กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 20-08-2015, 06:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,745
ได้ให้อนุโมทนา: 152,166
ได้รับอนุโมทนา 4,420,240 ครั้ง ใน 34,335 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๘

ให้ทุกคนขยับตัวนั่งในท่าสบายของตน ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ เมื่อประมาณครึ่งเดือนที่ผ่านมา เกิดภาวะฝนแล้งสร้างความทุกข์ยากลำบากให้แก่บรรดาเกษตรกรทั่วประเทศ แต่ช่วงไม่กี่วันนี้เกิดพายุ ทำให้น้ำท่วม ต้องบอกว่าทั่วทุกภาคของประเทศเช่นกัน เพื่อนบ้านอย่างพม่า เวียดนาม ปากีสถาน อินเดีย ก็น้ำท่วมหนัก

เราจะเห็นได้ว่าการที่เราเกิดมาในโลกนี้นั้น ประกอบไปด้วยความทุกข์ทั้งสิ้น ฝนแล้งก็ทุกข์ ไม่มีน้ำจะทำการเกษตร ไม่มีน้ำจะใช้ ไม่มีน้ำจะกิน น้ำท่วมก็ทุกข์ ข้าวของทรัพย์สินทุกอย่างเสียหายจมน้ำไป เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จะว่าไปแล้วเป็นธรรมดาของโลก แต่ว่าเป็นธรรมดาของโลกที่สร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่เราตลอดเวลา เป็นความทุกข์ที่นอกเหนือจากสภาวทุกข์ ก็คือความทุกข์ของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในนิพัทธทุกข์ ก็คือความหนาวร้อน หิวกระหาย เจ็บไข้ได้ป่วย ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ เป็นต้น

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นความทุกข์ที่เข้ามาบีบคั้น ทำให้เราต้องเกิดความเครียด เกิดความโกรธแค้น เกิดความโศกเศร้า เกิดความเหือดแห้งใจ ความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ ตราบใดที่เรายังมีร่างกายอยู่ ก็ต้องพบเจอเป็นปกติ ตัวเราทุกข์เช่นนี้ คนอื่นทุกข์เช่นนี้ สัตว์อื่นก็ทุกข์เช่นนี้ วันนี้เราเห็นคนอื่นเขาทุกข์ด้วยสภาพเช่นนี้ วันหน้าเราก็อาจจะทุกข์เช่นนี้บ้าง ด้วยเพราะยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้ ขึ้นชื่อว่าความทุกข์เช่นนี้ก็จะบังเกิดมีแก่เราอยู่ตลอดไป

เรายังอยากจะเกิดมามีความทุกข์เช่นนี้อีกหรือไม่ ? ถ้าเราไม่ปรารถนามีความทุกข์เช่นนี้ เราก็พึงหาทางหลุดพ้น การที่เราจะหลุดพ้นไปได้ อย่างน้อยก็ต้องก้าวเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบัน คือเป็นผู้เข้าถึงกระแสของพระนิพพาน ซึ่งเป็นดินแดนแห่งการไม่เกิดไม่ตาย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2015 เมื่อ 09:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 21-08-2015, 19:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,745
ได้ให้อนุโมทนา: 152,166
ได้รับอนุโมทนา 4,420,240 ครั้ง ใน 34,335 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การที่จะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันนั้น ในพระบาลีท่านว่าต้องตัดอุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๓ ข้อ คือ สักกายทิฎฐิ มีความเห็นว่าตัวเราเป็นของเรา วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในคุณพระศรีรัตนตรัย สีลัพพตปรามาส การถือศีลไม่มั่นคง

การที่เราจะถือศีลให้มั่นคงได้ ก็ต้องคอยระมัดระวังรักษาสิกขาบทเหล่านั้นไว้เสมอ ๆ เราจะต้องไม่ล่วงละเมิดศีลทั้งหลายเหล่านั้นด้วยตนเอง ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงใจ

การที่เราจะเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้น ต้องพิจารณาเห็นคุณค่าของสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ประกอบไปด้วยพระปัญญาคุณอันล้ำเลิศ สามารถตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ รู้เห็นธรรมที่คนอื่นไม่สามารถจะรู้เห็นได้ มีพระบริสุทธิคุณอันยอดเยี่ยม สามารถชำระจิตใจให้ผ่องใสจากกิเลสได้อย่างวิเศษยิ่ง มีพระกรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ ทรงตรากตรำพระวรกายสั่งสอนสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นจากกองทุกข์อยู่ถึง ๔๕ ปีเต็ม ๆ

คุณของพระธรรมนั้น รักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกสู่อบายภูมิ นำพาทุกคนให้ก้าวขึ้นสู่ภพภูมิที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป และท้ายสุดก็ล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

พระสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติตามธรรม ปฏิบัติชอบ นำธรรมะไปเผยแพร่ให้แก่ปวงชนทั้งหลายได้ศึกษาปฏิบัติ เพื่อได้ล่วงพ้นจากกองทุกข์ตามไปด้วย

พยายามพิจารณาให้ละเอียด เราจะเห็นคุณของพระรัตนตรัยได้ชัดเจน เกิดความเคารพเลื่อมใส แล้วไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-08-2015 เมื่อ 02:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 22-08-2015, 18:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,745
ได้ให้อนุโมทนา: 152,166
ได้รับอนุโมทนา 4,420,240 ครั้ง ใน 34,335 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลังจากนั้นก็ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นว่า การเกิดมานั้นประกอบด้วยความไม่เที่ยงเป็นปกติ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง ตายไปในที่สุด มีความทุกข์เป็นปกติ โดยเฉพาะความทุกข์ที่เราเห็นอยู่ก็คือ ฝนแล้งและน้ำท่วม เป็นต้น ในเมื่อบังคับบัญชาไม่ได้ ดังนั้น..จึงไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ให้ยึดถือมั่นหมายได้

ร่างกายนี้เป็นเพียงเปลือกที่เรามาอาศัยอยู่ชั่วคราว เหมือนกับรถยนต์คันหนึ่ง ให้เราอาศัยขับไปสร้างบุญสร้างกรรมตามแต่ปัญญาของตน พอถึงวาระสุดท้าย ร่างกายนี้เสื่อมสลายตายพังไป ตัวเราก็ไปตามบุญตามบาปที่ได้สร้างไว้ เราเกิดมาแล้วต้องตายอย่างแน่นอน ขึ้นชื่อว่าตายแล้วต้องเกิดมาทุกข์เช่นนี้เราไม่ต้องการอีกแล้ว เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน

เมื่อทบทวนมาถึงตรงนี้ ก็ให้กำหนดใจคิดถึงภาพพระองค์ใดองค์หนึ่งที่เรารักเราชอบไว้ จะเป็นพระพุทธรูปก็ดี จะเป็นพระเครื่องก็ตาม นึกถึงภาพพระองค์ท่านว่านั่นเป็นพระพุทธนิมิตแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ใดนอกจากพระนิพพาน เราเห็นพระองค์ท่านก็คือเราอยู่กับพระองค์ท่าน เราอยู่กับพระองค์ท่านก็คือเราอยู่บนพระนิพพาน ให้เอาใจจดจ่ออยู่กับภาพพระองค์ท่านเอาไว้ ตั้งใจว่า..ถ้าวันนี้เราหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือเกิดอุบัติเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิตก็ตาม เราขอมาอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพานนี้แห่งเดียวเท่านั้น

หลังจากนั้นก็ดูลมหายใจและคำภาวนาของเรา ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ให้ตามดูตามรู้ลมหายใจของเรา ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ ให้กำหนดคำภาวนาไปด้วย ถ้าลมหายใจเบาลงหรือหายไป คำภาวนาหายไป ให้กำหนดรู้ว่าขณะนี้ลมหายใจเบาลงหรือหายไป คำภาวนาหายไป อย่าไปดิ้นรนอยากพ้นจากสภาพนั้น หรืออย่าพยายามฝืนเพื่อให้เป็นสภาพนั้น เรามีหน้าที่ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกหรือคำภาวนาเท่านั้น ให้ทุกท่านรักษาอารมณ์ของตนเองเอาไว้เช่นนี้ จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๘

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2015 เมื่อ 02:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:10



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว