กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 25-04-2014, 11:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,723 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๗

ให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตน อย่าลืมว่าต้องตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า คือเอาความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ เป็นวันคล้ายวันสถาปนามหาจักรีบรมราชวงศ์ ซึ่งเมื่อ ๒๓๒ ปีที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้สถาปนาราชวงศ์จักรีขึ้น หรือเรียกง่าย ๆ ว่าตั้งกรุงเทพฯ ขึ้นมาเป็นเมืองหลวงแทนกรุงธนบุรี ประกอบไปด้วยองค์พระมหากษัตริย์สืบสันตติวงศ์มาถึงปัจจุบัน ๙ รัชกาลด้วยกัน ระยะเวลา ๒๓๒ ปี มีในหลวงสืบสันตติวงศ์มา ๙ รัชกาล

การสืบสันตติวงศ์ทั้ง ๙ รัชกาลนั้น ประกอบไปด้วยองค์บุรพมหากษัตริย์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในยุคนั้น ๆ มาโดยตลอด แต่ถ้าจะนับองค์บุรพมหากษัตริย์ที่มีผู้รู้จัก ครุ่นคิดถึง เอ่ยถึงติดปากทั้งในและนอกประเทศ คือรัชกาลที่ ๑ รัชกาลที่ ๕ ตลอดจนกระทั่งในหลวงองค์ปัจจุบัน ก็คือรัชกาลที่ ๙

เราทั้งหลายจะเห็นได้ว่าในหลวงรัชกาลที่ ๑ นั้น ต้องทำศึกสงครามรอบบ้านเกือบตลอดทั้งรัชกาล เหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง การตั้งกรุงเทพมหานครหรือกรุงรัตนโกสินทร์ของเราขึ้นมา ก็เกือบจะมาในลักษณะมือเปล่า เนื่องเพราะว่าทรัพย์สมบัติในท้องพระคลังแทบจะไม่หลงเหลือเลย ในสมัยกรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชถึงขนาดต้องไปยืมเงินเจ้าสัวเมืองจีน เพื่อเอามาสร้างบ้านแปลงเมือง จนกระทั่งกลายเป็นกรุงธนบุรีขึ้นมา

ในหลวงรัชกาลที่ ๑ จึงต้องประกอบไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก นอกจากต้องรบทัพจับศึกแล้ว ยังต้องสร้างพระนครใหม่ ทำนุบำรุงไพร่ฟ้าประชากร อุปถัมภ์ค้ำจุนพระพุทธศาสนา โดยที่แทบจะไม่มีงบประมาณแผ่นดินเลย พอมาถึงสมัยในหลวงรัชกาลที่ ๕ บ้านเมืองเราก็สูญเสียดินแดนให้แก่มหาอำนาจต่าง ๆ รอบบ้าน ไม่ว่าจะเป็นส่วนของเขมรัฐตุงคบุรี หรือที่เรียกว่ารัฐฉาน หรือไทยใหญ่ในปัจจุบัน ในส่วนของหัวพันทั้งห้าทั้งหก ในส่วนของฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ในส่วนของประเทศกัมพูชา ในส่วนของ ๔ รัฐที่ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งมาเลเซีย เป็นต้น ถูกบรรดามหาอำนาจบีบคั้นมารอบด้าน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2014 เมื่อ 17:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 29-04-2014, 09:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,723 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระองค์ท่านต้องต่อสู้ฟันฝ่าประคับประคองเพื่อรักษาประเทศสยามเอาไว้ให้เป็นเอกราช สร้างความเจริญด้วยการสร้างทางรถไฟ สร้างการไปรษณีย์ การโทรเลข สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่สร้างความยากลำบาก มีแต่ความทุกข์เป็นปกติ พระชนมายุของพระองค์ท่านจึงไม่ได้ยั่งยืนมากนัก ต้องเรียกว่าสิ้นพระชนม์เสียตั้งแต่ยังไม่ได้อยู่วัยชรา

มาถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙ องค์ปัจจุบันของเรา พระองค์ท่านยิ่งต้องเหน็ดเหนื่อยมากกว่าบุรพมหากษัตริย์ในอดีตมากนัก เนื่องจากว่าประชากรมากขึ้นหลายเท่า ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ของเรายังมีประชากรแค่สิบล้านกว่านิดหน่อย ในสมัยปัจจุบันมากกว่าเดิม ๖-๗ เท่า พระองค์ท่านต้องต่อสู้ฟันฝ่ากับความยากลำบากของชาวบ้าน พยายามที่จะให้ประชากรทุกคนอยู่ดีกินดี เหน็ดเหนื่อยมาตลอด ๖๐ กว่าปีที่ครองราชย์มา ปัจจุบันนี้ก็ทรงชราภาพมากแล้ว พระชนมายุ ๘๗ พรรษาแล้ว

เราจะเห็นว่าแม้แต่บุคคลที่เรียกได้ว่าเป็นเลิศ เป็นผู้นำ เป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในประเทศ ก็ยังประกอบไปด้วยความทุกข์ขนาดนี้ ตัวเราที่จะขึ้นชื่อว่าไม่ทุกข์นั้นไม่มี ถ้าตราบใดก็ตามที่เราเกิดมา เราก็จะต้องพบกับความทุกข์เช่นนี้เป็นปกติ ถ้าท่านทั้งหลายไม่ปรารถนาในการเกิดมาทุกข์เช่นนี้ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิบัติเพื่อที่จะตัด จะละ สละออกเสียซึ่งร่างกายและโลกนี้ เพื่อที่จะได้ก้าวพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ก็ต้องมาดำเนินตามศีล สมาธิ ปัญญาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้

เราต้องระมัดระวังรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ทำให้ศีลขาดด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นกระทำ สร้างเสริมสมาธิของเรา อย่างน้อยให้เป็นปฐมฌานที่คล่องตัว เพื่อที่จะมีกำลังในการช่วยตัดกิเลสได้ และท้ายที่สุดอย่างน้อยต้องมีปัญญาเห็นว่าเราจะต้องตายแน่นอน ขึ้นชื่อว่าถ้าตายแล้วเกิดมาทุกข์เช่นนี้เราไม่ต้องการอีก เพราะเราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน

ถ้าทุกท่านสามารถรักษาอารมณ์ใจนี้เอาไว้ได้ โอกาสในการที่จะก้าวพ้นจากกองทุกข์ของท่านก็จะสั้นลง หรือว่าหลุดพ้นไปเลย ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๗

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2014 เมื่อ 12:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:46



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว