อเป็นครู" ถามว่า "แล้วอย่างไรครับ ?" "เขาใช้ภาษาเซียนแล้วผมไม่เข้าใจ ก็เลยพยักหน้าตกลงซื้อ โดนไปแปดแสน..!"

ภาษาเซียนของเขาจะมีเป็นกำปั้น เป็นฝ่ามือ อะไรประมาณนั้น ตัวท่านเองฟังไม่เข้าใจ..ใช่ไหม ? ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงประมาณแปดสิบเค ไม่ได้สิ แปดสิบเคไม่ถึงใช่ไหม ? ต้องแปดร้อยเคถึงจะได้แปดแสนบาท ดังนั้น...วัตถุมงคลต่อให้แตก ต่อให้หัก ถ้าเราไม่ถือสา มีความมั่นใจในตัวเอง ก็สามารถใช้ได้ทั้งหมด

เรื่องของพุทธานุภาพ วัตถุมงคลองค์เล็กแค่ไหน ก็ไม่มีปัญหา สำคัญตรงที่เคารพและศรัทธา แต่ส่วนใหญ่ก็ไปอยู่ในลักษณะว่า ถ้าไม่ได้องค์สมบูรณ์ ก็ไม่อยากได้ บางทีก็มีการคัดสวยสุด ๆ ที่คัดสวยมี ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือหวังที่จะขายได้ราคาสูง เพราะศัพท์เซียนเขามีอยู่คำหนึ่งว่า "สวยหูตากะพริบ" ก็คือสวยสมบูรณ์จริง ๆ ถ้าหากว่าเป็นพระผงก็สามารถพิมพ์ติดหู ตา จมูก ปาก มาครบถ้วน

อีกประเภทหนึ่งเกิดจากราคะจริต ราคะจริตนี่รักสวยรักงาม ละเอียดมาก สมัยก่อนมีครูบาอาจารย์อยู่รูปหนึ่ง คือหลวงปู่ครูบาพรหมจักรสังวร (หลวงปู่พระสุพรหมยานเถระ วัดพระพุทธบาทตากผ้า) หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า "ถ้าเอ็งอยากเห็นพระที่เป็นราคะจริต ลองไปดูหลวงปู่วัดพระพุทธบาทตากผ้า" พอไปสังเกตดูแล้ว ถึงได้เห็นว่าท่านทำทุกอย่างเรียบร้อยสุด ๆ ไม่ว่าจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน พูดง่าย ๆ ก็คือถ้าหากว่าท่านเป็นนางแบบ เสื้อผ้าหน้าผมนี่ไม่ได้กระดิกเลย..! ท่านเป็นพระที่เรียบร้อยมาก แม้กระทั่งท่านอน ไม่มีหละไม่มีหลวมเลย ถึงได้เข้าใจว่า แม้ว่าท่านจะเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่วิสัยเดิมที่มาจากราคะจริต รักสวยรักงาม ทำอะไรก็จะเรียบร้อยมาก เมื่อขอถ่ายรูป ขนาดท่านแต่งตัวเรียบร้อยอยู่แล้ว ก็ยังคงจับหน้า ดึงหลัง จับซ้าย จับขวาจนกระทั่งพอใจแล้วถึงนั่งให้ถ่ายรูปได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 17-12-2021 เมื่อ 23:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 08-12-2021, 23:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกทีหนึ่งก็ตอนเป็นพระใหม่ จำหน่ายวัตถุมงคลอยู่ที่วัดท่าซุง มีโยมผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง หลวงตาวัชรชัยเดินหนีเลย "เล็ก..เอ็งไปดูทีสิ" โยมคนนี้ขอบูชาลูกแก้วมณีรัตนะ แล้วขอดูทุกแบบ แต่ละองค์ที่เอามานี่ จะมากลิ้งกับแสงไฟและนิ้วตัวเอง ดูทีละเหลี่ยม มีบิ่นแม้แต่นิดเดียว ขอเปลี่ยนองค์ใหม่ทันที..!

กระผม/อาตมภาพเองเห็นหลวงตาเริ่ม "ของขึ้น" ก็รู้ท่า "ตั้งอารมณ์" ไปเต็มที่เลย วันนี้ไม่ว่าเขาจะมาลีลาไหน กูต้องรับได้หมด...! ปรากฏว่าอยากได้อะไรให้บอก กระผม/อาตมภาพส่งให้หมด ไปนั่งเล็งเอา เล็งไปเล็งมา ท้ายสุดเลือกไปได้กอบหนึ่ง จ่ายเงินมาสี่หมื่นกว่าบาท..! กระผม/อาตมภาพหันไปสบตากับหลวงตา ประมาณว่า "คุ้มกับที่รอ" อย่าลืมว่าเงินสี่หมื่นกว่าบาทสมัยนั้น ซื้อทองได้สิบกว่าบาทเลยนะ..!

ดังนั้น...ในส่วนของจริต ถ้าหากว่าเป็นพุทธิจริต เป็นผู้ที่มีความฉลาดมาก ทำอะไรก็เร็วกว่าคนอื่นเขา ถ้าเรารู้ตัวก็ต้องรู้จักรอคนอื่นเขาบ้าง

พวกโทสะจริต ก็ตึงตังโครมครามไปตามเรื่อง มักโกรธ ทำอะไรก็ลวก ๆ เร็ว ๆ ถ้าให้กวาดบ้านนี่ต้องบอกคนโทสะจริตว่าไม่ต้องกวาดหรอก ไล่ไปไกล ๆ เลย ถ้าให้กวาดบ้านนี่รกกว่าเดิมอีก ทำอะไรเร็ว แรง แต่ไม่เรียบร้อย ไม่เหมือนกับพุทธิจริตที่ทำอะไรเร็ว แรง แต่เรียบร้อย

ราคะจริต รักสวยรักงาม ประเภทนี้ต้องการอะไรเรียบร้อย ส่งงานไปให้ ทำออกมาดีกว่าที่เราคิดอีก

สัทธาจริต ไปทางน้อมใจเชื่ออย่างเดียว ใครบอกว่าอะไรดี..ไปหมด เชื่อโดยแทบจะปราศจากปัญญา เป็นอธิโมกขศรัทธา

โมหะจริต มักหลง หลงตรงนี้ก็คือหลงลืมแบบขาดสติ ได้หน้าลืมหลัง ต้องแก้ด้วยอานาปานสติ คือลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว อย่างอื่นแก้ไม่ได้เลย

ดังนั้น...เราจะเห็นว่าในส่วนของจริตนั้น พระพุทธเจ้าได้ประทานกรรมฐานที่เหมาะสมแก่แต่ละจริตมา

พุทธิจริต ฉลาดมาก ก็ให้กายคตาสติ อสุภกรรมฐาน มรณานุสติไป ท่านทั้งหลายเหล่านี้มีปัญญา จะเห็นความไม่เที่ยงของร่างกายไปเอง

สัทธาจริต ให้ยึดในพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ เป็นต้น ในเมื่อศรัทธามาก ก็แนะให้ยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นหลัก

ราคะจริต รักสวยรักงาม ต้องแก้ด้วยอสุภกรรมฐานบ้าง กายคตาสติบ้าง

โทสะจริตนี่ แก้ด้วยกสิณ ๔ คือ สีแดง สีเขียว สีเหลือง สีขาว บวกกับอานาปานสติ คือลมหายใจเข้าออกและพรหมวิหาร ๔

โมหะจริต แก้ด้วยอานาปานสติ คือลมหายใจอย่างเดียว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 17-12-2021 เมื่อ 23:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 08-12-2021, 23:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตรงส่วนนี้พวกเราจะเห็นว่าพระพุทธเจ้า แม้ว่าจะแยกคนออกเป็นประเภท แต่ก็ยังประทานกรรมฐานให้เฉพาะ และผู้ที่จะรู้จริตนิสัยผู้อื่นได้ครบถ้วนจริง ๆ ก็มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ซึ่งตรงจุดนี้กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกกับทุกท่านว่า คนเราทุกคนมีครบทุกจริต แล้วแต่ว่าช่วงเวลาไหน จริตไหนจะปรากฏขึ้นมา

แต่จริตที่ไม่สมควรมีเลยคือวิตกจริต กังวลล่วงหน้าไปก่อน ไม่รู้ว่าจะอยู่ถึงหรือเปล่า ? อย่างเช่น กังวลว่าเดี๋ยวมะรืนนี้จะต้องไปงานรับปริญญาที่ มจร. วังน้อยจะติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ หรือเปล่า ? คิดเสียจนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ อันนี้ก็เหมือนกัน ก็คือแก้ไขด้วยอานาปานสติอย่างเดียว ไม่ต้องทำมาหากินอย่างอื่น นั่งดูลมหายใจเข้าออกไปอย่างเดียวเลย

ทุกคนมีครบทุกจริต เว้นแต่อันไหนเด่นที่สุด เราก็นับเป็นคนจริตนั้น ต้องหากรรมฐานคู่ศึกที่เหมาะสมมาฝึกฝนถึงจะได้ประโยชน์ ไม่เช่นนั้นถ้าได้กรรมฐานที่ไม่เหมาะกับจริตตนเอง อย่างดีก็ทำได้แค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เท่านั้น

วันนี้จะคุยเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ? หลุดมายันนี่ได้ ขอให้ทุกท่านหมั่นสังเกตดู แต่อย่าลืมว่ากรรมฐานที่เป็นพื้นฐานใหญ่คืออานาปานสติ ไม่ว่าจริตไหนก็ทิ้งไม่ได้ เพราะว่าถ้าหากว่าทิ้งเมื่อไร กำลังใจจะไม่ทรงตัว อัปปนาสมาธิไม่เกิด เราจะไม่มีกำลังพอที่จะกดกิเลสให้สงบลง ถ้าหากว่ากิเลสไม่สงบ ปัญญาก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้

จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-12-2021 เมื่อ 02:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:14



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว