|
#1
|
||||
|
||||
|
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
| สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#2
|
||||
|
||||
|
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ตรงกับวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือนอ้าย ปีมะเส็ง ฤกษ์อมฤตโชค หรือที่หลายท่านเรียกว่า "ฤกษ์มหาเศรษฐี" เนื่องเพราะว่าฤกษ์อมฤตโชคนั้น ถือว่าเป็นฤกษ์ที่ดีที่สุดตามตำราฤกษ์พรหมประสิทธิ์ แล้วมาตรงกับวันศุกร์ ซึ่งถือกันว่าเป็น "วันเงินวันทอง" จึงทำให้บางท่านเรียกฤกษ์อมฤตโชควันศุกร์ว่า "ฤกษ์มหาเศรษฐี" ไปโดยปริยาย
กระผม/อาตมภาพต้องเดินทางฝ่าลมหนาวและฝนหนาวที่ตกปรอย ๆ ไปยังสำนักปฏิบัติธรรมอนันต์บูรพาราม หมู่ที่ ๑๑ บ้านมาบฟักทอง ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เพื่อทำการบวงสรวงบูชาพระรัตนตรัย และขออนุญาตปลุกเสกวัตถุมงคล ให้กับพระครูโก้ (พระครูสังฆรักษ์ฬัสวัชร์ ฐิตสีโล) เจ้าสำนักปฏิบัติธรรมอนันต์บูรพาราม เมื่อไปถึง นั่งพักผ่อนเล็กน้อย ก็ขออนุญาตทำการบวงสรวงบูชาพระรัตนตรัยเลย เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจ ถ้าเผลอเมื่อไร..ฝนเทลงมาก็จะเป็นเรื่องทันที แล้วก็ได้เข้าไปทำการจุดเทียนชัย และปลุกเสกวัตถุมงคลต่าง ๆ ในพิธีนั้น ในส่วนของการปลุกเสกนั้น ก็เห็นมีวัตถุมงคลหลายสิ่งหลายประการเช่นกัน ที่เป็นรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือว่ารูปพระสงฆ์ ถือว่าเป็นสิ่งที่ง่ายต่อการปลุกเสก เหตุเพราะว่าการขอบารมีพระมาเสกพระนั้น ถ้าหากว่าตามสายวิชาการของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย แต่ว่าข้าวของอื่น ๆ ในพิธีนั้นเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะทำยาก อย่างเช่นว่ามีรูปนางอัมพปาลีเถรี และรูปนางสิริมา หญิงนครโสเภณีอยู่ในนั้นด้วย พระครูโก้ท่านแจ้งว่าจะให้บรรดาท่านทั้งหลายที่ทำการค้าขายเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น หรือว่าทำงานกลางคืนเอาไว้บูชา กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ถอนหายใจ เนื่องเพราะว่านางอัมพปาลีนั้นภายหลังก็บวชเป็นภิกษุณี สำเร็จพระอรหันต์ ส่วนนางสิริมานั้น ท่านเป็นน้องของท่านปู่หมอชีวกโกมารภัจจ์ มาภายหลังก็สำเร็จเป็นพระโสดาบัน ซึ่งสิ่งที่ท่านมีนั้นต้องบอกว่ามากมายมหาศาล แต่ว่าเรากลับไปต้องการนิดเดียวเท่านั้น แต่อย่างไรก็ดี รูปวัตถุมงคลชิ้นนี้ อย่างน้อยก็มีรูปภิกษุณี ที่ถือว่าเป็นรูปพระสงฆ์อยู่ด้วย โดยเฉพาะภิกษุณีอรหันต์ ก็ถือว่าไม่ได้ไกลพระพุทธศาสนามากนัก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-11-2025 เมื่อ 01:09 |
| สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#3
|
||||
|
||||
|
วัตถุมงคลอีกชุดหนึ่งนั้นเป็นผ้ายันต์รูปนางพันธุรัตและสังข์ทอง มีพระคาถาจินดามณี ซึ่งถือว่าเป็นคาถาเรียกลาภ ถ้าตามวรรณคดีสังข์ทองนั้น ด้วยความที่นางพันธุรัตแม้ว่าจะเลี้ยงพระสังข์มาจนเติบใหญ่ก็ตาม แต่พระสังข์ก็เกรงกลัวว่าเป็นนางยักษ์ อาจจะจับตนกินเมื่อไรก็ได้ จึงได้ขโมยรูปเงาะ ไม้เท้า และเกือกแก้ว ไปชุบตัวในบ่อทอง จนผิวกลายเป็นทองแล้วก็ใส่ชุดเหาะหนีไป แต่ด้วยความที่นางพันธุรัตเป็นนางยักษ์มีฤทธิ์มาก จึงพยายามติดตามไป จนกระทั่งถึงยอดเขาแห่งนี้ พระสังข์ทองเห็นว่าหนีไม่พ้นแล้ว จึงอธิษฐานขอบารมีของแม่ช่วยรักษาตนให้รอดพ้นจากอำนาจของยักษ์ด้วย
บารมีแม่หรือว่าอานุภาพแห่งความเป็นมารดาที่ยิ่งใหญ่ไพศาล ถึงขนาดศาสนาฮินดู ได้สร้างเป็นรูปอุมาโยนิ ก็คืออวัยวะเพศหญิงที่ถือว่าเป็นของพระอุมา เป็นแหล่งกำเนิดสรรพชีวิต เอาไว้บรรดาศาสนิกของตนได้ทำน้ำมนต์บูชา ตรงนี้ถ้าหากว่าใครเข้าใจเคล็ดลับของศิวลึงค์ หรือที่บ้านเราเรียกว่า "ปลัดขิก" และรูปอุมาโยนิ ที่บ้านเราเรียกว่า "อีเป๋อ" ก็ตาม ถ้าสามารถเข้าถึงเคล็ดลับตรงจุดนี้ได้ จะเสก "ปลัดขิก" และ "อีเป๋อ" ได้ขลังสุด ๆ เนื่องเพราะว่าอานุภาพถึงขนาดสามารถสร้างโลกและสรรพชีวิตได้เลย แต่ถ้าไม่เข้าถึงตรงนี้ก็ยากที่จะทำได้..! ด้วยอานุภาพแห่งแม่ จึงทำให้นางพันธุรัตไม่สามารถจะขึ้นไปจับตัวพระสังข์บนยอดเขาได้ จึงได้แต่ร้องไห้เสียใจว่าตนเองเลี้ยงพระสังข์มาด้วยความรักแท้ ๆ แต่ทำไมลูกถึงได้หนีตนเองมาเช่นนี้ ? ท้ายที่สุดก็ตรอมใจ แต่ก่อนจะตายก็ได้เขียนมนต์จินดามณี ซึ่งใช้เรียกเนื้อเรียกปลามาหาตนเอง เท่ากับว่าเป็นนางยักษ์ที่นอนรออยู่เฉย ๆ ก็มีอาหารกินตลอดเวลา ให้พระสังข์ได้เรียนเอาไว้ และภายหลังก็สามารถชนะ "หกเขย" ซึ่งท้าหาเนื้อหาปลาแข่งกัน เพราะคิดว่าตนเองมีบริวารมาก อย่างไรเสียก็คงจะหาเนื้อหาปลาชนะพระสังข์ทองแน่นอน แต่ว่าพระสังข์ทองในรูปเจ้าเงาะอาศัยมนต์จินดามณีนี้แหละ เรียกเนื้อเรียกปลาไปหมด เมื่อ "หกเขย" ต้องการเอาชนะ มาขอเนื้อขอปลา ก็ต้องแลกกลับหูและจมูกของ "หกเขย" เป็นการกลั่นแกล้งบุคคลที่หมายชีวิตตนเองด้วยการทำให้อัปลักษณ์แค่นั้น แล้วแถมยังแพ้สังข์ทองเสียด้วย โบราณาจารย์ของเราจึงได้ผูก "พระคาถาจินดามณี" นี้ขึ้นมา อยู่ในลักษณะของ "พระคาถาเรียกลาภ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-11-2025 เมื่อ 01:13 |
| สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#4
|
||||
|
||||
|
เพียงแต่ว่าท่านพระครูใหม่ (พระครูสังฆรักษ์ชัยพร อนาภโย ) อดีตเจ้าอาวาสวัดทรงเมตตาวนาราม จังหวัดชลบุรี ท่านมีฝีมือในการเขียนยันต์ต่าง ๆ ได้สวยงามมาก จึงได้เขียนยันต์เป็นรูปนางพันธุรัต มีพระสังข์นั่งอยู่บนหอย แล้วก็มีพระคาถาต่าง ๆ ล้อมรอบ ก็ต้องบอกว่าอยู่ในลักษณะของ "ผ้ายันต์เรียกลาภ" นั่นเอง แต่ว่าอยู่ห่างไกลพระพุทธศาสนาไปหน่อย
โดยเฉพาะถ้าบุคคลขี้สงสัย แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาภาวนาพระคาถาจนกระทั่งจิตสงบ บังเกิดอำนาจสมาธิ สำเร็จเป็น "มโนมยา" ก็จะไปสงสัยว่านางพันธุรัตมีจริงหรือไม่ ? พระสังข์มีจริงหรือไม่ ? เรื่องนี้เป็นแค่นิยายในวรรณคดีเท่านั้น ถ้ามัวแต่สงสัยอยู่อย่างนี้ก็จบกันพอดี ดังนั้น..ในเรื่องของการสร้างวัตถุมงคล จึงควรจะเป็นเรื่องที่ไม่ให้ห่างไกลจากพระพุทธศาสนามากนัก ถ้าหากว่านึกไปถึงหลวงปู่บางท่านที่ขอไม่ออกชื่อ แม้ว่าท่านจะสร้างปลัดขิก แต่ไม่จารไม่เจิมอะไรเลยทั้งนั้น ท่านบอกว่าพระคาถาแต่ละตัวล้วนแล้วแต่เป็นหัวใจในพระธรรมทั้งสิ้น โดยเฉพาะถ้าหากว่าเป็นหัวใจพระรัตนตรัยด้วย ไปลงในปลัดขิก ซึ่งถือว่าเป็นของต่ำ อยู่ในลักษณะไม่เคารพพระรัตนตรัย ดังนั้น วัตถุมงคลของท่าน แม้จะสร้างเป็นปลัดขิก แต่ไม่มีร่องรอยการจารต่าง ๆ เลย ท่านลองไปศึกษาดูว่าเป็นปลัดขิกของสำนักไหน ? แต่กระผม/อาตมภาพยืนยันว่าปลัดขิกของท่านขลังจริง ๆ เราจะเห็นว่าครูบาอาจารย์ที่ท่านมีความเคารพในพระรัตนตรัยจริง ๆ นั้น ก็พยายามเลี่ยงห่างจากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ อีกส่วนหนึ่งก็เป็น "น้ำมันว่านไก่แดง" ที่ถือว่าเป็น "สายเสน่ห์" กระผม/อาตมภาพเองเห็นแล้วก็ได้แต่หนักใจ เพราะว่าถ้าเป็นเรื่องของเสน่ห์แล้ว ท่านทั้งหลายควรที่จะปฏิบัติในสังคหวัตถุ ๔ ก็คือ ทาน รู้จักให้ปันแก่คนอื่นที่ขาดแคลน ปิยะวาจา กล่าวแต่คำดี กล่าวแต่สิ่งที่เป็นอรรถเป็นธรรมกับคนอื่นเขา รู้จักพูดจาให้กำลังใจคนอื่นเขา อัตถจริยา ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น หรือช่วยเหลือกิจการงานของคนอื่น สมานัตตตา เป็นบุคคลที่สร้างคุณงามความดี โดยเสมอต้นเสมอปลาย เป็นบุคคลที่เอาใจเขามาใส่ใจเรา ตนเองไม่ชอบสิ่งใดก็ไม่ทำสิ่งนั้นกับคนอื่น เนื่องเพราะรู้ว่าคนอื่นก็ไม่ชอบใจด้วย เหล่านี้เป็นต้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-11-2025 เมื่อ 01:16 |
| สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#5
|
||||
|
||||
|
ถ้าท่านสามารถปฏิบัติในสังคหวัตถุ ๔ นี้ได้ ก็จะเป็นผู้ที่มีเสน่ห์ ไปไหนก็จะมีแต่คนรักใคร่เมตตา ยินดีต้อนรับ แต่ว่าพวกเรากลับมาต้องการในสิ่งที่มาโยงใจของคนอื่น ในลักษณะผูกจิตดึงจิตเขา ให้เคารพเรา ให้รักเรา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ยั่งยืน เพราะว่าถ้าหากพ้นจากอำนาจของวัตถุนั้น ๆ เขาก็จะมีความรู้สึกเหมือนเดิม ก็คือถ้าไม่รักใคร่เมตตา ก็คงไม่รักใคร่เมตตาต่อไป..!
อีกส่วนหนึ่งเป็นศาสตราวุธต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นดาบ เป็นขวาน เป็นพระขรรค์ ซึ่ง "เซียนไก่บ้านฆ้อง" (คุณปริญญา นัทธี) ได้นำมาเข้าพิธี และเมื่อเสร็จพิธีแล้วยังถวายกระผม/อาตมภาพมาคู่หนึ่งด้วย "เซียนไก่" บอกว่าช่วงนี้ชายแดนสถานการณ์ไม่ดี เรื่องของอาวุธจึงขอให้เสกอยู่ในลักษณะที่เป็น "มหาอำนาจ" ป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ ด้วย กระผม/อาตมภาพอธิษฐานจิตเสกไปให้ตามที่ทุกท่านต้องการ จนกระทั่งภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขยายใหญ่เต็มมณฑลพิธีแล้ว จึงได้ลืมตาขึ้นมาทำน้ำมนต์พรมจนทั่วบริเวณ รับไทยธรรมแล้วก็รีบขอตัวกลับ ขนาดนั้นก็ยังเจอฝนกลางทาง ทำเอารถติดหนุบหนับ แทบจะไม่ทันเพล โดยที่ไม่ทันได้ดูว่าทางด้านพระครูโก้นิมนต์ใครมาบ้าง ได้ยินว่ามีหลวงพ่อบุญส่ง อุปสโม (ท่านพระครูพิศาลสันติคุณ) เจ้าอาวาสวัดเขาแร่ในพระสังฆราชูปถัมภ์ อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาด้วย ส่วนท่านอาจารย์บ๊ะ (พระอาจารย์ศิริชัย ชยธมฺโม) วัดโพธิลังการ์ อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ที่เมื่อวานนี้นัดแนะกันเป็นอย่างดีว่าใครไปถึงก่อนก็ลุยก่อน ไม่ต้องมีการรอกัน แต่ปรากฏว่าวันนี้จนกระผม/อาตมภาพเดินทางกลับแล้วก็ยังไม่เจอหน้าเลย..! ครั้นกลับมาถึงและฉันเพลแล้ว ได้เข้าไปตรวจการณ์ในเว็บไซต์วัดท่าขนุน เห็นว่าเบี้ยแก้ที่นำไปลงให้นั้นมีบุคคลจองจนหมดแล้ว จึงได้กัดฟันนำเอาเบี้ยแก้ชุบรักหนา คือเบี้ยแก้ยุคต้น ๑๐ องค์สุดท้าย มาถ่ายรูปส่งให้ไอ้ตัวเล็ก นำไปให้กับบุคคลที่ต้องการบูชาในราคานี้ ถ้าไม่ใช่แย่งกันบูชาจนเว็บแตกจริง ๆ ก็คงจะหยุดลงเพียงแค่นี้ แต่ถ้าหากว่าแย่งกันบูชาจนเว็บแตกจริง ๆ อาจจะต้องสละเบี้ยแก้ที่หุ้มดิ้นเงินดิ้นทอง เหลืออยู่อีกอย่างละ ๑๐ องค์ออกไปด้วยอย่างเป็นแน่แท้ สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-11-2025 เมื่อ 01:19 |
| สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|