กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 05-06-2012, 15:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,723 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕

ให้ทุกคนขยับตัวนั่งในท่าที่สบายของตน ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ตามที่เราเคยชิน หรือมีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ ในระยะนี้ทางราชการและคณะสงฆ์ต่างก็จัดงานเฉลิมฉลองพุทธชยันตีครบ ๒,๖๐๐ ปี การตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า งานทั้งหลายเหล่านั้นล้วนแล้วแต่จัดเพื่อให้เกิดบุญกุศล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศีล สมาธิ หรือปัญญาก็ตาม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ในวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเดือน ๖ ทั้งสิ้น แต่ปีนี้เป็นปีอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ อยู่ ๒ หน วันวิสาขบูชาจึงเลื่อนมาเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๗

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น พระองค์ท่านเสด็จออกบรรพชาเมื่อพระชนมายุ ๒๙ พรรษา ทรงศึกษาการปฏิบัติจากศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ แล้วทรมานพระวรกายด้วยประการทั้งปวงเป็นเวลา ๖ ปีเต็ม ๆ ภายใน ๖ ปีนั้น พระองค์ท่านกระทำสิ่งที่เกินกว่ามนุษย์ปุถุชนทั่วไปจะทำได้ แต่พระองค์ท่านก็สู้อดทน เพื่อหวังประโยชน์สุขของพวกเราเป็นใหญ่ เนื่องจากว่า..พระองค์ท่านได้ตั้งปณิธานว่า ถ้ารู้ธรรมแล้วจะนำมาสั่งสอนสัตว์โลกทั้งหลาย ให้ก้าวล่วงความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งสมัยนั้นใช้คำว่า โมกขธรรม คือ ธรรมะซึ่งนำไปสู่ความหลุดพ้น

สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทนลำบากในสิ่งที่ผู้อื่นทนได้ยาก การทรมานร่างกายนั้น มีทั้งการผ่อนอาหารน้อยลงไปเรื่อย ๆ ฉันวันละคำบ้าง ฉันวันละคำเว้นหนึ่งวันบ้าง ฉันน้อยลงจนเหลือกระทั่งเหลือข้าวเมล็ดเดียวบ้าง และท้ายที่สุด อดอาหารไม่ฉันเป็นเวลานาน ๆ บ้าง

พระบาลีท่านได้บรรยายเอาไว้ว่า พระองค์ท่านผอมซูบ พระนาภีแบนติดสันหลัง ตั้งใจจะเอามือลูบท้อง ก็โดนกระดูกสันหลังด้วย แม้เอามือลูบไปตามแขน ขนที่มีอยู่ก็ร่วงติดมือมา เพราะไม่มีสารอาหารหล่อเลี้ยง แม้ขนาดนั้นพระองค์ก็ยังสู้อดทนปฏิบัติ เพราะมีความปรารถนาที่จะรู้ธรรม แล้วนำมาขนถ่ายสัตว์โลกให้พ้นภัยในวัฏสงสาร

ด้วยความอดกลั้นอดทนและพระปัญญาธิคุณอันล้ำเลิศ เมื่อ ๒,๖๐๐ ปีที่ล่วงแล้วมา พระองค์ท่านจึงได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แขวงเมืองพาราณสี ในแคว้นกาสีหรือประเทศกาสีในสมัยนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2012 เมื่อ 17:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 90 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 06-06-2012, 08:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,723 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสบความสำเร็จ เพราะว่าพระองค์มีความมุ่งมั่น อดทนแน่วแน่ จริงจัง ไม่ท้อถอย ถึงขนาดตั้งพระทัยว่า เมื่อนั่งลงไปแล้ว เลือดและเนื้อจะเหือดแห้งไปก็ตามที ชีวิตินทรีย์จะดับสลายไปก็ตาม ถ้าหากไม่สามารถรู้ธรรมได้แล้ว จะไม่ยอมทำลายบัลลังก์ ก็คือจะไม่ยอมลุกขึ้นเลย

พวกเราก็มาเปรียบกับกำลังใจของตนเองว่า ถ้าเราตั้งกำลังใจแบบนั้นแล้วเราจะอยู่ได้หรือไม่ ? ถ้าเราต้องทนลำบาก อดอาหารทีละหลาย ๆ วัน เราจะอยู่ได้หรือไม่ ? เราสามารถที่จะกำมือจนกระทั่งเล็บงอกทะลุฝ่ามือได้หรือไม่ ? เราสามารถที่จะนอนบนหนาม กินอุจจาระเป็นอาหาร ไม่อาบน้ำเป็นปี ๆ เราจะกระทำได้หรือไม่ ? แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากระทำมาแล้วทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าเราปฏิบัติธรรมแล้วเจอความลำบากเล็กน้อย ต้องใช้คำว่าเล็กน้อยอย่างยิ่ง เมื่อเปรียบกับที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้พบมา เรามีจิตใจที่มุ่งมั่นแน่วแน่ ไม่ย่อท้อ ไม่เปลี่ยนแปลง ตั้งหน้าตั้งตาก้าวไปสู่เป้าหมายของเราหรือไม่ ? เมื่อเราทบทวนดังนี้แล้ว ถ้าหากว่าเห็นว่าเรายังบกพร่องอยู่ ก็จำเป็นที่เราจะต้องเข้มงวดกับตัวเองให้มากขึ้น

ทุกวันเราต้องทบทวนดูว่า ศีลทุกสิกขาบทของเราบริสุทธิ์บริบูรณ์หรือไม่ ? เรายังล่วงศีลด้วยตนเอง หรือยุยงผู้อื่นให้ล่วงศีล หรือยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นล่วงศีลอยู่หรือไม่ ? ในการปฏิบัติสมาธิภาวนา เรามีการกระทำที่ต่อเนื่องสม่ำเสมอหรือไม่ ? เมื่อกระทำต่อเนื่องสม่ำเสมอแล้ว เราสามารถใช้กำลังของสมาธินั้น กดกิเลสที่เป็นรัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงชั่วคราวได้หรือไม่ ?

ถ้าหากว่ากดกิเลสให้ดับลงชั่วคราวได้ เรามีการนำเอากำลังสมาธินั้นมาช่วยในการพิจารณา เพื่อให้รู้เห็นสภาพความเป็นจริงบ้างหรือไม่ ? ว่าร่างกายของเรานี้เกิดขึ้นมาในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็ประกอบด้วยความทุกข์เป็นปกติ และท้ายสุดก็ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเราเขาได้ เพราะว่าร่างกายประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เราอาศัยอยู่เพียงชั่วคราว เมื่อถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังคืนเป็นสมบัติของโลกไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2012 เมื่อ 11:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 07-06-2012, 15:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,723 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อเรามีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิทรงตัวตั้งมั่น ใช้กำลังสมาธิในการกดกิเลส หรือช่วยในการพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว เราเห็นสภาพนั้นจริง ๆ ว่าร่างกายของเราก็ดี คนอื่นก็ดี สัตว์อื่นก็ดี มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ การดำรงชีวิตอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกมีความทุกข์เป็นปกติ ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา มีเพียงธาตุ ๔ ที่เป็นส่วนประกอบกันขึ้นมาให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราว เราเห็นดังนี้แล้วเรายอมรับความจริงนี้หรือไม่ ?

ถ้าหากเราสามารถยอมรับความจริงทั้งหลายเหล่านี้ได้ เราก็จะไม่ปรารถนาในการเกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ มีร่างกายที่เต็มไปด้วยความไม่เที่ยง มีร่างกายที่ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของเรา เป็นเครื่องมือที่อาศัยอยู่ชั่วคราวตามบุญตามกรรมเท่านั้น

ถ้าเราไม่ปรารถนาในการเกิดมามีร่างกายนี้ ไม่ปรารถนาในการเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากอย่างนี้ เป้าหมายของเราควรจะอยู่ที่ใด ? การเกิดเป็นเทวดาก็ดี เป็นนางฟ้าก็ดี เป็นพรหมก็ดี พ้นทุกข์ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น หมดกำลังบุญเมื่อไรก็ต้องลงมาทุกข์อีก ก็แปลว่าเราไม่ควรจะตั้งเป้าไว้ที่เทวดา ที่นางฟ้า หรือที่พรหม มีสถานที่เดียวที่นำพาเราออกไปจากความทุกข์ได้ ล่วงพ้นความทุกข์โดยสิ้นเชิงได้ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ นั่นคือพระนิพพาน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เมื่อหลุดพ้นไปอยู่ที่พระนิพพานแล้ว เราเองที่เป็นสาวกของสมเด็จพระประทีปแก้ว ก็ควรที่จะรำลึกนึกถึง ไม่ว่าจะเป็นพระรูปพระโฉมของพระองค์ท่านก็ดี หรือว่ารำลึกถึงพระนิพพานก็ดีให้เป็นปกติ เอากำลังใจจดจ่อแน่วแน่อยู่ที่นั่น ตั้งใจว่าถ้าหากว่าเราหมดอายุขัย หรือตายลงด้วยอุบัติเหตุใด ๆ ก็ตาม เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานแห่งเดียว

เมื่อตั้งกำลังใจดังนี้แล้ว ให้ทุกคนนึกถึงลมหายใจเข้าออกของตนเอง ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ให้กำหนดรู้ลมหายใจของเราไป ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ให้กำหนดรู้คำภาวนาของเราไป ถ้าหากว่าลมหายใจเบาลงหรือคำภาวนาหายไป เราก็กำหนดอยู่ที่ภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่ที่ภาพพระนิพพาน หรือว่ากำหนดรู้อาการที่ลมหายใจหายไป คำภาวนาหายไปนั้นเอาไว้ ให้รักษากำลังใจเช่นนี้เอาไว้จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2012 เมื่อ 18:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 64 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 21-12-2013, 15:05
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 261
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 51,028 ครั้ง ใน 1,309 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2555-06-01

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:46



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว