กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 01-03-2014, 09:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,541 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

ให้ทุกคนนั่งในท่าถนัดและสบายของตัวเอง ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกตรงหน้า หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมด ไหลตามลมหายใจออกมา จะกำหนดกี่ฐานก็อยู่ที่เรามีความชอบใจ จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ตามที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๗ เป็นการปฏิบัติธรรมต้นเดือนของเราเป็นวันสุดท้าย วันนี้มีญาติโยมจำนวนมากไม่ได้ไปใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้ง เนื่องเพราะว่าเกรงจะมีอันตรายเกิดขึ้นแก่ตน การที่เราเกรงจะมีอันตรายเกิดขึ้นแก่ตน โดยเฉพาะถึงแก่ชีวิตนั้น ถือว่าเป็นความดีคือไม่ประมาท

แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วทั้งหมดที่ไม่ไป เป็นเพราะกลัวตายทั้งนั้น อย่าลืมว่าการที่เรากลัว ทุกอย่างมีสาเหตุมาจากความกลัวตายทั้งสิ้น กลัวถูกทำร้าย ถ้าทำร้ายหนัก ๆ เป็นอย่างไร ? ก็ตาย กลัวว่าจะมีการปะทะกัน พอมีการปะทะกันเราอาจจะโดนลูกหลง โดนลูกหลงแล้วเป็นอย่างไร ? อาจจะตาย

ถ้าเราดูไปแล้วจะเห็นว่า จริง ๆ แล้วความกลัวทุกอย่าง มีพื้นฐานมาจากความกลัวตายทั้งหมด แม้กระทั่งการกลัวสัตว์เล็ก ๆ อย่างจิ้งจกหรือแมลงสาบก็เกิดจากความกลัวตาย ก็คือเราเกลียด ขยะแขยง ถ้ามันกระโดดใส่เรา เราอาจจะทนความขยะแขยงไม่ได้ถึงขนาดขาดใจตาย ท้ายสุดทุกอย่างลงตรงตายหมด

ฉะนั้น..การที่เราปฏิบัติ เมื่อกำลังใจของเราทรงตัวแล้ว ต้องพิจารณาให้เห็นว่า ธรรมดาของความตายย่อมมาถึงมนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนาม ไม่สามารถที่จะล่วงพ้นไปได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า “สัตว์โลกทั้งหลายเกิดเท่าไรตายหมดเท่านั้น” แต่เนื่องจากว่าการเกิดนั้นใช้ระยะเวลาแค่ ๙ - ๑๐ เดือน กว่าจะถึงเวลาตายถ้าเป็นไปตามอายุขัยก็หลายสิบปี เราจึงเห็นการเกิดมากกว่าได้เห็นความตาย

แต่กระนั้นก็ตาม บุคคลที่มีปัญญา ย่อมเห็นว่าทุกคนจะต้องตายแน่นอน ในเมื่อความตายต้องมาถึงเราเป็นปกติ เราก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นให้ได้ว่า ธรรมดาของร่างกายนี้มีความเกิดในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง เสื่อมสลายตายพังไปในที่สุด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-03-2014 เมื่อ 12:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 02-03-2014, 10:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,541 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าสภาพจิตของเรายอมรับจริง ๆ เราก็จะเห็นว่า ธรรมดาของร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี เกิดมาแล้วต้องตาย ความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว เพราะไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการเวียนว่ายตายเกิด ความตายเป็นเพียงการเปลี่ยนรูปเปลี่ยนขันธ์ไปชั่วขณะ เป็นไปตามบุญตามบาปที่ตัวเองได้ทำมา

ถ้าสร้างบุญกุศลไว้ก็ไปได้ขันธ์ทิพย์ เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม ถ้าไม่นิยมการเกิดก็หลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน แต่ถ้าสร้างบาปเอาไว้ก็ต้องไปเกิดสัตว์นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ที่มีแต่ความทุกข์ยากอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราเห็นว่าร่างกายของเรานี้จะต้องตายเป็นธรรมดา ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต แต่เป็นการเปลี่ยนรูปเปลี่ยนขันธ์ไปตามบุญตามกรรมของตน ความหวาดสะดุ้งในความตายของเราก็จะค่อย ๆ ลดน้อยถอยลง

จนกระทั่งถ้าเห็นความปกติธรรมดาจนถึงที่สุด ก็จะไม่หวั่นไหวต่อความตายที่มาถึง ซึ่งนักปฏิบัติทุกคนจะต้องทำให้ได้ถึงจุดนี้ สามารถกับเผชิญหน้ากับความตายอย่างสง่างาม เหมือนอย่างกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกัน ถึงเวลาเจอหน้ากันก็มีแต่ความปีติ มีแต่ความยินดี เนื่องจากว่าอัตภาพร่างกายนี้ชำรุดทรุดโทรมจนเกินแก้ไข ถ้าเราไม่นิยมเสียแล้วก็ทิ้งไป ก้าวเข้าสู่พระนิพพาน

ถ้าจิตยังมีการข้องแวะจุดใดจุดหนึ่งอาจจะเกิดเป็นพรหม เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า แต่ถ้าสภาพจิตแบกบาปเอาไว้มาก ก็จะต้องลงสู่อบายภูมิ เมื่อเรายอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดาอย่างนี้ สภาพจิตก็จะไม่หวั่นไหวดิ้นรน เห็นความตายเป็นของธรรมดา เมื่อรู้ตัวว่าจะตายก็เร่งรัดการปฏิบัติของตนเอง ทบทวนศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ทำความเคารพในพระรัตนตรัยคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่นแฟ้น ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ตั้งใจว่าตายลงไปเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว

ถ้าสามารถรักษากำลังใจอย่างนี้เอาไว้ได้ ถ้าสิ้นอายุขัยตายไปหรือเกิดอุบัติเหตุตายไป เราก็จะก้าวเข้าสู่สุคติภูมิอย่างแน่นอน ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจ กำหนดการภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-03-2014 เมื่อ 12:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:14



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว