#1
|
||||
|
||||
![]()
ขอให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตนเอง อย่าลืมตั้งกายให้ตรง กำหนดสติของเราให้อยู่เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ตามที่เราถนัดมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นการปฏิบัติธรรมต้นเดือนวันที่สองของพวกเรา ในการปฏิบัติธรรมของพวกเรานั้น ส่วนที่สำคัญที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ชัดเจนเลยก็คือ ศีล สมาธิ และปัญญา เราจึงต้องทบทวนศีลทุกสิกขาบทของเราว่าบริสุทธิ์บริบูรณ์หรือไม่ ? ให้ดูว่าวันนี้มีศีลข้อใดของเราบกพร่องบ้าง ถ้าพบเห็นความบกพร่องก็แล้วให้ตั้งใจว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะมีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์ หลังจากนั้นก็ดูลมหายใจเข้าออกของเราพร้อมกับคำภาวนา การภาวนานั้น..เราอย่าไปบังคับลมหายใจของตน ให้ปล่อยเป็นไปตามธรรมชาติ แค่เอาความรู้สึกแนบชิดติดกับลมหายใจเข้าไป แนบชิดติดกับลมหายใจออกมาเท่านั้น ยกเว้นบางท่านที่มีความเคยชินกับสมาธิแล้ว เมื่อเริ่มนึกถึงลมหายใจ สภาพจิตก็จะก้าวข้ามไปสู่ระดับสมาธิที่ตนเองเคยชิน จะทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าบังคับลมหายใจของตน เมื่อดูลมหายใจของเรา จนกระทั่งสภาพจิตทรงตัวเต็มที่สูงสุดเท่าที่เราทำได้ สภาพจิตก็ไม่สามารถที่จะดำเนินต่อไปได้ จะค่อย ๆ คลายออกมาสู่อารมณ์ปกติโดยอัตโนมัติ ตรงจุดนี้เราต้องใช้ปัญญาในการพิจารณา พิจารณาให้เห็นร่างกายของเราว่ามีความไม่เที่ยงอย่างไร เป็นทุกข์อย่างไร ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างไร เพื่อให้จิตของเราเกิดการเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ถอนออกจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายนี้ สำหรับพวกเราทั้งหลายในยุคนี้ ต้องบอกว่าการที่จะถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายยากกว่าคนยุคก่อนมากเหลือเกิน เมื่อประมาณครึ่งเดือนที่ผ่านมา อาตมภาพฝันกลางวันว่าได้พบเพื่อนเก่า เห็นตนเองกำลังเดินทางอยู่ เพื่อนเก่ามานั่งอยู่ข้าง ๆ แสดงท่าทีเห็นอกเห็นใจ บอกว่า "สงสารท่านเหลือเกิน ในสิ่งที่ท่านพยายามจะสั่งสอนคนในปัจจุบันนี้ ไม่ง่ายเหมือนสมัยที่ท่านปฏิบัติอยู่กับหลวงพ่อของท่านหรอกนะ ในสมัยนั้นหลวงพ่อของท่านบอกว่า ถ้าเราอยู่ตัวคนเดียวมีแค่ขันธ์ ๕ ถ้าแต่งงานมีสามีหรือภรรยาก็มีขันธ์ ๑๐ ถ้าหากมีลูกคนที่ ๑ ก็เพิ่มเป็นขันธ์ ๑๕ มีคนที่ ๒ ก็เพิ่มเป็นขันธ์ ๒๐ แต่ในสมัยนี้ต่อให้พวกเขาอยู่ตัวคนเดียว ผมก็เพิ่มให้ไปไม่รู้กี่ขันธ์ต่อกี่ขันธ์แล้ว" ก็เลยถามเพื่อนเก่าไปว่า "มีอะไรบ้างที่คุณเพิ่มมา ? พอบอกได้ไหม ?" เขาบอกว่า "บอกได้ บอกไปเขาก็ไม่สามารถที่จะตัดจะละได้" ก็ถามว่ามีอะไรบ้าง ? เขาบอกว่า มี website , มี e-mail , มี facebook , มี skype , มี instragram พวกนี้เป็นต้น username หนึ่งก็คือตัวตนหนึ่งของเรา ก็แปลว่าถ้าเรามีสิ่งทั้งหลายนี้ใช้งานอยู่อย่างหนึ่ง เราก็เพิ่มขันธ์มาอีก ๕ สองอย่างเราก็เพิ่มขันธ์มาเป็น ๑๐ เพราะเราไปยึดว่านั่นเป็นเราเป็นของเรา..! ถ้าผู้อื่นมาโพสต์ข้อความที่ไม่ถูกต้องไม่ถูกใจ เราก็โกรธเขา ถ้าโพสต์ข้อความที่เห็นด้วยเราก็พลอยดีใจ ก็แปลว่ามีสภาพความยินดียินร้ายเช่นเดียวกับตัวตนของตนเอง การขึ้น status ครั้งหนึ่งก็ดี การโพสต์ข้อความครั้งหนึ่งก็ดี การกด like ครั้งหนี่งก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่แสดงออกถึงตัวตนของเราทั้งสิ้น ดังนั้น..เพื่อนเก่าถึงได้บอกว่า "ผมไม่ได้ห่วงไม่ได้กังวลเลยว่าท่านจะเอาคนหลุดพ้นไปได้ เพราะกว่าท่านจะงุ่มง่ามตามมาทัน ผมก็ครอบซ้ำไปอีกหลายชั้นแล้ว..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-06-2013 เมื่อ 18:55 |
สมาชิก 92 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
เมื่อเป็นเช่นนี้จะเห็นว่า ในการที่เราจะตัดละกิเลสนั้น สำคัญที่สุดคือเริ่มที่การตัดสักกายทิฏฐิ คราวนี้สักกายทิฏฐิหรือความเป็นตัวเป็นตนของเราที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่นั้น ในปัจจุบันเรามีสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นเยอะมาก ก็ต้องบอกว่าความทันสมัยของเทคโนโลยีทำให้เราสร้างตัวตนเสมือนขึ้นมา แต่ไปยึดถือเป็นตัวตนจริง ๆ มากต่อมากด้วยกัน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แหละที่จะเป็นตัวถ่วงให้เราตัด ให้เราละได้ยากพอ ๆ กับการมีครอบครัว
บางคนในชีวิตแทบจะอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อที่จะบริหารตัวตนต่าง ๆ ที่ตนเองสร้างเอาไว้ในโลกเสมือน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เองที่เพื่อนเก่าเขาบอกว่า เอามาครอบงำพวกเราเอาไว้มากขึ้น ๆ ทุกวัน ยิ่งคนรุ่นใหม่ ๆ ยิ่งโดนครอบงำได้ง่าย แต่อาตมาเองไม่ได้หนักใจเพราะไม่ว่าสิ่งที่เขานำมาครอบงำจะเป็นอะไรก็ตาม ศีล สมาธิและปัญญาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแนะนำสั่งสอนไว้นั้น เหลือเฟือเกินพอที่จะต่อสู้และต่อต้าน ยิ่งมาบอกข้อสอบแบบนี้ล่วงหน้าก็ยิ่งต่อต้านได้ง่ายขึ้น เนื่องจากว่าการที่เราจะตัดละตัวตนของเราก็ดี สิ่งรอบข้างของเราก็ดี ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่ง่ายมาก การตัดละตัวตนของเราในระดับต้นนั้น ในระดับของพระโสดาบันและพระสกิทาคามี เราแค่รู้สึกตัวว่าเราต้องตายอยู่เสมอก็เพียงพอแล้ว เพราะการรู้สึกตัวว่าต้องตายอยู่เสมอ ทำให้เราไม่ประมาท ทำให้เราต้องเร่งหาทางคิดว่า ตายแล้วเราจะไปไหน จะไปทั้งทีก็ขอให้พ้นทุกข์โดยถาวร ไม่ใช่พ้นทุกข์โดยชั่วคราว การตัดละในระดับของพระอนาคามีนั้น เราเห็นว่าร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี มีแต่ความสกปรกโสโครก ไม่มีอะไรน่ารักใคร่ใยดีเป็นปกติ ต้องเป็นการตัดละในระดับพระอรหันต์เท่านั้นถึงจะเห็นว่า ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-06-2013 เมื่อ 02:46 |
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ดังนั้น..พวกเราไม่มีอะไรที่ต้องหนักใจ อันดับแรกของเราก็ใคร่ครวญถึงความตายไว้เป็นปกติว่า ทุกลมหายใจเข้าออกของเราคือความตายซึ่งสามารถมาเยือนเราได้ตลอดเวลา หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายอีกเช่นกัน
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็มาพิจารณาศีลทุกสิกขาบทของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ตั้งใจว่าถ้าเราตายลงไปเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว ถ้ามีกำลังใจแน่วแน่มั่นคงอยู่ในลักษณะอย่างนี้ การเป็นพระโสดาบันก็ไม่ใช่ของยากสำหรับเรา เมื่อก้าวเข้ายึดหัวหาดอย่างนี้ได้แล้ว ก็แปลว่าเราสามารถล่วงพ้นอำนาจของมารไปได้ในระดับหนึ่ง ที่เหลือก็อยู่ที่เราว่าจะปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นในระดับสูงขึ้นไปหรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนั้นจะเห็นได้ว่าการปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความจริงแล้วยังคงสามารถที่จะก้าวล่วงกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้เป็นปกติ เพียงแต่ว่าเมื่อทวนศีลของเราบริสุทธ์แล้ว ก็ทำสมาธิของเราให้เต็มที่เท่าที่ทำได้ เมื่อสมาธิคลายตัวออกมาก็พยายามพิจารณาให้เห็นว่าเรามีความตายเป็นปกติ หรือสภาพร่างกายของเรามีความสกปรกโสโครก ไม่น่ารักใคร่เป็นปกติ หรือพิจารณาให้เห็นว่าร่างกายนี้สักแต่ว่าเป็นรูป สักแต่ว่าเป็นธาตุ เป็นที่อาศัยให้เราทำความดีเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังไป ไม่มีอะไรที่ต้องยึดมั่นถือมั่น ถ้าท่านทั้งหลายทำอย่างนี้ได้ บ่วงมารต่าง ๆ ที่พยายามสร้างมาเพื่อครอบงำพวกเรา ก็ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรที่ทำให้เราต้องสะทกสะท้านเลย ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจกำหนดภาวนาหรือพิจารณาของตนตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูวิลาศกาญจนธรรม เทศน์ ณ บ้านวิริยบารมี วันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าและเถรี)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2013 เมื่อ 01:21 |
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|