กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 16-03-2013, 21:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,263
ได้ให้อนุโมทนา: 153,667
ได้รับอนุโมทนา 4,438,912 ครั้ง ใน 34,867 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๖

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า คือเอาความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ตามอัธยาศัย

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ เมื่อครู่นี้ได้กล่าวถึงเรื่องบุคคลที่แต่งงานกันโดยบุพเพสันนิวาส ซึ่งบาลีกล่าวไว้ชัดว่า ปุพฺเพสนฺนิวาเสนะ ปจฺจุปฺปนฺน หิเตน วา เอวนฺตํ ชายเต เปมํ อุปลํ ว ยโถทเก คือการที่ได้เกื้อกูลกันมาแต่ปางก่อน ๑ การที่มาช่วยเหลือเกื้อกูลกันในชาตินี้ ๑ ทำให้เกิดความรักความเห็นใจกันขึ้น เปรียบเหมือนกับอุบลคือดอกบัว ที่ขาดเสียซึ่งน้ำไม่ได้

เราทั้งหลายที่เป็นนักปฏิบัติ โดยเฉพาะคนหนุ่มคนสาว ก็ย่อมมีประสบการณ์อย่างนี้ และถ้าเป็นผู้ที่เห็นทุกข์เห็นโทษในวัฏสงสารจริง ๆ เมื่อมีประสบการณ์เช่นนี้ ก็ย่อมที่จะดิ้นรนอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้หลุดพ้นไปจากภาวการณ์อันไม่น่ายินดีในทางธรรม การที่เราดิ้นรนให้พ้นไปนั้น เป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง เพราะว่าเพศตรงข้ามย่อมเป็นเครื่องดึงดูดโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว

การที่เราจะหลีกหนีไปให้พ้น อันดับแรก ต้องใช้อานาปานสติกรรมฐานเป็นหลัก อานาปานสติกรรมฐานเป็นการยึดโยงกำลังใจของเราให้อยู่กับลมหายใจเข้าออก ทำให้เกิดกำลัง สามารถที่จะฝืน ต้านกระแสทางโลกได้ ในขณะที่ความรักหรือความใคร่ก็ตาม เกิดขึ้นท่วมท้นหัวใจของเรา ส่วนใหญ่แล้วสติสัมปชัญญะของเรา มีกำลังไม่เพียงพอที่จะไประงับยับยั้ง หักห้ามกำลังใจของตน

การที่จะให้สติสัมปชัญญะมีกำลังเพียงพอ ในการที่จะระงับยับยั้งกำลังใจของตนได้ ก็ต้องอาศัยอานาปานสติเป็นหลัก อย่างน้อย ๆ ต้องทรงถึงระดับปฐมฌานละเอียด หรือถ้าผู้ใดทรงฌาน ๔ ไปได้เลยยิ่งดี แต่ถึงแม้จะทรงฌาน ๔ ได้ ถ้าเผลอสติ เรื่องของวาระกรรมแทรกเข้ามา ก็อาจจะผิดพลาดได้ อย่างพระฤๅษีที่เหาะผ่านอุทยานของพระเจ้าแผ่นดิน พอเห็นพระมเหสีและนางสนมกำลังเล่นน้ำในสระ เผลอสติ..ฌานเสื่อม ตกลงไปเลย

เพราะฉะนั้น..อันดับแรกเราจึงต้องใช้อานาปานสติกรรมฐาน ในการเรียกคืนสติของตน และมีกำลังในการที่จะฝืนต้านกระแสโลกเอาไว้ให้ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-03-2013 เมื่อ 13:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 86 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 18-03-2013, 20:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,263
ได้ให้อนุโมทนา: 153,667
ได้รับอนุโมทนา 4,438,912 ครั้ง ใน 34,867 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อันดับที่ ๒ ก็คือ ต้องพิจารณาในกายคตานุสติกรรมฐาน ให้เห็นชัดเจนว่าร่างกายของเรานั้นไม่ใช่แท่งทึบ สิ่งที่เราเห็นเป็นเพียงเครื่องหลอกตาอยู่ภายนอก เป็นเพียงผิวหนังที่ห่อหุ้มอยู่ชั้นหนึ่งเท่านั้น ถ้าถลกหนังออกไป ภายในก็เป็นเลือด เป็นเนื้อ เป็นไขมัน เป็นเส้นเอ็น แล้วยังประกอบไปด้วยอวัยวะภายในใหญ่น้อยทั้งปวง

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เมื่อเราภาวนาจนกำลังใจทรงตัวแล้ว ก็น้อมเอามาพิจารณาให้เห็นว่า สภาพร่างกายของเราก็เป็นเช่นนี้ ร่างกายของผู้อื่นก็เป็นเช่นนี้ เหมือนกับซากศพที่เคลื่อนที่ ถ้าเราไม่ยินดีในร่างกายของตนเองได้ ก็ไม่ยินดีในร่างกายของบุคคลอื่นเช่นกัน

กายคตานุสติกรรมฐานเป็นกรรมฐานที่สำคัญอย่างยิ่ง บุคคลที่จะก้าวเข้าถึงความเป็นอริยเจ้า ไม่มีใครที่จะสามารถเว้นจากกายคตานุสติกรรมฐานได้ เพราะเราต้องเห็นสภาพความเป็นจริงของร่างกาย จึงเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หมดความปรารถนาในร่างกายของตนเองและผู้อื่น แล้วหาทางหลีกหนีไปให้พ้นจากร่างกายที่เป็นกองทุกข์

ถ้ากายคตานุสติกรรมฐานไม่สามารถที่จะระงับยับยั้งได้ เพราะว่าสติ สมาธิ และปัญญาของเราไม่เพียงพอ ก็ต้องสร้างความสลดใจให้เกิดขึ้นแก่ตนเอง ด้วยอสุภกรรมฐาน ๑๐ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ในปัจจุบันนี้ การจะพิจารณาอสุภกรรมฐานนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะจะไปหาซากศพในสภาพต่าง ๆ มาพิจารณาได้ยากอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็น อุทธุมาตกอสุภ ซากศพที่อืดพอง ปุฬุวกอสุภ ซากศพที่มีหมู่หนอนชอนไช โลหิตกอสุภ ซากศพที่ประกอบไปด้วยโลหิตไหลเนืองนอง อัฏฐิกอสุภ ซากศพที่เป็นโครงกระดูก เป็นต้น

การที่หลายท่านใช้วิธีค้นหารูปอสุภกรรมฐานต่าง ๆ มาดู อยากจะบอกกับทุกท่านว่า ช่วยอะไรแทบไม่ได้เลย เพราะเป็นเพียงแค่ตาเห็นเท่านั้น แต่ถ้าของจริงจมูกเราจะได้กลิ่นด้วย บางท่านแค่ได้กลิ่นก็ทนไม่ไหว ถึงขนาดอาเจียนแล้ว จะได้เกิดความสลดใจว่า สภาพร่างกายของเราก็ดี ของเพศตรงข้ามก็ดี ที่แท้จริงมีสภาพเป็นเช่นนี้ เมื่อเป็นดังนั้น เรายังจะไปยินดีกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้อีกหรือ ? ถ้าหากว่าเกิดความสลดใจขึ้นมาจริง ๆ เกิดความสังเวชในธรรมขึ้นมาจริง ๆ เราก็จะพิจารณาหาทางหลีกหนีจากร่างกายนี้ ในเมื่อความปรารถนาในร่างกายของตนเองไม่มี ความปรารถนาในร่างกายของผู้อื่นก็ย่อมไม่มีเช่นกัน

ดังนั้น..ในเรื่องที่ว่า ถ้าเป็นบุพเพสันนิวาส คือเคยอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน ทำให้ไม่สามารถจะตัดจะละได้นั้นไม่จริง เพราะการที่จะตัดจะละได้นั้น ขึ้นอยู่กับกำลังสติ สมาธิ และปัญญาของเรา ถ้าเราเห็นทุกข์เห็นโทษจริง ๆ ก็ย่อมสามารถที่จะก้าวล่วงพ้นไปจากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-03-2013 เมื่อ 15:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 20-03-2013, 20:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,263
ได้ให้อนุโมทนา: 153,667
ได้รับอนุโมทนา 4,438,912 ครั้ง ใน 34,867 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หรือท่านทั้งหลายอาจจะใช้พรหมวิหาร ๔ ก็ได้ แม้กระทั่งตัวของอาตมาเอง ที่ฝึกซ้อมอสุภกรรมฐานมามาก แต่เมื่อถึงวาระจริง ๆ ก็เกิดอาการที่เรียกว่า "เอาไม่อยู่" แต่โชคดีว่าพรรษานั้นได้ศึกษานักธรรมชั้นโท เรียนเกี่ยวกับอนุพุทธประวัติ เมื่อไปถึงประวัติของพระรัฐบาลเถระ พระเจ้าอุเทนได้ถามพระรัฐบาลเถระว่า "ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นคนหนุ่ม ย่อมมากด้วยกามราคะ เหตุใดจึงตั้งอยู่ในพรหมจรรย์ได้ ?"

พระรัฐบาลเถระกราบทูลว่า "ดูก่อนมหาบพิตร...ภิกษุในธรรมวินัยนี้พิจารณาดังนี้ คือพิจารณาว่า

มาตุคามนี้สมควรตั้งไว้ในที่แห่งมารดา ก็ตั้งไว้ในที่แห่งมารดา

มาตุคามนี้สมควรตั้งไว้ในที่แห่งพี่สาว ก็ตั้งไว้ในที่แห่งพี่สาว

มาตุคามนี้สมควรตั้งในที่แห่งน้องสาว ก็ตั้งไว้ในที่แห่งน้องสาว

มาตุคามนี้สมควรตั้งไว้ในที่แห่งลูกสาว ก็ตั้งไว้ในที่แห่งลูกสาว

ภิกษุในธรรมวินัยนี้พิจารณาดังนี้ จึงทรงพรหมจรรย์อยู่ได้"

เมื่อศึกษามาถึงตรงนี้ ก็เกิดความเข้าใจเลยว่า นี่เป็นตัวพรหมวิหาร ๔ คือ รักเขาเสมอกับคนในครอบครัวของเรา เมื่อเห็นเขาเป็นแม่ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นลูก ก็ย่อมเกิดความเมตตา กรุณา ไม่เกิดอารมณ์กามราคะขึ้น

ดังนั้น..เราจะเห็นว่าในสัพพัตถกกัมมัฏฐาน คือกรรมฐานที่ประกอบไปด้วยประโยชน์หลายประการ ที่โบราณาจารย์กำหนดไว้ว่า ผู้ปฏิบัติจำเป็นต้องศึกษาไว้ ดังที่กล่าวมาข้างต้นคือ อานาปานสติกรรมฐาน กายคตานุสติกรรมฐาน อสุภกรรมฐาน และพรหมวิหาร ๔ นั้น เป็นสิ่งที่สามารถช่วยในการระงับยับยั้งในเรื่องของการปรารถนาในคู่ครอง ในที่นี้ที่กล่าวถึงก็คือ บุคคลที่หวังความหลุดพ้นจริง ๆ ต้องไปตัวคนเดียว เพื่อจะได้ไม่มีห่วงไม่มีกังวล

เมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าเกิดความปรารถนาในคู่ครองขึ้นมา ก็ต้องใช้กรรมฐานเหล่านี้เป็นคู่ศึก เพื่อที่จะใช้ต่อต้าน และดึงตนเองให้ก้าวพ้นออกมาจากทุกข์นั้นได้ ก็ขอให้ท่านทั้งหลายที่ประสบกับปัญหาในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ นำกองกรรมฐานทั้งหลายเหล่านี้ไปพิจารณา ว่าปัจจุบันนี้เราเหมาะสมกับกรรมฐานกองใด แล้วก็ปฏิบัติในกรรมฐานกองนั้นให้เต็มที่ ก็สามารถจะระงับยับยั้งกำลังใจของตน ไม่ให้ไหลตามกระแสโลกไปได้ และเมื่อสติ สมาธิ ปัญญาแก่กล้าขึ้นมา เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ยกจิตของตนออกจากร่างกาย ไม่ปรารถนาทั้งร่างกายตนเองและคนอื่น เราก็จะสามารถหลุดพ้น เข้าสู่พระนิพพานได้เช่นกัน

อันดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกาและเถรี)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-03-2013 เมื่อ 02:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:45



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว