#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๘
|
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปร่วมงานครบรอบ ๑๓๘ ปี การสถาปนามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นอกจากได้พบกับครูบาอาจารย์เก่า ๆ แล้ว ยังมี FC วัดท่าขนุนย่องไปรอพบและรอทำบุญที่นั่นอีกจำนวนมาก จนพระเถระบางรูปถึงขนาดปรารภว่า "ท่านรู้จักคนมากขนาดนี้เลยหรือ ?" จึงเรียนตอบท่านไปแบบขำ ๆ ว่า "คนรู้จักผมมากกว่าครับ ผมไม่ค่อยรู้จักใคร..!"
คราวนี้ในส่วนของงานไม่ขอกล่าวถึง มีเรื่องที่อยากจะกล่าวถึง เพราะว่ามีคลิปลงสื่อโซเชียลมาหลายวันแล้ว ที่กล่าวว่า "การปลุกเสกเป็นอุตสาหกรรมแห่งความโง่ เป็นแหล่งรวมของคนปัญญาอ่อน" โดยอ้างถึงคำของพระนักเทศน์ชื่อดัง ซึ่งปัจจุบัน "มรณภาพและลงข้างล่างไปเรียบร้อยแล้ว" มาเป็นข้ออ้าง ซึ่งกระผม/อาตมภาพเอง แม้ว่าจะสงสารท่านขนาดไหนก็ช่วยไม่ได้ เพราะว่าออกแนวแบบบรรดาอินฟลูเอนเซอร์สายพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน ที่ใช้คำพูดในลักษณะจาบจ้วง..! สิ่งต่าง ๆ ซึ่งบรรดาครูบาอาจารย์ ตลอดจนกระทั่งบรรพบุรุษของเราเชื่อถือและปฏิบัติต่อเนื่องกันมา เพราะว่ารู้แจ้งเห็นจริง อย่างวาทกรรมประเภทที่ว่า "พระภูมิเจ้าที่ก็แค่เทวดาตีนโรงตีนศาล ทำไมต้องไปสร้างศาลเคารพนับถือด้วย ? ถ้าท่านเห่าได้แบบหมา แล้วค่อยเคารพนับถือกัน..!" เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้วมีอยู่ตลอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่จะไม่กล่าวถึงมากไปกว่านี้ จะขอกล่าวถึงเฉพาะในส่วนของการปลุกเสกวัตถุมงคลต่าง ๆ ที่เจ้าของคลิปกล่าวว่า "เป็นแหล่งรวมคนโง่และคนปัญญาอ่อน..!" ท่านทั้งหลายต้องดูก่อนว่า ก่อนที่จะมีงานปลุกเสกนั้นต้องสร้างวัตถุมงคลขึ้นมา การสร้างวัตถุมงคลนั้น ต้องดูด้วยว่า "มีวัตถุประสงค์อย่างไร ?" อันดับแรกเลย ในยุคต้นเป็นการสร้างเพื่อเป็นที่ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เนื่องเพราะว่าบุคคลรุ่นหลัง ๆ ไม่ได้มีโอกาสพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยตนเอง จะให้ระลึกถึงเฉพาะพุทธคุณก็หาความมั่นคงไม่ได้ ครูบาอาจารย์ท่านจึงใช้วิธีสร้างรูปแทนองค์ขึ้นมา เพื่อที่จะได้มีเครื่องยึด ที่เรียกว่าพุทธานุสติ สร้างความมั่นคงในกำลังใจ อย่างน้อยก็มีวัตถุให้ยึดเกาะ ซึ่งถ้าหากว่าปฏิบัติธรรมไปถึงช่วงสุดท้าย ก็เหมือนกับคนอาศัยเรือข้ามฝั่ง เมื่อขึ้นฝั่งแล้วก็ไม่เห็นมีใครแบกเรือไปด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:57 |
สมาชิก 4 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
วัตถุประสงค์ต่อไปก็คือสร้างเพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา เป็นวัตถุที่ยืนยันว่าสถานที่นั้นก็คือสถานที่ในพระพุทธศาสนา
อีกประการหนึ่งก็คือ ถ้าหากว่าสถานที่นั้นปรักหักพังลง บุคคลที่ไปพบวัตถุมงคลในกรุ หรือในสถานที่นั้น ก็จะได้นำมาจำหน่ายเพื่อจะบูรณปฏิสังขรณ์ให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองตามเดิม ประการต่อไปก็คือผลลัพธ์ที่จะได้จากการใช้วัตถุมงคลนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปพระพุทธ รูปพระสงฆ์ หรือเครื่องรางต่าง ๆ คนโบราณอาศัยสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวป้องกันภัย จนกระทั่งสามารถต่อสู้ฟันฝ่า รักษาประเทศชาติและแผ่นดินมาให้ท่านจาบจ้วงกันว่าเป็นคนโง่..! ข้อสุดท้ายได้กล่าวไปแล้วก็คือสร้างเพื่อหาทุนบูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุในพุทธศาสนา เพียงแต่ว่าข้อนี้ เมื่อเจอบรรดาฆราวาสซึ่งโลภมากเข้ามาครอบงำวัดวาอารามนั้น ๆ ก็จะมีการสร้างในลักษณะเพื่อจำหน่ายหาเงินเข้ากระเป๋า ที่เรียกกันว่า "พุทธพาณิชย์" ในปัจจุบัน จนกระทั่งครูบาอาจารย์บางรูป ปีเดียวมีคนขอสร้างวัตถุมงคล ๓๐๐ - ๔๐๐ รุ่น จนกลายเป็นขายไม่ออก ก็เพราะว่าโลภมากจนลาภหาย..! สมัยที่จตุคามรามเทพโด่งดัง เพื่อนฝูงของกระผม/อาตมภาพรูปหนึ่งสร้างจตุคามรุ่นแรกของวัด ได้กำไรมา ๑๒ ล้านบาท..! เกิดความย่ามใจ ลงทุนสร้างรุ่นที่ ๒ ทุ่มเทเงินทอง นิมนต์พระเกจิอาจารย์มาเป็นร้อยรูป หวังว่าจะเอาดัง แล้วขณะเดียวกันก็เอาเงินด้วย แต่ว่ากระแสจตุคามแผ่วลงพอดี เงินที่ได้มา ๑๒ ล้านก็เลยจมหายไปในนั้นจนหมด..! นั่นคือลักษณะของผู้ที่ตั้งใจทำเพื่อหาเงินในลักษณะ "พุทธพาณิชย์" เพราะความโลภในใจของตน แล้วก็โดนเหมารวมกันไปจนหมดว่า เป็นแหล่งรวมคนโง่ รวมคนปัญญาอ่อน โดยไม่ได้ดูว่าวัตถุประสงค์ในการสร้างเป็นอย่างไร ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:59 |
สมาชิก 4 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
ขอยกตัวอย่างหลวงปู่โต หรือว่าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) วัดระฆังโฆสิตาราม ผู้เปรียบเสมือนกับครูบาอาจารย์ของในหลวงรัชกาลที่ ๔ ท่านสร้างพระสมเด็จวัดระฆังที่ระบือลือลั่นมาจนปัจจุบันนี้ ได้รับการยกย่องว่าเป็น "จักรพรรดิพระเครื่อง" องค์สวย ๆ และเชื่อมั่นว่าแท้ จำหน่ายกันราคาเป็น ๑๐๐ ล้านบาท..!
หรือไม่ก็สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ติสฺสเทวมหาเถร) วัดสุทัศนเทพวราราม สร้างพระกริ่งหลายต่อหลายรุ่น ที่โด่งดังคับฟ้า..! หรือแม้กระทั่งสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุณฺณสิริมหาเถร) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ถึงเวลาจะสร้างจะทำอะไรที่เป็นวัตถุมงคล ก็ต้องรอหลวงปู่โหน่ง วัดคลองมะดัน เป็นผู้กำหนดฤกษ์ บางทีก็ยืนรอกันเป็นชั่วโมง ๆ แล้วบางงานหลวงปู่โหน่งก็ไม่มาเอาดื้อ ๆ พอท่านสอบถามไปก็บอกมาตรง ๆ ว่า "เทวดาไม่ให้มา" หนักเข้าไปอีก..! พอบรรดาพระสังฆาธิการระดับสูงตำหนิ สมเด็จพระสังฆราชท่านบอกว่า "ท่านโหน่งรู้จริง..!" แม้กระทั่งสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร พระองค์ท่านก็สร้าง "พระกริ่งคชวัตร ฉลองพระชนมายุ ๙๐ พรรษา" ทรงปลุกเสกด้วยองค์ท่านเอง หรือที่กระผม/อาตมภาพไปปลุกเสกที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม หลายต่อหลายครั้ง สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (อมฺพรมหาเถร) รูปปัจจุบัน ก็ร่วมอธิษฐานจิตด้วยทุกครั้ง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:01 |
#5
|
||||
|
||||
![]()
ถ้าหากว่าท่านบอกว่าพระระดับนั้นโง่ หรือปัญญาอ่อน กระผม/อาตมภาพก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครโง่และปัญญาอ่อนกันแน่ ? โดยเฉพาะถ้ากล่าวหากันในลักษณะนั้นก็ต้องดูอีกที เอาแค่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงร่วมพิธีในการสร้างพระ ๒๕ พุทธศตวรรษ ทรงเป็นประธานในงานปลุกเสกเหรียญทรงผนวช ปี ๒๕๐๘ ทรงเป็นประธานในงานปลุกเสกพระพุทธชินราชปี ๒๕๑๗ ซึ่งสร้างโดยกองทัพภาคที่ ๓ หรือแม้กระทั่งในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ของเรา ก็เพิ่งจะเสด็จไปเป็นประธานในพิธีปลุกเสกเหรียญที่ระลึก เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบของพระองค์ท่าน
ดังนั้น..คำกล่าวหาว่าผู้ที่ร่วมงานพุทธาภิเษกเป็นคนโง่หรือคนปัญญาอ่อน เท่ากับว่าท่านกำลังจาบจ้วงล่วงเกินแม้กระทั่งองค์ในหลวง ถือว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างร้ายแรง ถ้าเกิดมีใครนึกขลังขึ้นมา ไปแจ้งความ ก็คงจะโดนคดีมาตรา ๑๑๒ เอาง่าย ๆ..! เรื่องพวกนี้ บุคคลในปัจจุบันที่ชอบ "เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น" "เหยียบหัวคนอื่นเพื่อจะขึ้นสู่เบื้องสูง" มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าไม่มีใครคอยชี้แจงเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ บุคคลที่ไม่เข้าใจความเป็นจริง ก็จะคล้อยตามไป เพราะไม่สามารถที่จะแยกแยะได้ว่า บุคคลที่ตั้งใจหากิน กับบุคคลที่ทำเพื่อสืบพระศาสนา เพื่อให้ญาติโยมมีอนุสติไว้เป็นที่พึ่งพาอาศัย และได้อาศัยพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ ในการปกป้องชาติบ้านเมือง ปกป้องครอบครัวและตนเอง ก็จะทำให้คนที่หลงผิดเข้าใจผิด ห่างไกลพระพุทธศาสนาออกไปทุกที แล้วเขาทั้งหลายเหล่านั้น ส่วนใหญ่ก็มักจะลงสู่เบื้องล่าง กลายเป็นว่าท่านก่อเวรสร้างกรรมด้วยวาทกรรมที่คิดว่าฉลาด เลิศล้ำ แต่ทำเอาคนลงสู่ทุคติ กว่าจะหลุดขึ้นมาเป็นมนุษย์ได้ก็เนิ่นนานจนนับกัปไม่ได้ แล้วก็อาจจะต้องติดตามครูบาอาจารย์ของท่าน ซึ่งเป็นต้นวาทะและลงไปอยู่ข้างล่างแล้ว ต่อไปในกาลข้างหน้าด้วย..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:05 |
สมาชิก 4 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 5 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 4 คน ) | |
สุรจิตร |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|