|
พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ก่อนชาตินี้พวกเราเคยคิดถึงพระนิพพานกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เคย ถาม : เคยหรือครับ ? ตอบ : เคย..แต่ไม่แน่นแฟ้น ถาม : คือได้ยินเขาพูดกันอย่างนี้หรือครับ ? ตอบ : เอาแค่ช่วงอาตมายังเด็ก ประมาณ ๗ - ๘ ขวบ เวลาทำบุญใส่บาตร ผู้ใหญ่เขาสอนให้อธิษฐานว่า ขอให้เกิดมาสวย ๆ ขอให้เกิดมารวย ๆ ขอให้เกิดมาพบพระศรีอาริย์ มีอยู่แค่นี้จริง ๆ คำว่าพระนิพพานไม่รู้จักเลย สมัยนั้นก็อธิษฐานไว้อย่างนี้ บางท่านก็วิลิศมาหราหน่อยว่า ขอให้สวยเหมือนนางวิสาขา ขอให้มีปัญญาเหมือนพระมโหสถ ขอให้มีน้ำใจอดเหมือนพระเตมีย์ ขอให้เป็นเศรษฐีเหมือนเจ้ากรุงสญชัย ขอให้มีศรัทธาเลื่อมใสเหมือนพระเวสสันดร ฯลฯ ถาม : จริง ๆ ถ้าเกิดมาแล้วพร้อมขนาดนั้น เข้าพระนิพพานดีกว่าเยอะเลย ? ตอบ : สมัยเด็ก ๆ เรื่องพระศรีอาริยเมตไตรยจะเป็นที่ฮิตมาก เพราะมีคำร่ำลือว่าสมัยกึ่งพุทธกาล คือ ปี ๒๕๐๐ พระศรีอาริย์จะมาจุติ เขาก็เลยรอกันใหญ่ ถาม : แล้วท่านมีเกณฑ์มาเกิดไหมครับ ? ตอบ : มีเกณฑ์ก่อนหน้านั้น ทีนี้งานที่จะมาก็คือ มารวบรวมประวัติการสร้างอักษรไทย ท่านก็เห็นว่าไม่ใช่งานโดยตรงของท่าน ก็ให้มนขอมพิษณุมาแทน ถาม : อย่างนี้ท่านก็ไม่ลงมาสิครับ ? ตอบ : ถ้าหากลงมาก็เป็นเรื่อง ในปัจจุบันนี้มีเยอะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-01-2014 เมื่อ 16:42 |
สมาชิก 105 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : จริงครับ มีพระศรีอาริย์หลายองค์เลย
ตอบ : พระศรีอาริยเมตไตรยมีระบุไว้ชัดเจนในทักขิณาวิภังคสูตร พระสุตตันตปิฎกว่า พระนางปชาบดีโคตมีตั้งใจทอจีวรถวายพระพุทธเจ้า ท่านเริ่มตั้งแต่ปลูกเลย เตรียมดินที่จะปลูกฝ้าย ให้ช่างตะไบผงทองผสมไปด้วย แล้วก็เอาเมล็ดฝ้ายปลูก รดด้วยน้ำนมวัว คอยดูแลจนกระทั่งฝ้ายตกยวง แล้วก็เก็บมาปั่นเป็นเส้นด้าย ทอด้วยมือท่านเอง ด้วยความที่ท่านตั้งใจและอาจจะเป็นเพราะว่ามีแร่ธาตุทองคำเยอะ ท่านบอกว่าเนื้อผ้าออกมาสีเหมือนทองคำเลย ท่านทอได้สองผืน ก็เอาไปถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ารับแล้วก็ส่งให้พระสารีบุตร พระสารีบุตรก็ส่งให้พระโมคคัลลาน์ ไล่ไปเรื่อย.... จนถึงพระใหม่ชื่อพระอชิตะ นั่งอยู่ท้ายแถว ไม่รู้จะส่งต่อให้ใครก็ต้องรับไว้ พระนางปชาบดีโคตมีเสียใจ นั่งร้องไห้เลย พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสให้ฟังว่า ถ้าท่านรับไว้เองก็จะเป็นเพียงปาฏิบุคลิกทาน เป็นทานเฉพาะพระองค์ อานิสงส์จะน้อย แต่ว่าที่ส่งให้ท่ามกลางสงฆ์ ผู้ที่เหมาะสมจะได้รับไป คือถ้าใครรู้ตัวว่ามีจีวรเก่าก็รับไป นั่นถือว่าเป็นสังฆทาน แล้วท่านก็ตรัสบอกไว้ว่า ทานที่ให้แก่สัตว์เดรัจฉาน ๑๐๐ ครั้งไม่เท่ากับให้มนุษย์ ๑ ครั้ง ให้แก่มนุษย์ ๑๐๐ ครั้ง ก็ไม่เท่ากับให้สมมติสงฆ์ ๑ ครั้ง ไล่ไปเรื่อย... จนกระทั่งถึง ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่ากับถวายทานแก่พระพุทธเจ้า ๑ ครั้ง ถวายทานแก่พระพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้งไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง ประกอบกับพระพุทธเจ้าอยากแสดงอานุภาพของพระอชิตะให้ทุกคนทราบ จึงอธิษฐานให้บาตรของพระองค์ท่านลอยหายเข้าไปในกลีบเมฆ แล้วตรัสให้พระสารีบุตรไปค้นหา พระสารีบุตรเหาะไปค้นหาก็ไม่เจอ พระโมคคัลลาน์ก็ไม่เจอ ไล่ไปตามลำดับ... จนกระทั่งถึงท้ายแถว พระอชิตะออกไปยืน ไม่ได้เหาะไป เพียงแต่ท่านอธิษฐานว่า ถ้าหากท่านจะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณในอนาคตกาลจริง ขอให้บาตรพระพุทธเจ้าลอยเข้ามาอยู่ในมือ ปรากฏว่าบาตรลอยกลับมา แบมือรับเลย เพราะพระพุทธเจ้าอธิษฐานไว้แล้วว่าให้พระอชิตเถระเท่านั้นที่หาได้ เมื่อเป็นดังนั้นพระนางปชาบดีก็ร้องไห้อีกรอบ คราวนี้ร้องไห้ด้วยความดีใจ พระอชิตะพอท่านรับผ้ามา ท่านก็ไม่ได้ใช้เอง ท่านเอาไปทำเป็นผ้าขึงเพดานหนึ่งผืนสำหรับพระพุทธเจ้า และเป็นผ้าปูที่นอนหนึ่งผืน และก็อธิษฐานขอเข้าถึงพระโพธิญาณในอนาคตกาล ช่วงที่ท่านเอ่ยปากขอให้การปรารถนาพระโพธิญาณนั้นสำเร็จ ท่านบอกว่ามีฉัพพรรณรังสีเปล่งออกจากเขี้ยวแก้วของท่าน ปรากฏสว่างให้เห็นอยู่ทั่วไป แสดงว่าทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นเพียงพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมี แต่กำลังของท่านสูงมหาศาลเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-01-2014 เมื่อ 16:44 |
สมาชิก 109 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ภายหลังบรรดากษัตริย์ของศากยวงศ์ ออกบวชตามพระพุทธเจ้ามากต่อมากด้วยกัน หญิงหม้ายเต็มปราสาทเลย พระนางปชาบดีโคตมีก็พิจารณาเห็นว่าพระเจ้าสุทโธทนะ พระราชสวามีก็สวรรคตแล้ว พระนันทะกับพระนางรูปนันทา ลูกชายลูกสาวก็บวชทั้งคู่แล้ว พระพุทธเจ้าที่ท่านตั้งใจถนอมกล่อมเกลี้ยงฟูมฟักมา ยิ่งกว่าลูกของตัวเอง ก็บวชเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เพราะฉะนั้นเราควรจะบวชบ้าง ก็เลยชวนบรรดานางสากิยานี ก็คือบรรดาหญิงหม้ายที่สามีออกบวชหมด บอกว่าให้ตามกันไปบวชดีกว่า
ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าไม่อนุญาต ในเมื่อพระพุทธเจ้าไม่อนุญาตท่านก็ยืนร้องไห้ พระอานนท์ท่านทราบความ ก็เลยเข้าไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระอานนท์ท่านฉลาด ท่านถามพระพุทธเจ้าว่าผู้หญิงบรรลุมรรคผลไม่ได้หรือ ? พระพุทธเจ้าบอกว่าได้ พระอานนท์บอกว่าถ้าหากว่าได้ก็ควรจะให้บวช พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าหากสตรีบวชเข้ามาในธรรมวินัยนี้ ศาสนาจะตั้งอยู่ไม่ครบห้าพันปี พวกเราลองมานึกถึงปัจจุบันนี้ ผู้หญิงอยู่นอกวัด เขายังพยายามลากเข้าไปในวัด แล้วนั่นอยู่ในวัดด้วยกันจะเกิดอะไรขึ้น ? ถ้าหากเป็นภิกษุปุถุชน ก็จะมีปัญหาใหญ่ให้เสื่อมเสียได้ พระอานนท์ก็อ้อนวอนว่าให้บวชเถอะ เพราะว่าเป็นพระน้านางที่เลี้ยงพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่เด็ก จะได้เป็นการแสดงออกซึ่งกตัญญูที่มีต่อพระญาติ และในเมื่อผู้หญิงมีสิทธิ์ที่จะบรรลุมรรคผลได้ ก็ควรจะมีข้อห้ามเพื่อที่จะรักษาพระพุทธศาสนาได้เช่นกัน พระพุทธเจ้าจึงให้พระอานนท์ไปทูลถามพระนางว่า จะรับครุธรรม ๘ ประการได้ไหม ? ถ้าหากว่ารับได้ก็จะให้บวช ครุธรรม ๘ ประการ มีตั้งแต่ภิกษุณีแม้บวชเป็นร้อยปีก็ต้องไหว้ภิกษุที่เพิ่งบวชในวันนั้น ภิกษุณีพึงฟังคำสั่งสอนของภิกษุเพียงฝ่ายเดียว ไม่พึงสั่งสอนพระภิกษุ ต้องบวชในสงฆ์ทั้งสองฝ่ายจึงเป็นภิกษุณีได้ ฯลฯ พระนางปชาบดีโคตมีท่านก็รับปากว่าทำได้ พระพุทธเจ้าก็ประทานการบวชให้ พระนางก็บรรลุมรรคผล อยู่จนอายุ ๑๒๐ ปี ไปทูลลาพระพุทธเจ้าขอปรินิพาน คราวนี้เรามาคิดว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานตอนอายุ ๘๐ พระนางปชาบดีโคตมีไปทูลลาปรินิพพานตอนอายุ ๑๒๐ ตอนนั้นพระพุทธเจ้าอายุ ๗๙ ถ้าอย่างนั้นพระนางปชาบดีโคตมีท่านอายุเท่าไรตอนพระพุทธเจ้าประสูติ ? แล้วท่านเป็นน้องของพระนางสิริมหามายา พระนางคลอดพระพุทธเจ้าตอนอายุเท่าไร ? ตรงนี้คาใจมานาน ท้ายสุดไปค้นเจอในมธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาพุทธวงศ์ ท่านบอกเอาไว้ว่า บุคคลผู้เป็นพุทธมารดาจะมีปกติตั้งครรภ์ตอนอายุ ๔๐ - ๕๐ ปี ถามว่าทำไมถึงต้องรอช้าขนาดนั้น ก็เพราะว่าถ้าพระโพธิสัตว์ประสูติแล้วจะอยู่ได้ไม่เกิน ๗ วัน เพราะฉะนั้น..ก็ให้พระมารดาอยู่นานหน่อย ไม่อย่างนั้นอายุ ๑๖ ตั้งท้อง คลอดเสร็จก็สวรรคตไปแล้ว เบญจกัลยาณีแถมยังอิตถีลักษณะ ๖๔ ประการ หายากขนาดนั้น เก็บไว้ดูนาน ๆ หน่อยเถอะ พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เทศน์ช่วงก่อนทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์ เดือนตุลาคม ๒๕๕๑
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-01-2014 เมื่อ 16:46 |
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|