#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๘
|
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ เป็นวันคล้ายวันประสูติของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อมฺพรมหาเถร) ทรงเจริญพระชนมายุ ๙๘ พรรษา ทีฆายุโก โหตุ สังฆราชา และเป็นวันสุนทรภู่ ยอดกวีเอกของโลก ขอให้ดวงวิญญาณของท่านที่สถิตอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม จงไปเสวยสุขอยู่ในสุคติภพ และสามารถเข้าถึงพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดังที่ตั้งความปรารถนาไว้ด้วยเถิด
สำหรับวันนี้อากาศยามเช้าที่โรงแรมฮิลตันของเมืองอูลู่มู่ฉีอยู่ที่ ๒๖ องศาเซลเซียส เย็นกว่าที่เมืองถูลู่ฟานถึง ๖ องศาเซลเซียส ห้องอาหารเปิดตั้งแต่ ๐๖.๔๐ น. แต่ขออภัยเถอะ..การตกแต่งห้องนั้นมีแต่ของปลอมเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ทำให้คนแก่อย่างกระผม/อาตมภาพเห็นแล้วรี่เข้าไปหาด้วยความดีใจ นึกว่าเขามีผลไม้ให้มากมายหลายชนิด ที่ไหนได้..ของปลอมล้วน ๆ เลย..! เมื่อรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วก็กลับขึ้นห้องพัก ภาวนาแผ่ส่วนกุศลให้กับเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย เหตุที่สามารถนอน "ชิล ๆ" ได้แบบนี้ก็เพราะว่านัดรถเอาไว้ตอน ๙ โมง เนื่องเพราะว่าทางคนของเมืองอูลู่มู่ฉีนี้ เขาเริ่มทำงานกันตอน ๑๐ โมงเช้า ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรารีบร้อนไปก็ไม่มีประโยชน์ เนื่องเพราะว่าไปถึงก่อนก็ต้องรอเวลาอยู่ดี..! "อาหมิง" คนขับหัวร้อนพาพวกเรามุ่งตรงไปยังเทียนซาน ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติ ดูจากที่ไกล ๆ ในวันก่อนก็คิดว่าเป็นภูเขาหัวโล้นแล้วมีหิมะอยู่ข้างบน แต่ปรากฏว่าเหลือจะเชื่อ เนื่องเพราะว่าเมื่อไปถึงใกล้ ๆ เริ่มมีสีเขียวมากขึ้นมาทุกที พอขึ้นรถได้ "น้องกิ๊ก"ก็แปลงเป็น "เหล่าซือ" ให้ข้อมูลแบบน้ำไหลไฟดับ โดยมี "คุณโบตั๋น" แปลกันชนิดคำต่อคำ โดยที่ "น้องกิ๊ก" บอกว่า ถ้าจะมาถึงเที่ยวซินเจียงอย่างน้อยต้องมาถึง ๓ ครั้ง แต่ละครั้งต้องใช้เวลา ๘ - ๙ วัน เพราะว่าซินเจียงนั้นมีพื้นที่ถึง ๑ ใน ๖ ของประเทศจีน ดังนั้น..การนั่งรถยนต์จากสถานที่เที่ยวแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง บางทีกินเวลาไปทั้งวัน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 19:13 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
เมื่อชี้มาถึงทางด้านเส้นทางสายไหมซึ่งทะลุออกปากีสถาน กระผม/อาตมภาพก็ถามหาด่าน ซึ่งตรงกับ "ด่านคุนจีรับ" ของทางปากีสถาน ทำเอา "กิ๊กเหล่าซือ" ตีหน้างง ๆ เนื่องเพราะว่าภาษาของทางด้านโน้นกับภาษาจีนนั้น เรียกกันคนละอย่างกัน
ในเมื่อสามารถชี้จุดได้ แล้วพวกเราอธิบายให้ฟังว่า ปากีสถานทางด้านคาราโครัมไฮเวย์และฮุนซา หรือว่าเมืองหรรษานั้น มีความงดงามขนาดไหน พร้อมกับเปิดรูปให้ดู จากไกด์ก็เลยกลายเป็นนักเรียน ปล่อยให้กระผม/อาตมภาพกับน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ผลัดกันอธิบายให้อีกฝ่ายหนึ่งฟัง ทำเอาคณะของเราทุกคนถึงกับร้องให้หลวงพ่อจัดทริปไปปากีสถานโดยด่วน เพราะทนเห็นความงามที่เปิดให้ดูในจอมือถือไม่ได้ แต่ขอโทษเถอะ..ตอนนี้ไม่สามารถที่จะไปได้ เพราะว่าปากีสถานรบกับอินเดีย ทำให้ไม่สามารถที่จะรับนักท่องเที่ยวเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงได้..! ด้วยความที่คุยกันสนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง ต่างฝ่ายต่างแบ่งปันความรู้ให้กัน จึงมาถึงอุทยานเทียนซานกับแบบไม่รู้ตัว น้องกิ๊กต้องไปรายงานตัวกับศูนย์ควบคุมนักท่องเที่ยว พวกเราจึงเดินตรงไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยวก่อน หลังจากเข้าห้องน้ำกันเรียบร้อยแล้ว ก็ออกมาแวะดูสินค้าที่ระลึกต่าง ๆ ภายในร้านซึ่งใหญ่โตมโหฬารมาก ปรากฏว่ามีรูป "เจ้าแม่ซีเทียนหวังหมู่" ยืนต้อนรับพวกเราอยู่ด้วย เมื่อรวมตัวกันครบ ก็ออกไปถ่ายรูปหมู่ที่บริเวณหน้าอาคาร ซึ่งมีทั้ง ๓ ภาษา ก็คือภาษาพื้นเมืองของชาวอุยกูร์ ภาษาจีน และภาษาอังกฤษ จนกระทั่ง "น้องกิ๊ก" รับเอาตั๋วมาเรียบร้อยแล้ว ก็พาพวกเราสแกนผ่านด่านเข้าไป ซึ่งทุกคนต้องถอดหน้ากากหรือว่าแว่นตาดำออก ให้เขาสแกนใบหน้าเสียก่อน เมื่อผ่านเข้าไปข้างใน ซึ่งมีรถบัสของทางอุทยานเทียนซานจอดอยู่ เขาเห็นเราเป็นกรุ๊ปทัวร์ ก็เลยโบกมือไล่คันอื่นให้เลื่อนออกไปก่อน พร้อมกับชี้ให้ขึ้นคันใหม่เอี่ยม ไม่มีผู้โดยสารแม้แต่คนเดียว..! กระผม/อาตมภาพจึงได้นั่งข้างหน้า เพื่อถ่ายรูปอย่างที่ต้องการ มองไปเห็น "ท่านอูฐ" ยืนโบกมือยิ้มกริ่มให้ ก็ได้แต่ขอบใจท่านอยู่ในใจ แล้วก็รู้เลยว่าทำไม "ท่านอูฐ" ถึงได้จัดให้แบบนี้ เพราะว่ารถบัสนั้นต้องวิ่งขึ้นเขาไปเป็นระยะทางน่าจะถึง ๓๐ กิโลเมตร เนื่องเพราะว่าใช้เวลาเกือบ ๑ ชั่วโมง โดยเฉพาะมีรถสวนลงมาเป็นระยะ ๆ แล้วก็ต้องคอยระมัดระวังด้วย เพราะว่าถ้าผิดจังหวะ แรงส่งไม่พอ อาจจะขึ้นเขาไม่ไหว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 19:14 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
เมื่อพวกเรามาถึงทางด้านบนแล้ว ก็ยังต้องไปซื้อตั๋วรถ เพื่อที่จะนั่งรถแบตเตอรี่เข้าไปอีก แต่ว่าบรรดากองทัพประชาชนจีนทั้งหลายจำนวนมาก ก็ยอมประหยัดเงินด้วยการเดินเข้าไปเอง รถที่เห็นมีทั้งรูปปลาโลมา ตลอดจนกระทั่งสัตว์ต่าง ๆ ดูแล้วน่ารักน่าชังมาก เมื่อพวกเราเข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว ก็แห่กันไปขึ้นรถคันเดียวกัน เขาไปส่งถึงชาย "ทะเลสาบเทียนฉือ" ซึ่งถ้าเรียกแบบภาษาไทยก็คือ "สระสวรรค์แห่งภูเขาเทียนซาน" พวกเราตาม "น้องกิ๊ก" ลงไปยังเรือซึ่งรอรับนักท่องเที่ยวอยู่
เมื่อกระผม/อาตมภาพผ่านเข้าไปได้ ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ไม่ให้ขึ้นชั้นบน จึงต้องเดินซึม ๆ เข้าไปนั่งอยู่ภายในชั้นล่าง ซึ่งนอกจากจะมองอะไรแทบไม่เห็นแล้ว ยังอากาศร้อนอีกต่างหาก อีกพักใหญ่ต่อมา "คุณโบตั๋น"ก็มาตะโกนนิมนต์ บอกว่าให้หลวงพ่อขึ้นข้างบนได้แล้ว เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าคนที่ขึ้นชั้นบนทุกคนมีโอกาสพลัดตกน้ำกันทั้งสิ้น เนื่องจากลูกกรงสูงแค่เลยเอวขึ้นมาหน่อยเดียว จึงต้องใส่เสื้อชูชีพที่มีจำนวนจำกัด แล้ว "น้องเล็ก" เข้าไปถึงก็เอาเสื้อชูชีพจองที่นั่งไว้ ทำให้เจ้าหน้าที่คิดว่าที่นั่งเต็มแล้ว จึงกันไม่ให้กระผม/อาตมภาพขึ้นไป เมื่อ "คุณโบตั๋น" อธิบายให้ทราบ เจ้าหน้าที่จึงยอมให้ขึ้นข้างบนได้ เมื่อใส่เสื้อชูชีพแล้วเรือก็ออกจากท่า ข้างบนลมเย็นชื่นใจมาก ๆ เนื่องเพราะว่าพัดมาจากภูเขาหิมะด้านบน ซึ่งเหลือเชื่อว่าจากที่มองไกลลิบ ๆ ระหว่างเดินทางมาเมืองอูลู่มู่ฉี เห็นว่าเหมือนภูเขาหัวโล้น แต่บนนี้มีต้นสนเขียวขจีแน่นขนัดไปหมด..! พวกเราถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย เรือใช้เวลาแล่นอยู่ในสระเทียนฉือไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง จนกระทั่งไปส่งผู้โดยสารขึ้นไปไหว้เจ้าที่อีกด้านหนึ่ง พวกเราไม่ได้ลงไปด้วย หากแต่ว่ารอผู้โดยสารที่กลับมาขึ้นเรือ แล้วก็ย้อนกลับมาทางเดิม เมื่อกลับมาถึงท่าเรือแล้ว ก็ต้องไปตบตีกับบรรดาลูกหลานราชวงศ์ "ชิง" เนื่องเพราะว่าแย่งที่ถ่ายรูปกัน จนกระผม/อาตมภาพต้องขึ้นไปบนชะง่อนหินด้านบน ให้ "น้องเล็ก" ปีนตามขึ้นไป จึงหามุมถ่ายรูปที่ไม่มีใครแย่งได้ แล้วลงมาต่อคิวทางด้านล่าง ถ่ายรูปกับป้ายหินที่มีคำว่า "เทียนฉือ" หรือ "สระสวรรค์" อยู่ด้วย จากนั้นก็ออกมาเข้าห้องน้ำกัน หมอมุก (นางสาวรุจิรา งามพฤกษ์วานิชย์) เลี้ยงน้ำแร่เทียนซานพวกเรา ราคาขวดละ ๔ หยวน แต่ทำการสแกนจ่ายแล้วไม่ผ่าน จึงต้องเปลี่ยนเป็นเปิดคิวอาร์โค้ดของตนเองให้ทางร้านสแกนแทน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 19:16 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
พวกเรารอกันอยู่นานมาก เหตุเพราะว่าคุณนายสมหวัง (นางสมหวัง งามพฤกษ์วานิชย์) หรือที่พวกเราเรียกกันว่า "มาดามเฮง" แม่ของหมอมุกเอง เดินถ่ายรูปไปเรื่อยแล้วกลับไม่ถูก ต้องส่งสถานที่เข้ามาในกลุ่มไลน์ให้รู้ว่าอยู่ตรงนี้ ทำเอานายไก่ (นายฐนชล ทิมแสง) มัคคุเทศก์ของทางเติมเต็มทราเวล เดินหาจนหัวหมุน เนื่องเพราะว่าเป็นร้านรับจ้างถ่ายรูป แล้วร้านรับจ้างถ่ายรูปรอบทะเลสาบเทียนฉือ มีไม่ถึง ๑๐๐ ก็น่าจะถึง ๙๐ ร้าน..!
พวกเรารอแล้วรออีก จนคุณนายสมหวังมาถึง "น้องกิ๊ก" ก็ยังไม่ออกมาเสียที ไม่ทราบว่าไปซื้อตั๋วถึงไหน ? ปรากฏว่าเมื่อแม่เจ้าประคุณมาถึง ก็เดินดุ่ม ๆ ไปซื้อตั๋ว ทำเอาพวกเราปากอ้าตาค้าง สอบถามจาก "คุณโบตั๋น"แล้ว จึงได้ทราบว่า "น้องกิ๊ก" ของเราท้องเสีย ไปเข้าห้องน้ำอยู่เป็นนาน..! เมื่อได้ตั๋วแล้ว พวกเราก็นั่งรถไฟฟ้าออกมา เพื่อขึ้นรถบัสของทางอุทยาน นั่งหลับ ๆ ตื่น ๆ ออกมาอีกประมาณครึ่งชั่วโมง จึงมาถึงลานจอดรถ แล้วเดินออกไปหารถของพวกเรา เป็นระยะทางที่ไกลมาก ๆ คาดว่าทาง "อาหมิง" คงจะส่งโลเคชั่นมาให้กับ "น้องกิ๊ก" จึงเดินไปจนเกือบจะสุดลานจอดรถ แล้วถึงเลี้ยวเข้าไปเกือบจะในสุดอีก ถึงจะได้เห็นรถที่จอดอยู่..! เมื่อพวกเราขึ้นไปแล้วก็หอบแฮ่ก ๆ เนื่องเพราะว่าไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศ จนกระทั่งกระผม/อาตมภาพต้องเผ่นลงจากรถ ไปยืนเป็นจุดหมายเด่นชัดให้กับคณะที่เดินตามมาทีหลัง เมื่อ "คุณโบตั๋น"มาถึงและพวกเราขึ้นรถแล้ว ถึงได้บอกให้ "อาหมิง" เปิดเครื่องปรับอากาศให้ อีกฝ่ายรีบขอโทษขอโพย นึกว่าเปิดแล้ว พ่อเจ้าคุณเป็นคนที่นี่เลยไม่รู้สึกว่าร้อน แต่พวกเราเกือบจะโดนย่างสุกไปแล้ว..! ครั้นไปถึงร้านอาหารแล้ว เขาไม่ให้พวกเราอยู่ทางด้านนอก แต่ต้อนเข้าไปในห้องปรับอากาศเบอร์ ๒ ซึ่งพวกเราก็ชอบอกชอบใจเป็นอย่างมาก แล้วแถมยังมีน้ำแข็งและน้ำอัดลมให้อีกด้วย ข้าวปลาอาหารวันนี้มีพิเศษ ก็คือ "เนื้อแกะเสียบไม้ย่าง" ซึ่งทางเติมเต็มทราเวลบอกว่า พรุ่งนี้ที่จะเลี้ยงสุกี้หม้อไฟนั้น อาจจะเสียเวลาจนไปเช็คอินที่สนามบินไม่ทัน จึงเปลี่ยนมาเลี้ยงเนื้อแกะปิ้งวันนี้แทน แต่ขอโทษเถอะ..พวกเรานั้นจัดอยู่ในภาษิตที่เขาว่า "วันแรกก็แหลกอะไรม่ายล่ายเลย วันต่อ ๆ มาพอที่จะแหลกล่าย แต่มาถึงวันนี้ อะไรส่งมาก็ไม่พอให้แหลก..!" เนื้อแกะที่ทุกคนทำท่ารังเกียจตั้งแต่วันแรก มาถึงวันนี้ แย่งกันกินอย่างชนิดที่เหลือแต่ไม้เสียบเปล่า ๆ คืนให้เขาไปเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 19:17 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
![]()
เมื่ออิ่มหนำสำราญเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เข้าห้องน้ำ กลับมาขึ้นรถ วิ่งกลับเข้าเมืองอูลู่มู่ฉี เป้าหมายก็คือไปช็อปปิ้งที่ "ตลาดต้าปาจา" ซึ่งคำว่า "ปาจา"นี้ ก็คือคำว่า "พลาซ่า" ในบ้านของเรานั่นเอง แต่เป็นภาษาพื้นเมืองของคนที่นี่ ออกเสียงคล้าย ๆ กับว่า "บาจ้าร์" บาจ้าร์ซึ่งพวกเราออกเสียงแบบนี้ไม่ได้ ก็เลยออกเสียงว่า "บาซ่าร์" ชัด ๆ แทน
เมื่อไปถึงตลาดแล้ว ทุกคนก็ร้องโอ้โฮ..! คุ้มค่ากับระยะเวลาที่เสียไปและรถยนต์ที่ติด เนื่องเพราะว่าศิลปะแบบอาหรับ หรือว่าตะวันออกกลาง งดงามอลังการมาก ๆ แต่เจ้าประคุณเถอะ..เจ้าหน้าที่ดุกว่าร็อตไวเลอร์เสียอีก..! เพราะว่าต้องสแกนตัวและสแกนกระเป๋าผ่านเข้าไปทางด้านใน กระผม/อาตมภาพผ่านเข้าไปแล้ว หันกลับมาถ่ายรูป แม่เจ้าประคุณส่งเสียงเขียวว่าให้ลบทิ้งเดี๋ยวนี้ ก็เลยต้องหันหน้าจอไปให้เขาดูเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ เมื่อลบรูปให้แล้ว แม่เจ้าประคุณที่หน้าหงิก ค่อยยอมคลายออกมาให้เห็นหน้าสวย ๆ หน่อย..! เข้าไปถึงภายในแล้ว พวกเรานัดเวลาชั่วโมงครึ่ง ให้กลับมารออยู่หน้าบริเวณเหมือนกับหออาซานของทางด้านอิสลามิกชน ซึ่งเป็นจุดนัดพบของพวกเรา มีแต่บรรดาสาว ๆ ที่แต่งชุดที่คล้าย ๆ กับหลุดออกมาจากนิยายเรื่องอาหรับราตรี เดินเพ่นพ่านเรียกแขกให้ไปถ่ายรูปกันเยอะแยะไปหมด กระผม/อาตมภาพเดินหามุมถ่ายรูป แล้วก็แวะเข้าไปดูข้าวของต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเสื้อผ้า อาหาร ที่นี่ดูแล้วตลกอยู่ที่ว่า เขาเอารูปแผ่นแป้งนานมาทำเป็นสินค้าที่ระลึก ไม่ว่าจะเป็นแม็กเน็ตติดตู้เย็น กระเป๋าถือ หรือว่ากระเป๋าสะพาย ทำออกมาได้น่ารักทีเดียว บรรดาตุ๊กตุ่นตุ๊กตาส่วนใหญ่ก็เป็นอูฐบ้าง ตัวอัลปากาบ้าง ตลอดจนกระทั่งแกะสวย ๆ มากมายเต็มไปหมด ข้าวปลาอาหารนั้นเน้นไปทางเนื้อเป็นหลัก ไม่ว่าจะเนื้อแห้ง เนื้อสด มีการให้ชิมก่อนที่จะซื้อเสียด้วย บรรดาผักผลไม้ต่าง ๆ ก็เป็นของทางด้านนี้ทั้งสิ้น แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นผลไม้แห้ง เป็นบรรดาถั่วและลูกนัทต่าง ๆ มีขนมซึ่งน่าชิมอย่างมาก ๆ เลย ม้วนเป็นเกลียว ๆ มีน้ำตาลลักษณะไอซ์ซิ่งโรยอยู่ ดูน่ากินมาก ๆ ไปดูเขาทำกาแฟซึ่งอยู่ในเตาทราย มีหม้อเล็ก ๆ ใบหนึ่งที่มีหูจับ คล้าย ๆ ตะเกียงอาลาดิน พอถึงเวลาเขาก็เอาไปวน ๆ ในเตาทรายร้อน ๆ แล้วกาแฟก็เดือดขึ้นมา เทให้กับลูกค้า หรือว่าไปดูเขากวนกระยาสารท ไม่น่าเชื่อว่าทางบ้านเรากับที่นี่จะมีของเหมือนกันได้ขนาดนี้ แต่กระยาสารทที่นี่เน้นหนักในเรื่องของพวกถั่ว พวกลูกนัทต่าง ๆ แล้วก็ใส่น้ำตาลเสียจนชุ่มโชกฉ่ำแฉะไปเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 19:18 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
![]()
เมื่อเดินดูไปจนทั่วแล้วก็ออกมานั่งรอคณะของพวกเราอยู่ที่บันไดใกล้ทางออก เหตุที่ต้องนั่งที่สูงก็เพราะว่าจีวรพระเป็นจุดเด่น รอจนทุกคนทยอยกันมาถึง "น้องกิ๊ก"ก็โทรเรียกรถของเรามารับ ระหว่างที่รอ "อาหมิง" อยู่ พวกเราที่เดินออกมาด้านนอกแล้ว ก็ยังมีรถเข็นขายน้ำทับทิม ขายผลไม้ต่าง ๆ ขายนมอูฐ เหล่านี้เป็นต้น มีการแซวกันว่านมอูฐตัวผู้หรือนมอูฐตัวเมียอีกด้วย..!
แต่ว่าการซื้อของทางด้านนอกนี้ต้องระวัง อย่าให้ธนบัตรใบใหญ่เป็นอันขาด เพราะว่าเขารับไปแล้วไม่ทอน แต่ส่งสินค้ามาให้เท่าราคาธนบัตรของเรา น่าจะเป็นเทคนิคการขายของเขาอย่างหนึ่ง แต่คาดว่าลูกค้าอาจจะเข็ดไปตาม ๆ กันก็ได้..! เมื่อพวกเราขึ้นรถซึ่งได้รับการอำนวยความสะดวกจากตำรวจเป็นอย่างดีแล้ว ก็วิ่งผ่านทางลัดซึ่งเล็กเท่ากับรถบัสพอดี ๆ และมีขอบทางด้วย แต่ว่า "อาหมิง" ของเราก็ยอดฝีมือสมกับเป็นเจ้าถิ่น แม้ว่าจะหัวร้อนใจร้อนไปหน่อย ก็สามารถผ่านฉิวออกไปติดอยู่ทางด้านนอกได้ แล้ว "อาหมิง" ของเราที่ไม่มีผมเลย ก็อาจจะเพราะนิสัยหัวร้อนนี่เอง ไฟเขียวขึ้นมาปุ๊บ ด้านหน้ามีรถอยู่ ๘ คัน ๑๐ คัน พ่อเจ้าประคุณก็กดแตรสนั่นหวั่นไหวแล้ว เมื่อถามสาเหตุ เขาบอกว่าคนสมัยนี้เมื่อรถติด ก็มักจะก้มหน้าก้มตาดูโทรศัพท์ ไม่สนใจไฟเขียวไฟแดง ก็เลยต้องบีบแตรเตือนให้..! พวกเราฝ่ารถติดมาเป็นเวลานานพอสมควร "อาหมิง" จะเลี้ยวเข้าโรงแรมฮิลตัน ทำเอาพวกเรางงเป็นอันมาก เพราะ "น้องกิ๊ก" บอกว่าจะไปไหว้หลวงพ่อโตกันที่ "วัดหงกวงซาน" ที่แท้วัดหงกวงซานอยู่ทางด้านหลังโรงแรมของเราเอง แล้วป้ายวัดก็อยู่หน้าโรงแรมด้วย เมื่อมาถึง "อาหมิง" คิดว่าจะให้เข้าโรงแรมก็เลยเลี้ยวเข้าไป รปภ.ต้องมาชี้ให้ว่าวิ่งต่อไปหลังโรงแรมอีกหน่อยก็ถึงวัดแล้ว..! พวกเราไปจอดที่หน้าวัดหงกวงซานแล้ว ก็ต้องผ่านเครื่องสแกนเข้าไปเช่นกัน รู้สึกว่าทุกสถานที่ในเขตซินเจียงนี้ เขาต้องระมัดระวังการก่อการร้ายทั้งสิ้น จึงต้องมีความเข้มงวดกันหน่อย แล้ววัดหงกวงซานนี้ก็เป็นวัดชาวฮั่น พูดง่าย ๆ ว่าเป็นวัดคนจีนนั่นเอง ส่วนใหญ่ในพื้นที่เมืองอูลู่มู่ฉีนี้ก็คือคนอุยกูร์ หรือว่าที่คนจีนเรียกว่า "หุยหู" หรืออิสลามิกชน ในเมื่อเป็นคนละเผ่าพันธุ์กัน แล้วก็ไม่ค่อยจะกินเส้นกัน จึงต้องระมัดระวังในการก่อการร้ายไปทุกที่..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 19:19 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
![]()
พวกเราเดินเข้าไปไกลมาก ๆ ผ่านรอยพระพุทธบาทคู่ ข้ามสะพานสวรรค์ จึงเข้าไปถึงประตูชั้นใน ซึ่งมีองค์พระสังกัจจายน์ลูกมากนั่งยิ้มแฉ่งอยู่ พร้อมกับองค์หลวงพ่อโตที่สูงถึง ๓๖ เมตร พวกเราหามุมถ่ายรูปกันแล้ว กระผม/อาตมภาพจึงเห็นปิยะสหาย ก็คือท่านท้าวธตรฐ แอบพิงอยู่ทางด้านหลังของพระสังกัจจายน์ลูกมากนั่นเอง
เมื่อเดินเข้าไปถ่ายรูปหมู่กันแล้ว พวกเราก็เข้าไปยังวิหารหลัก ซึ่งมีพระพุทธเจ้า ๓ กาล ก็คืออดีตกาล ปัจจุบันกาล และอนาคตกาลอยู่ด้วย กระผม/อาตมภาพหยอดไปตู้ละ ๑๐๐ หยวน แล้วเดินไปถ่ายรูปพระอรหันต์ทั้ง ๑๘ องค์ ตลอดจนกระทั่งเจ้าแม่กวนอิม และรูปวาดของท้าวมหาราชทั้ง ๔ เมื่อครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว จึงได้เดินกลับมาขึ้นรถ ซึ่งเป็นเวลา ๑ ทุ่มตรงแล้ว แต่ว่าพระอาทิตย์ยังค้างโด่งอยู่บนฟ้า เหมือนอย่างกับประมาณบ่าย ๓ โมงของบ้านเรา..! "อาหมิง"พาเรากลับมาถึงแล้ว รถไม่สามารถที่จะเข้าโรงแรมได้ เพราะวันนี้มีผู้เหมาห้องจัดเลี้ยง รถแน่นขนัดจนเดินแทบจะไม่ได้ พวกเราจึงต้องหอบข้าวหอบของพะรุงพะรัง เดินเข้าไปภายในโรงแรม เพราะว่าวันนี้ต้องจัดกระเป๋าให้เรียบร้อย พรุ่งนี้หลังจากไปชมพิพิธภัณฑ์เมืองอูลู่มู่ฉี แล้วก็ต้องไปยังสนามบินเลย เมื่อขึ้นมาถึงห้องพัก กระผม/อาตมภาพก็รีบเปิดน้ำร้อนเอาไว้ก่อน จัดเก็บข้าวของที่เกะกะทุกอย่าง เสร็จแล้วก็ลงไปแช่น้ำพร้อมกับซักผ้าด้วย เมื่อตากผ้าเรียบร้อยแล้ว จึงมาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ตอน ๒ ทุ่มตรงของเมืองจีนนี้ มีอะไรที่เชื่องช้าไปบ้างก็ต้องขออภัยต่อพระภิกษุสามเณรของเรา และญาติโยมทั้งหลายที่รอฟังอยู่ สำหรับวันนี้ก็ขอยุติลงแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-06-2025 เมื่อ 00:39 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|